เสนาลิง กับคำพ่อสอน “รวยเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่าทำดี เดี๋ยวมันจะดี”

เสนาลิง กับคำพ่อสอน “รวยเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่าทำดี เดี๋ยวมันจะดี”

เสนาลิง กับคำพ่อสอน “รวยเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่าทำดี เดี๋ยวมันจะดี”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผมเคยถามพ่อว่าเมื่อไหร่เราจะรวยเหมือนบ้านนั้น พ่อบอกว่า “ไม่รู้ รู้แต่ว่าทำดี เดี๋ยวมันจะดี”

คำสอนฝังใจที่เป็นเหมือนไกด์ชีวิต ทำให้ทุกวันนี้ “เสนาลิง” หรือ สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ ยังคงเป็นคนบันเทิงที่มีผลงานต่อเนื่อง มีธุรกิจมากมายทั้งโรงแรม ชา กาแฟ และยาดม จะว่าไปแล้วถ้าเราจะนับนิ้วให้เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีฐานะคนหนึ่งนั้นคงไม่ผิด แต่ในความมีเงิน มีทองนั้นเขาเริ่มต้นทุกก้าวด้วยตัวเองและยึดถือ “ความดี” เป็นเสาหลัก

ในนามของ…อารามบอย
เสนาลิงเป็นเด็กระยองโดยกำเนิด เติบโตในครอบครัวที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นครู และอยู่ในสภาพแวดล้อมความเป็นผู้นำ ซึ่งหล่อหลอมให้เขาเป็นเด็กกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าแสดงออกมาแต่ไหนแต่ไร

เมื่อเดินทางเข้ามาเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาในกรุงเทพฯ เขาเลือกอยู่ “วัด” แทนการเช่าห้องพัก เนื่องจากคุ้นเคยและใกล้ชิดกับวัดมาตั้งแต่เด็ก

“ผมอยู่กับพระมาเยอะ บ้านที่ระยองก็อยู่ติดวัด มาอยู่กรุงเทพฯ ก็เลยอยู่วัด ไม่ได้รู้สึกรันทด แต่รู้สึกสนุก ผมว่าเหมือนคำโบราณเด็กวัดได้ดี แล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆ คนที่ผมอยู่ก็ได้ดีกันส่วนมาก เพราะมันอยู่ในศาสนา มันจะรู้ว่าอะไรดี ชั่ว เลว การยับยั้งชั่งใจ แล้วมันมีเรื่องส่วนรวม เรื่องการเสียสละ ไม่อยากทำก็ต้องทำเพราะเราอยู่ร่วมกับคนอื่น

“เด็กสมัยนี้ห่างวัด ตอนนี้คนจะเข้าวัดอายุก็ 40 อัพ ถึงจะไปปฏิบัติธรรม จริงๆ ไม่ต้องปฏิบัติธรรม แต่ควรรู้ธรรมมากว่า แต่กว่าเด็กจะถึง 40 เกิดวิบัติมากมายเพราะยังเข้าไม่ถึงธรรมะ ตีกัน ฆ่ากัน หักหลังกันเพราะมันห่างศาสนา จริงๆ ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กให้รู้ว่าดี ชั่ว ควรทำ ไม่ควรทำ แต่ทุกวันนี้ 1 สัปดาห์เรียนพุทธศาสนาแค่อาทิตย์ละ 1 ชม. จิตทรามมาก ทำไมคนสมัยก่อนถึงรู้ผิดชอบชั่วดี เพราะโรงเรียนเกิดที่วัด แต่สมัยนี้ครูสอนชั่วโมงเดียว พ่อแม่ก็ไม่ได้พาลูกเข้าวัด มันห่างออกไปเรื่อยๆ”

เสนาลิงอยู่วัดจนกระทั่งเรียนในระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 จึงย้ายออกและมาเช่าห้องพักอยู่ด้วยตัวเอง

ชีวิตต้องมีทั้ง โชค และ ชะตา
เขาเริ่มต้นงานบันเทิงตั้งแต่อายุ 18 ปี ด้วยความสามารถทางด้านการพูด การแหล่ ที่ดูเหมือนจะเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งโชคชะตาผลักดันให้เขามีโอกาสทำงานในวงการบันเทิง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการเป็นหนึ่งในพิธีกรรายการ “ยุทธการขยับเหงือก” วาไรตี้โชว์แนวตลกที่โด่งดังมากเมื่อกว่า 20 ปีก่อน

“ผมเป็นนักโต้วาทีตั้งแต่ ม.6 แล้วก็ไปเป็นพิธีกรรายการทีวีวาที รายการต่างๆ แล้วไปแคสรายการขยับเงือก สมัยก่อนเป็นพิธีกรรายการเคยนั่งดูรายการขยับเหงือกอยู่ที่บ้านมันดังมาก ยังคิดเลยว่าถ้าเราไปเป็นพิธีกร คงสนุกเนอะ วันหนึ่งก็ได้เป็นจริงๆ รู้สึกว่าเรื่องโชคกับชะตาจะต้องไปด้วยกัน คนโบราณเขาถึงเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต มันก็เหมือนกรรมกับดวง ถ้าไม่ซื้อลอตเตอรี่ ชาตินี้จะถูกหวยไหม ซื้อลอตเตอรี่คือกรรม ส่วนถูกหรือไม่ถูกคือดวง มันต้องบวกกันสองอัน”

หลังจากนั้นเขาก็ยึดบทบาทการเป็นพิธีกรเรื่อยมาจนทุกวันนี้เสนาลิงยังคงรักษาหน้าที่การเป็นพิธีกรที่มีผลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างจากการเป็นนักแสดงที่ต้องโหนกระแส และตักตวงในช่วงเวลาที่ตนเองกำลังมีชื่อเสียง

“พิธีกรอย่างเรามันทั้งสนุกและสาระก็ทำได้ คนเขาคงเห็นว่าเรามีคุณสมบัติพอ เขาก็ยังจ้างต่อไป อีกส่วนหนึ่งที่คิดว่ายังอยู่ได้เพราะเราทำตัวให้อยู่ได้ ต้องรู้จักสังคม มารยาท หน้าที่ ผู้หลักผู้ใหญ่ ทำงานเต็มที่เท่าที่เราทำได้ และยังมีทริคตรงที่เราต้องรับเป็นพิธีกรให้กับรายการที่ไม่ซ้ำกัน คุณค่ามันจะดีกว่า และช่วงเวลาที่ออกอากาศต้องไม่ชนกัน ถ้าเห็นหน้าผมทุกช่องมันไม่ดี เพราะเราจะไม่มีตัวตน”

เป็น 0 ได้ แต่ต้องไม่ติดลบ
เสนาลิงเป็นคนบันเทิงคนหนึ่งที่สวมหมวกนักธุรกิจหลายใบ และไม่เคยเกรงกลัวกับคำว่าล้มเหลว นั่นเป็นเพราะเขามีหลักคิด “เริ่มต้นจาก 0 แต่ต้องไม่ติดลบ” พกติดตัวไว้เสมอ จากแนวคิดนั้นจึงทำให้เขากล้าลงมือทำธุรกิจทุกรูปแบบที่ชอบ และสามารถทำได้

“ทุกครั้งที่ผมทำธุรกิจผมจะคิดว่าผมเริ่มต้นจาก 0 ถ้าแย่ไปกว่านี้จะต้องกลับไปยืนที่ 0 แต่จะไม่กลับไปติดลบ กลับมาเริ่มต้นที่ก้าวแรกแล้วค่อยก้าวต่อ เหมือนถอยหลังแล้วตั้งหลัก เช่นทุกวันนี้ผมมีรีสอร์ท และคิดว่ามันคือขั้นที่ 5 ของชีวิต ก้าวต่อไปคือ 6 7 8…แต่ถ้าต่อไปมันไปไม่รอด มันต้องกลับไปแค่ 0 จะต้องไม่ติดลบ ชีวิตส่วนอื่นของผมต้องอยู่ได้เหมือนปกติ ถ้าติดลบแสดงว่าจัดการไม่เป็น ทำให้ผมไม่เคยกลัวที่จะทำอะไร”

นอกจากนี้เสนาลิงยังคงยังเป็นคนเบื้องหน้าที่ได้ชื่อว่าชอบทำธุรกิจกับเพื่อน ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงที่จะทำสิ่งนี้

“การทำธุรกิจกับเพื่อน ผมจะลงหุ้นกัน ถ้าคนไหนบอกว่าจะทำ เราจะเอาเงินไปให้เขาจัดการ จะไม่เข้าไปยุ่ง มันต้องนิสัยแมนๆ ไม่ใช่เขาจัดการอยู่แล้วเราเข้าไปขอดูเรื่องบัญชี ดูว่าโกงหรือเปล่า แล้วแบบนั้นจะเป็นเพื่อนกันทำไม ถ้าวันหนึ่งรู้ว่ามันโกง ชาตินี้เลิกคบกับมันไปเลย แต่เราต้องคิดเรื่องความเป็นเพื่อนมากกว่าธุรกิจ เพื่อนที่ทำธุรกิจกับเราก็ต้องคิดแบบนี้”

เพื่อนของเสนาลิงจึงเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนเงา เป็นตุ๊กตาที่แยกออกจากตัวเขาเพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นเสนาลิงจึงเป็นคนๆ หนึ่งที่ชีวิตเปี่ยมไปด้วยมิตร

ความสำเร็จ รางวัลจากความดี
ในวันนี้เขากล้าพูดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ โดยมีหลักคำสอนของคุณพ่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวมาตั้งแต่เด็ก ภาพแห่งความดีของเสนาลิงจึงไม่ใช่ชายวัยกลางคนนุ่งขาว ห่มขาว นั่งปฏิบัติธรรม แต่การดำเนินชีวิตของเขานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่เอารัดเอาเปรียบ การเสียสละ การแบ่งปัน ที่ครอบครัวปลูกฝังเรื่อยมา

“ทำดี ทำให้ดี แล้วจะดี” นี่น่าจะเป็นสูตรความสำเร็จของผม ผมเคยถามพ่อว่าเมื่อไรเราจะรวยเหมือนบ้านนั้น พ่อบอกว่า “ไม่รู้ แต่รู้ว่าเราทำดี เดี๋ยวมันจะดี” อย่างน้อยเราก็รู้ว่าดี เดี๋ยวคนอื่นเห็น มันจะดีเอง ถ้าคิดเป็นคนเลว อย่าขโมยเงินแค่ 5-10 บาท ยังไงก็เรียกว่าขโมย ถ้าจะเลวก็เอาให้เป็นโจรไปเลย พ่อผมสอน คิดจะชั่วอย่าชั่วแค่นิดๆ อย่าครึ่งๆ กลางๆ ถ้าใจไม่เจ๊งพอ ถ้าไม่ยินดีกับชาติตระกูล ไม่ยินดีกับคุณงามความดี ไม่ศรัทธาในธรรมะ ยังไงก็ไปให้สุดทาง คนสมัยก่อนเขาสอนเรื่องชาติตระกูล เขาทำความดีกันมาตั้งนาน แล้วมันจะมาเสียเพราะคนรุ่นหลังเหรอ อย่ามาทำเป็นต่อหน้าเชิญคนทำบุญ ลับหลังขโมยเงินในบาตร ไม่ใช่”

จากเส้นทางและความสำเร็จในชีวิตเสนาลิง น่าจะการันตีได้ว่าการยึดถือ ความดี ไว้เป็นคัมภีร์หลักในการดำเนินชีวิตไม่เคยทำให้ชีวิตใครเกิดความเสียหาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook