Dad Bod : เมื่อ "ผู้ชายมีพุง" กำลังกลายเป็นคนเซ็กซี่ !

Dad Bod : เมื่อ "ผู้ชายมีพุง" กำลังกลายเป็นคนเซ็กซี่ !

Dad Bod : เมื่อ "ผู้ชายมีพุง" กำลังกลายเป็นคนเซ็กซี่ !
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มติชนสุดสัปดาห์
คอลัมน์ Pop Teen
นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ kenshiro843@gmail.com

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมถูก "แปะป้าย" ให้เป็นคนประเภทนั้นประเภทนี้อยู่หลายครั้ง

ตอนเด็ก เพื่อนๆ มักเรียกผมว่า "เนิร์ด" เนื่องจากใส่แว่นกรอบหนา ตัวเล็ก และชอบอ่านหนังสือ

พอโตขึ้นมาหน่อยก็ถูกแปะป้ายว่าเป็น "เด็กแนว" เพราะชอบอ่านนิตยสาร a day ฟังเพลงนอกกระแส เดินงานแฟตเฟสติวัล และดูหนังฟอร์มเล็กที่ลิโด้

ถัดมาเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน คนภายนอกก็มองว่าผมเป็น "ฮิปสเตอร์" จากไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่ชอบจิบกาแฟ หรืออ่านนิตยสาร Kinfolk

จนกระทั่งเมื่อย้ายมาทำงานที่นิตยสารแฟชั่นผู้ชาย คนรู้จักเกินครึ่งก็มองว่าผมเป็น "เมโทรเซ็กช่วล" จากการที่สนใจการแต่งตัว และดูแลตัวเองมากขึ้น

นึกๆ ไปก็แปลกดี คนคนเดียวกันกลับมาชื่อเรียกเปลี่ยนไปมากมาย

เพื่อนผมคนหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกตว่าผม "เปลี่ยนไป" ไม่เหมือนกับที่เคยรู้จักกันแรกๆ

ตอนแรกผมไม่พอใจกับความเห็นดังกล่าว เพราะคิดว่าตัวเองยังเป็นคนเดิม

แต่เมื่อลองคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ และเป็นจริงดังเขาว่า

ในโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

พ่อผมแต่ก่อนก็ใส่กางเกงขาบานไว้ผมยาวสูบบุหรี่จัดมาตอนนี้เขาก็กลายเป็นผู้ชายวัยเกษียณคนหนึ่งที่รักครอบครัวติดบ้านชอบทำอาหารและพักผ่อนง่ายๆด้วยการดูหนังช่อง HBO อยู่บ้าน

คำว่า "เปลี่ยนไป" จึงอาจไม่ได้หมายความว่าเราเปลี่ยนจุดยืนหรืออุดมการณ์เลือนหาย การ "เปลี่ยนไป" อาจหมายถึงการเติบโต ความสนใจที่ขยายขอบเขตมากขึ้น หรือไม่ก็การตัดทอนตัวตนบางอย่างที่เคยเป็น เนื่องจากเราไม่เชื่อในสิ่งนั้นแล้ว หรือหมดความสนใจกับเรื่องนั้นไปแล้ว

หรือบางครั้ง เราอาจไม่ได้เปลี่ยนไป เรายังเป็นคนเดิม เพียงแต่มีป้ายที่เขียนคำนิยามใหม่ๆ มาสวมไว้ที่คอของเรา

ยุคนี้เป็นยุคที่มีคนพยายามจะแบ่งประเภทของคนมากมาย อาจเป็นเพราะสังคมหลากหลายขึ้น เปิดกว้างมากขึ้น มี sub-culture มากขึ้น หรือนักการตลาดอยากจะขายของให้ตรงกลุ่มเป้าหมายก็สุดแท้แต่

เอาแค่เฉพาะผู้ชาย ตอนนี้เรามีทั้ง Yummies, Spornosexual, Lumbersexual และอื่นๆ อีกเพียบ

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาได้เกิดคำศัพท์ใหม่ว่า "Dad Bod" คำๆ นี้กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาอย่างมาก

ผมเชื่อว่าผู้ชายไทยเกินครึ่งประเทศถูกจัดอยู่ในผู้ชายประเภทนี้

คำว่าDadBodถูกนิยามโดยนักศึกษาสาวปีที่สองแห่งมหาวิทยาลัยClemsonที่ชื่อว่าMackenziePearson เธอเขียนบทความ "Why Girls Love The Dad Bod"

แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ "ทำไมผู้หญิงถึงชอบผู้ชายแบบ Dad Bod"

Dad Bod มาจากคำว่า Dad ที่แปลว่าพ่อ รวมกับคำว่า Bod ที่เป็นศัพท์สแลงจากคำว่า Body ที่แปลว่ารูปร่าง รวมๆ แล้ว Dad Bod จึงหมายถึง คนที่มีรูปร่างเหมือนพ่อ

Pearson อธิบายว่า Dad Bod คือผู้ชายที่มีรูปร่างปกติทั่วไป มีพุงเล็กน้อย ไม่ถึงกับอ้วนลงพุงจนน่าเกลียด แต่ก็ไม่ได้หุ่นเฟิร์มจนเห็นซิกซ์แพ็กเป็นมัดๆ

Dad Bod จะรักษาสมดุลระหว่างการกินเบียร์กับการออกกำลังกาย เขาจะมีไลฟ์สไตล์ประมาณว่า เข้ายิมบ้างแต่ไม่บ่อย ชอบดื่มเบียร์หนักในวันหยุด และก็สนุกกับกินพิซซ่าอย่างเอร็ดอร่อยได้ทีเดียวแปดชิ้นโดยไม่กลัวอ้วน

ถ้ายังไม่เห็นภาพ ลองไปดูกันดีกว่าว่ามีคนดังคนไหนบ้างที่เข้าข่าย Dad Bod

คนแรกที่เห็นชัดที่สุดคือ Leonardo DiCaprio ที่ระยะหลังปล่อยตัวจนตัวบวม ลบภาพหนุ่มน้อยหุ่นดีไปหมด ดิคาปริโอถูกเรียกว่าเป็นราชาของ Dad Bod เลยทีเดียว

คนต่อมาก็เช่น Seth Rogen นักแสดงตลกมากฝีมือ Adam Sandler นักแสดงอารมณ์ดี Christ Pratt ในเวอร์ชั่นก่อนที่เขาจะล่ำเหมือนทุกวันนี้ หรือแม้กระทั่ง Vladamir Putin ผู้นำแห่งรัสเซียที่เคยเปลือยท่อนบนขี่ม้าให้เราเห็นพุงเล็กๆ

และถ้าเป็นคนไทย ผมนึกถึงสองสามคนนี้ คนแรกคือ คุณหม่ำ จ๊กมก สุดยอดดาราตลกที่มีพุงแต่ก็ยังเซ็กซี่ได้

คนที่สองคือ คุณเปิ้ล นาคร ที่ทั้งพุงทั้งหน้าอกย้อยย้วยแต่ก็ยังมีแฟนสวยได้

หรือ คุณบอย ตรัย ภูมิรัตน์ นักร้องวงฟรายเดย์ ที่บางคนบอกว่ารูปร่างเหมือนหมีนุ่มๆ น่ากอด

เท่าที่ผมเล่าไป เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านคงจะรู้สึกดีเล็กๆ ที่เทรนด์ Dad Bod กำลังมา ผมก็เช่นกัน พวกเราผู้ชายไร้กล้ามจะได้มีที่ยืนในสังคมสักที (ฮา)

แต่ยังมีข่าวดีมากกว่านั้น เพราะว่ากันว่าตอนนี้ Dad Bod กลายเป็นความเซ็กซี่ใหม่ที่ผู้หญิงหลายคนชอบ

Pearson เจ้าของบทความเดิมบอกว่า ในขณะที่ผู้หญิงบางคนชอบผู้ชายหล่อล่ำที่เหมือนกับรูปปั้น ก็มีผู้หญิงบางกลุ่มที่ชอบผู้ชายลงพุงธรรมดาๆ ทั่วไป Dad Bod จะมีความเป็นมนุษย์ มีความธรรมชาติ และก็มีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่า

Pearson บอกว่า เหตุผลหลักๆ ที่ผู้หญิงชอบผู้ชายแบบ Dad Bod นั้นมีด้วยกัน 5 ข้อ

ข้อแรก Dad Bod ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ถูกข่มขู่

Pearson อธิบายว่า การที่ผู้หญิงต้องถ่ายรูปคู่กับผู้ชายที่มีกล้ามเป็นมัดๆ ทำให้พวกเธอรู้สึกไม่มั่นใจ รู้สึกแย่ที่หุ่นดีสู้ไม่ได้ พวกเธอไม่ต้องการผู้ชายหุ่นดีเหมือนรูปปั้นยืนข้างๆ เพราะจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่า

ข้อสอง ผู้หญิงต้องการเป็นจุดสนใจมากกว่า

ถ้าให้เทียบกันระหว่างแฟนกับตัวเอง ผู้หญิงอยากให้คนภายนอกชมว่าเธอดูดีกว่า พวกเธอจะรู้สึกสบายใจเมื่อรู้ว่าตัวเองผอมและตัวเล็กกว่าแฟนหนุ่ม

ข้อสาม กอดแล้วอุ่นกว่า

Pearson บอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะกอดกับคนที่แข็งปานหิน ผู้ชายมีพุงกอดแล้วนุ่มกว่า

ข้อสี่ สนุกกับการกิน

ผู้ชายแบบ Dad Bod ไม่ต้องมาห่วงเรื่องการควบคุมอาหาร กินแต่ผักผลไม้ หรือวิตามินให้ยุ่งยาก พวกเขาสนุกกับการกินแฮมเบอร์เกอร์ ไอศกรีม เค้ก หรือเบียร์ และกินตอนไหนก็ได้ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสนุกมากกว่า

ข้อสุดท้าย อ้วนยังไงก็อ้วนอย่างนั้น

ผู้หญิงจะรู้ว่าผู้ชาย Dad Bod จะหุ่นแบบนี้ไปตลอด ไม่เหมือนกับผู้ชายหุ่นดีๆ ที่เมื่อแก่ตัวไปก็อาจจะอ้วนลงพุง ไม่เหมือนเดิมจนอาจรับไม่ได้ แต่ Dad Bod อ้วนยังไงก็อ้วนอย่างนั้น ผู้หญิงจะรักผู้ชาย Dad Bod ในสภาพที่หุ่นเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ Pearson อธิบาย และตั้งแต่มีปรากฏการณ์ Dad Bod เกิดขึ้น ก็มีกระแสในโลกออนไลน์มากมาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ฝั่งที่เห็นด้วยบอกว่านี่คือการตื่นรู้ใหม่ของสังคม ที่ไม่ได้ตัดสินคนที่รูปร่างหน้าตาหรือถูกสื่อบันเทิงมอมเมามากเกินไป

Dad Bod เป็นภาพสะท้อนว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีกล้ามโต คุณก็เป็นผู้ชายที่ดี มีความสุข และมีแฟนสวยได้

ส่วนฝั่งที่ไม่เห็นด้วยมีหลายประเด็น

เว็บไซต์ Elitedaily วิพากษ์วิจารณ์ว่า Pearson หรือผู้จุดประกายเทรนด์นี้ไม่ได้ทำให้ผู้ชาย Dad bod ดูดีขึ้น แต่เธอแค่อยากจะทำให้ตัวเองดูดีขึ้นต่างหาก โดยถ้าสังเกตเหตุผลแต่ละข้อที่ Pearson ยกมา ก็มักจะเป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้หญิงดูดี และผู้ชายดูแย่

นอกจากนี้ เทรนด์ยกย่อง Dad Bod นี้ยังเป็นการกดขี่หรือดูถูกผู้ชายที่เล่นกล้ามโดยไม่รู้ตัวด้วย ทั้งๆ ที่การออกกำลังกายเป็นเรื่องดี

BroScience เว็บไซต์คนรักสุขภาพถึงกับประจานว่าเทรนด์ Dad Bod ร้ายแรงกว่าเชื้ออีโบล่า! เพราะทำให้ผู้ชายกลับมาขี้เกียจ นอนอืดอยู่บ้าน กระดกเบียร์ กินชีสอีกครั้ง โดยไม่ต้องลำบากถ่อไปยกดัมเบลในยิมให้เมื่อยตุ้ม

อีกเสียงวิจารณ์ที่น่าฟังเช่นกันมาจากนิตยสาร TIME เขาบอกว่า Dad Bod ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีผู้ชายรูปร่างแบบนี้มานับร้อยปี แต่เพิ่งมีคนให้คำนิยาม ปัญหาสำคัญคือเทรนด์นี้ทำให้มองเห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เพราะผู้ชายที่มีพุงชอบกระดกเบียร์กลับเซ็กซี่ ดูดี มีสาวๆ ชอบได้ แต่ผู้หญิงที่ถูกมองเป็นแค่วัตถุทางเพศนั้นกลับมีความเป็นไปได้น้อยมาก

ผู้หญิงที่เป็น "Mom Bod" รูปร่างอ้วนลงพุง ชอบกินของมันๆ ไม่ดูแลตัวเอง แทบจะไม่มีผู้ชายคนไหนอยากจีบ

ผู้หญิงจึงถูกสังคมพร่ำบอกว่าต้องดูแลตัวเองหนักหน่วงกว่าผู้ชายหลายเท่าเธอต้องมีร่างกายผอมเพรียวหน้าทองแบนราบบันท้ายเต่งตึงเพียงเพื่อจะสร้างแรงดึงดูดให้ผู้ชายหันมามองบ้างในขณะที่ผู้ชายอาจไม่ต้องทำอะไรเลย

นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ!

ความจริงแล้วDadBod เป็นแค่คำที่นักศึกษาสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปีเขียนขึ้นมาเพื่อให้นักศึกษาอ่านกันเองนะครับ

แต่ผมคิดว่าเหตุผลที่ทำให้DadBodกลายเป็นกระแสเพราะมันโดนใจใครหลายคนมันคือanti-trend ที่พยายามต่อต้านกับเทรนด์หลักอย่างการออกกำลังกายที่มาแรงอย่างมาก

ผู้ชายทุกวันนี้หันมาดูแลตัวเองควบคุมอาหารเล่นฟิตเนสและใส่ใจรูปร่างตัวเองมากขึ้นจนคนบางกลุ่มรู้สึกว่ามากเกินไป

DadBodจะกลายเป็นความเซ็กซี่ที่สาวๆชอบจริงหรือไม่นั้นผมไม่แน่ใจ อันนี้ขึ้นอยู่กับสเปกของแต่ละคน และแม้ว่าปรากฏการณ์นี้จะทำให้เห็นถึง "สองมาตรฐาน" ทางเพศอย่างที่นิตยสาร Time ว่าไว้ แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า Dad Bod ก็เป็นเพียงอีกป้ายที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่

ผมคิดว่าคนทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเป็นของตัวเอง ร่างกายเป็นของเรา เราเป็นคนกำหนดเองว่าอยากจะเป็นอย่างไร

คนภายนอกอาจจะมองคุณว่าเป็นเมโทรเซ็กช่วล เป็นสปอร์โนเซ็กช่วล หรือเป็น Dad Bod ก็สุดแท้แต่จะคาดเดา สิ่งสำคัญที่สุดคือรู้ว่าตัวเองเป็นใคร มั่นใจในสิ่งที่เป็น มีความสุขกับสิ่งที่ทำ

และเลิกใส่ใจเสียบ้างว่าป้ายที่คนอื่นแปะให้นั้นเขียนว่าอะไร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook