"รวิศ หาญอุตสาหะ" พลังครีเอทีฟคนรุ่นใหม่ "แป้งศรีจันทร์" ดังไม่รู้ตัว!

"รวิศ หาญอุตสาหะ" พลังครีเอทีฟคนรุ่นใหม่ "แป้งศรีจันทร์" ดังไม่รู้ตัว!

"รวิศ หาญอุตสาหะ" พลังครีเอทีฟคนรุ่นใหม่ "แป้งศรีจันทร์" ดังไม่รู้ตัว!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ศรีจันทร์" ในช่วงระยะแค่ 1-2 ปีก่อน ภาพเลือนรางของแป้งหอมโบราณที่อยู่คู่ผิวคนไทยมานานกว่า 60 ปี จะค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในจินตนาการ แต่สำหรับวันนี้เมื่อพูดถึง "ศรีจันทร์" จะนึกออกได้โดยง่ายว่าเป็นเครื่องสำอางแบรนด์ไทยทีมอันมีภาพลักษณ์อินเตอร์ กำลังอยู่ในกระแสและน่าจับตามอง ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ TVC ที่สร้างสรรค์โดย "ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย" ผู้กำกับโฆษณามากฝีมือที่ทำโฆษณาที่เห็นเพียงครั้งเดียว ก็เกิดการจดจำได้ในทันที แม้จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวสื่อสาร

อีกส่วนซึ่งถือว่าเป็นพาร์ตใหญ่นั่นคือ "รีแบรนด์" ที่เรียกได้ว่าแทบจะ "ล้มกระดาน" ศรีจันทร์แบบเดิม ๆ กันเลยทีเดียว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้ศรีจันทร์กลับมามีที่ยืนในท้องตลาดอย่างสง่างาม แต่ยังทำให้การรับรู้ของคนทั่วไปที่มีต่อแบรนด์ "ศรีจันทร์" เปลี่ยนไปด้วย

"รวิศ หาญอุตสาหะ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด นักธุรกิจหนุ่มวัย 36 ปี ผู้ที่เข้ามาสืบทอดธุรกิจของตระกูลต่อจากผู้เป็นอา (มาตร หาญอุตสาหะ) มานานถึง 8 ปี กล่าวถึงความภาคภูมิใจต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่า ปัจจุบัน "ศรีจันทร์" ไม่ได้มีภาพลักษณ์เป็นของราคา 10 กว่าบาท หรือดูโบราณอีกต่อไป "ศรีจันทร์" ลุกใหม่ได้ถูกยกไปเทียบกับอินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งไม่ว่าจะถูกเปรียบว่าดีกว่า ด้อยกว่า หรือพอกัน แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ศรีจันทร์ได้ถูกยกระดับมาไกลจากเดิมมาก นี่สิ่งที่เหนือกว่ายอดขาย เพราะจะส่งผลดีต่อ "ศรีจันทร์" ในระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงศรีจันทร์โดย "รวิศ" ไม่ได้เพิ่งเริ่ม 8 ปีที่ผ่านมาของเขาในบทบาทหัวเรือใหญ่ เขาได้พยายามปรับภาพลักษณ์ของ "ศรีจันทร์" มาตลอด แต่การเปลี่ยนทีละเล็กละน้อยไม่ส่งผลใด ๆ นัก เขาจึงต้อง "พลิกทุกองค์ประกอบ" ของศรีจันทร์ครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

"ตอนนั้นผมคิดแล้วว่า ถ้าเราไม่เปลี่ยน สุดท้าย...แบรนด์ศรีจันทร์ที่คุณปู่ (พงษ์ แซ่ห่านหรือพงษ์ หาญอุตสาหะ) ก็จะหายไปในที่สุด จึงเป็นที่มาของการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ซึ่งแท้จริงแล้ว "การรีแบรนด์" ไม่ใช่แค่ในส่วนงานโฆษณา งานแพ็กเกจจิ้ง แต่ต้องลงลึกถึงแผนการตลาด ตัวผลิตภัณฑ์ และหลักขององค์กรเลยว่าเราจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี ในราคาที่ลูกค้าซื้อได้ เพราะผมเชื่อว่าการรีแบรนด์ทั้งหมด ไม่ว่าโฆษณาจะดีแค่ไหน แพ็กเกจจะสวยเท่าไหร่ ถ้าผลิตภัณฑ์ไม่ดีก็ไปไม่รอด"

เพราะมีทรรศนะเช่นนี้ "รวิศ" จึงลงทุนให้ทีม Research & Development คิดค้นสูตรแป้งที่เป็น "The best oil control loose powder" ให้สมคำร่ำลือในงานโฆษณา ตามหาพัฟเนื้อดีจากประเทศญี่ปุ่นคุณภาพเดียวกันกับที่แบรนด์ระดับโลกเลือกใช้ออกแบบบรรจุภัณฑ์และแพ็กเกจใหม่แทบไม่เหลือเค้าเดิม

"เราให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดมี Blind Test มีการวิจัยเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุด การที่ผมเป็นผู้ชายมาทำงานในโจทย์เครื่องสำอาง ข้อเสียเปรียบชัดเจนคือผมไม่ได้ใช้ ซึ่งอาจจะไม่มีอินเนอร์ แต่การมีอินเนอร์ในเรื่องพวกนี้ ก็สามารถกลายเป็นข้อเสียได้เช่นกัน เพราะมันจะสร้าง Bias ทันที ฉะนั้น ผมจะดูที่ข้อเท็จจริงอย่างเดียว เวลาตัดสินก็มาจาก Based on Fact เพราะเช่นนั้นคำว่าดีที่สุดในที่นี้ ผมไม่ได้ตัดสินมาจากว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่ผมดูจากกลุ่มตัวอย่างว่าเขาชอบอะไรมากกว่ากัน"

ลงดีเทลทุกรายละเอียดแบบนี้ ทำให้การ "พลิก" ครั้งใหญ่ของศรีจันทร์มีฟีดแบ็กที่ดีเกินความคาดหมาย ซึ่งตัว "รวิศ" เองก็ทั้งแปลกใจและดีใจในคราเดียวกัน

"ตอนนี้ "ศรีจันทร์ ทรานส์ลูเซนต์ พาวเดอร์" แพ็กเกจสีม่วงมาแรงมาก เพราะสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันซึ่งใช้แป้งฝุ่นเป็นประจำทุกวันได้ ส่วนตัวสีฟ้าซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิม และตัวสีเขียวสูตรทานาคา ที่เราทำการวิจัยกับ สวทช. นาโนเทค ก็ยังขายดีตามกันมา "ศรีจันทร์ เบบี้ พาวเดอร์" แป้งสำหรับเด็ก ทำให้ผิวแข็งแรงและลดอาการแพ้ได้จริง ก็กำลังทำการตลาดเป็นตัวต่อไป เร็ว ๆ นี้จะมีสินค้าในไลน์แป้งใหม่ ๆ ออกมาอีกหลายตัว ซึ่งอยู่ในช่วงการพัฒนาสูตรครับ"

เห็นงานล้นมือขนาดนี้ แต่ "รวิศ" กลับบอกว่า เขาไม่ใช่คนทำงานหนักมาก ไม่ชอบที่จะอยู่ออฟฟิศถึงดึกดื่น ตกเย็นจะรีบกลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัว พยายามบาลานซ์การใช้ชีวิตให้ครบทุกส่วน และเขายังหลงใหลในโลกของหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหรือการเขียน โดยเจ้าตัวได้มีงานเขียนของตนเองมาแล้วถึง 3 เล่ม และเล่มที่ 4 กำลังตามมาในช่วงเดือนสิงหาคมนี้

"การเขียนหนังสือทำให้ผมได้ศึกษาเรื่องราวโลกบิสซิเนสและได้ลับสมองด้วยในขณะเดียวกันยังนำความรู้มาปรับใช้กับธุรกิจได้ด้วย ผมกำลังสนใจเรื่องเกี่ยวกับครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งมันเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากมาร์เก็ตติ้งแบบเดิม ๆ

ขณะเดียวกันผมก็ชอบการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อื่นในกรุ๊ปไลน์ ผมมักคุยกับกลุ่มนักเขียนเสมอ ๆ 2 อาทิตย์จะเจอกันสักครั้งหนึ่ง เป็นกรุ๊ปที่สนุกมาก ผมเป็นนักเขียนและนักธุรกิจ บางคนนักเขียนพ่วงการเป็นดีไซเนอร์ อีกคนก็เป็นนักเขียนเต็มตัว เมื่อมาคุยกันแต่ละคนก็จะมีมุมมองเป็นของตัวเอง และผมก็มักจะได้มุมมองที่ดีจากคนกลุ่มนี้อยู่บ่อย ๆ"

ไม่ใช่แค่การสนทนาทางความคิดในโลกโซเชียล ผู้บริหารหนุ่มของศรีจันทร์และกลุ่มเพื่อนนักเขียน ยังมักมีกิจกรรมร่วมกันด้วยการไปบรรยายให้ความรู้แก่นักเรียนนักศึกษาฟังเกี่ยวกับเป้าหมายและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตโดยเขาให้ความเห็นว่านี่คือการสร้างประโยชน์ในทางที่เขาถนัด ซึ่งยังเป็นผลดีต่อตัวเขาและแบรนด์ "ศรีจันทร์" อีกด้วย

"ความสำเร็จจากธุรกิจและการเขียนหนังสือ ทำให้ผมได้ไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยบ่อยมาก บางสัปดาห์ก็ใช้เวลาถึง 5 วันเพื่อไปเล่าให้เด็กฟังว่าโลกบิสซิเนสที่รออยู่นั้นแท้จริงเป็นอย่างไร มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากตำราที่เขาร่ำเรียนบ้าง แม้แต่องค์กรใหญ่ ๆ หรือธนาคารผมก็ไปบรรยายมาเกือบครบทุกธนาคารแล้ว ก็ดีครับ คนก็รู้จักเรามากขึ้น ในทางอ้อมก็ยังได้โปรโมตแบรนด์และเป็น Personal Branding ไปในตัวด้วย และผมก็ยังทำเพจเฟซบุ๊กเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผมไปพบเจอในโลกธุรกิจ อยากแชร์ให้คนอื่นรู้ด้วย"

"รวิศ" เผยอีกว่า การอ่านการแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อื่น และการเรียนรู้สิ่งใหม่ในทุกวัน คือบันไดอีกหนึ่งขั้นของความสำเร็จในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะช่วยสร้างแนวคิดใหม่ ๆ เป็นต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจ และยังทำให้เขาเป็นคนไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ ก็ตาม

"เคยมีคนพูดว่าหนังสือทั้งเล่มถ้าเราได้อะไรมาจากประโยคเพียงแค่ประโยคเดียวก็พอแล้ว ผมเห็นด้วยอย่างมากเพราะตัวผมเองก็ได้แรงบันดาลใจหรือมีทัศนคติที่ไม่ค่อยยอมแพ้ง่าย ๆ มาจากหนังสือที่ผมอ่านเช่นกัน ทั้งหนังสือฮาวทู มาร์เก็ตติ้ง ให้กำลังใจ หรือชีวประวัติคน แม้กระทั่งการดีเวลอป "ศรีจันทร์ ทรานส์ลูเซนต์ พาวเดอร์" ผมก็ได้ประกายมาจากคำของสตีฟ จ็อบส์ ที่ผมอ่านเจอในหนังสือชีวประวัติของเขา โดยสตีฟ จ็อปส์ ได้บอกกับทีมออกแบบของเขาว่า ให้ทำคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดและบางที่สุดมาโดยไม่ต้องสนใจว่าต้นทุนคือเท่าไหร่

ผมนำคำพูดนี้มาใช้กับทีม Research & Development ของผมเช่นกัน เมื่อเราทำโดยไม่จำกัดทรัพยากร ผู้วิจัยก็สามารถใส่ของที่ดีที่สุดลงไปได้ จึงเกิดเป็น "ศรีจันทร์ ทรานส์ลูเซนต์ พาวเดอร์" ออกมา

นี่คือสิ่งที่ผมได้จากการอ่านนำมาใช้จริง และเทิร์นเอาต์มา เป็นหัวใจของการรีแบรนด์ครั้งนี้ ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ ณ ตอนนี้ "ศรีจันทร์ ทรานส์ลูเซนต์ พาวเดอร์" ขายได้ดีมาก ความสำเร็จของมันเหรอครับ...เอาเป็นว่า คัฟเวอร์คอร์สในการวิจัยทั้งหมดที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook