เรื่องวุ่น ๆ ของ “เด็กเดฟ” กับความรักที่จับต้องได้ของ เจษ - เจษฎ์พิพัฒ และคุณแม่

เรื่องวุ่น ๆ ของ “เด็กเดฟ” กับความรักที่จับต้องได้ของ เจษ - เจษฎ์พิพัฒ และคุณแม่

เรื่องวุ่น ๆ ของ “เด็กเดฟ” กับความรักที่จับต้องได้ของ เจษ - เจษฎ์พิพัฒ และคุณแม่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยามบ่ายในวันที่แสนธรรมดา Sanook Men มีนัดสนทนาทางไกลกับคู่แม่ลูกแสนพิเศษที่ไม่ได้ออกสื่อด้วยกันบ่อย ๆ เขาคือ เจษ - เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ หนุ่มทรงเสน่ห์มากความสามารถ ที่เอ่ยปฏิเสธแทบทุกรายการหากขอเชิญครอบครัวมาร่วม แต่เพราะโอกาสพิเศษในวันแม่ปี 2565  นี้ เราจึงได้เห็นความอบอุ่นของลูกชายคนเล็กกับ คุณแม่ - อุทัยวรรณ ทรัพย์แสนยากร ผ่านเรื่องราวสนุก ๆ แบบคุณลูกต้องเรียกแม่เสียงสูงและคุณแม่ต้องกุมขมับ แต่เต็มไปด้วยแบบฉบับความรักที่ใครได้อ่านหรือฟังเป็นต้องยิ้มตาม

คุณแม่และเจษในวัยเด็กคุณแม่และเจษในวัยเด็ก

ชื่อของลูกชาย และความหมายที่แท้จริง 

ในวงการบันเทิงเรียก เจษ - เจษฎ์พิพัฒ แต่สำหรับครอบครัวทุกคนเรียกน้องเล็กว่า “ปอ” เด็กชายขี้อายที่มีชื่อสอดคล้องกับพี่ชายอีกสองคน คือ “ปอน” และ “ปัน” สามพี่น้องตระกูลปอที่ คุณพ่อ-ภูมิพัฒน์ ติละพรพัฒน์ เป็นคนตั้งให้

คุณแม่ :  ส่วนเจษฎ์พิพัฒ ให้พระตั้งทั้งสามคนเลย ความหมายต้องให้เขาบอกเอง

เจษ :  จำไม่ได้ครับ (หัวเราะ)

คุณแม่ : ตายชีวิต.. ลูกชั้น! ความหมายก็คือ เป็นคนที่เก่งในวิชาในทุกๆ ด้าน เขียนยากมากคุณแม่ยังเขียนไม่ถูกเลย (หัวเราะ)

แล้วเจษฎ์พิพัฒ ก็เก่งสมชื่อ ทั้งเรื่องเรียน กีฬา ดนตรี ได้ส่วนไหนมาจากใคร

คุณแม่ : ทางด้านกีฬาต้องยกให้คุณพ่อ เพราะคุณพ่อชอบเล่นกีฬาทุกอย่าง ทั้งตีกอล์ฟ ทั้งวิ่ง ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เทนนิสนี่ตัวยงเลย ตีจนได้แผลที่หน้า ส่วนทางดนตรีน่าจะเป็นคุณแม่ ไล่มาตั้งแต่คุณตาจะให้ลูกเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนทั้งตระกูลเลย อย่างลูกของคุณแม่ก็จะส่งให้เรียนเปียโนทั้งสามคน มีโรงเรียนอยู่ปากซอยให้เดินไปเรียน แต่คนนี้จะไม่ค่อยสนใจเรียนเปียโนเท่าไหร่ เขาบอกว่าอยากจะเล่นกลอง ให้คุณแม่ซื้อกลองให้ ก็โอเคค่ะ คุณแม่ได้หมด

เจษ :  เพราะพี่คนกลางจะเล่นกีตาร์ก่อน เรารู้สึกว่าไม่อยากซ้ำก็เลยหาอย่างอื่นที่ไม่เหมือนกัน คิดว่าน่าจะสนุกดี  พอลองเล่นก็สนุกเลยเล่นต่อดีกว่า  

คุณแม่ : กลองนี่พอตีที เดี๋ยวมีเสียงชมจากข้าง ๆ บ้านบ้าง บ้านคุณอาบ้าง ทางนู้นทางนี้ ก็ต้องคอยบอกลูกเบา ๆ ลูกก็บอกคุณแม่มันเบาสุด ๆ แล้ว ตอนหลังก็ไปซื้อกลองไฟฟ้ามาก็แก้ปัญหาได้
เจษยังคงตีกลองและเล่นดนตรีถึงปัจจุบัน

สนิทกับคุณแม่มากแค่ไหน

เจษ :  พี่น้องทุกคนสนิทกับคุณพ่อคุณแม่หมด แล้วแต่ว่าเรื่องไหนจะปรึกษาใคร กับคุณแม่จะเป็นเรื่องประจำวัน เรื่องทั่วไป อาหารการกิน เรื่องสุขภาพ หรือเรื่องอะไรที่กลัวคุณพ่อดุก็จะปรึกษาคุณแม่ แต่ถ้าเป็นสายจริงจังเรื่องธุรกิจเรื่องเงินก็ต้องไปทางคุณพ่อ คุณแม่จะเป็นแบบสายประนีประนอม คุณพ่อจะเป็นแบบหลักการและเหตุผลมากกว่า

คุณแม่ : ตอนเด็ก ๆ นี่ไม่เข้าเลยนะคะคุณพ่อเนี่ย จะไม่เข้าใกล้เลย

เจษ :  คุณพ่อดุครับ

คุณแม่ : คุณพ่อจะอยู่ห้องประจำของเขา สามคนนี้ก็จะอยู่อีกห้องหนึ่งเลย จะเล่นกันนัวอยู่ฝั่งนี้ พอคุณพ่อมาถึงทุกคนจะเงียบ แต่ตอนโตนี่สลับกัน คุณแม่จะอยู่ห้องของตัวเอง คุณพ่อจะมาดิวกับลูก คุณแม่โอนให้เขาหมดแล้ว เพราะเป็นผู้ชายทั้งหมด ควรจะไปเลียนแบบอะไรที่เป็นชาย ๆ กับเขาดีกว่า มาอยู่กับคุณแม่น่าจะหน่อมแน้ม (หัวเราะ)

ส่วนที่เจษถอดแบบคุณแม่มาเลย

เจษ :  น่าจะเป็นความใจดีในบางส่วน แล้วก็รักสัตว์ครับ จริง ๆ คุณพ่อรักสัตว์ก็เพราะคุณแม่นะ เพราะตอนผมเด็ก ๆ จำได้ว่าคุณพ่อไม่เอาเลยเรื่องสัตว์เลี้ยง ไม่เข้าใกล้สัตว์ทุกชนิด แต่คุณแม่จะรักสัตว์มาก อะไรหลงเข้ามาในบ้านก็จะเลี้ยงไว้ ชอบช่วยเหลือสัตว์

คุณแม่ : สะสมสัตว์ค่ะ (หัวเราะ) ตอนหลังเขาก็รักค่ะ รักมากกว่า และห่วงมากกว่าด้วย ตอนนี้ซื้ออาหารเป็นหน้าที่เขาเลย เรื่องนี้เปลี่ยนได้นะคะ บ้านไหนลองทำดู ลองเก็บสัตว์พเนจรมาเลี้ยงจะสามารถเปลี่ยนคนให้ใจดีขึ้น คราวนี้ก็จะมีเรื่องให้คุยกันทุกวัน แนะนำเลยค่ะบ้านไหนที่ชอบนั่งเงียบ ๆ อยู่กันคนละห้อง ควรเลี้ยงสัตว์มากเลยค่ะ จะมีกิจกรรมร่วมกัน

เจษ : ต้องใช้เวลาครับ

 ทาสแมวที่แท้ทรูทาสแมวที่แท้ทรู

หลังลูกชายเข้าวงการ เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

คุณแม่ : จริง ๆ ก็ดูเขามาตลอด เขาค่อย ๆ ขึ้นนะคะ ไม่ได้โป๊ะทีเดียวแล้วดังเลย แต่ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมา ซึ่งเราก็ชอบตรงนั้น เขาได้เรียนรู้ประสบการณ์จากการที่พบคนข้างนอก เพราะตอนเด็ก ๆ เขาจะเป็นคนที่ขี้อายนิดนึง จะหลบอยู่หลังพี่ตลอด ก็ได้ออกไปเผชิญ อะไรที่ไม่เคยทำ อะไรที่ไม่เคยพลีสใคร อะไรที่ไม่เคยทาน เขาก็ได้เรีนรู้จากวงการ ซึ่งตรงนี้คุณแม่ดีใจมาก ดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเห็นการพัฒนาของลูก และชอบในสิ่งที่เขาทำ

เจษเองก็ตั้งใจดูแลครอบครัวและไม่อยากให้คุณแม่ทำงานเลย

เจษ :  จริง ๆ ที่ไม่อยากให้คุณแม่ทำงานนี่มาตั้งแต่คุณพ่อแล้วครับ ตั้งแต่คุณแม่แต่งงานคุณพ่อก็ไม่ให้ทำงานเลย เป็นความตั้งใจของคุณพ่ออยู่แล้ว และก็ส่งต่อมา เราก็พยายามพัฒนาตัวเอง ทำให้เขาเชื่อใจว่าเราโตขึ้นและเลี้ยงดูตัวเองได้ เรื่องต่างๆ ก็อยากทำให้เขาภูมิใจเช่นเรื่องเรียนก็พยายามทำให้เต็มที่ พอเห็นพ่อแม่ดีใจเราก็ดีใจ นั่นคือสิ่งที่เราดีใจมากกว่าผลการเรียนที่ดีหรือว่างานที่ประสบความสำเร็จ คือเราเห็นพ่อแม่ดีใจมันยิ่งไปกว่าความสำเร็จใดๆ ทั้งหลายทั้งหมดเลยครับ

คุณแม่ : ซึ้งเลยค่ะ (ทำท่าเช็ดน้ำตา แม่ลูกหัวเราะ)

วีรกรรมลูกชายที่ทำให้คุณแม่ต้องกุมขมับ

คุณแม่ : อืม มีเยอะเหมือนกันค่ะ อย่างเรื่องทานข้าว ตั้งแต่ตอนเด็กๆ จนถึงมัธยมเป็นคนที่ทานข้าวยากมาก อาหารที่ทำให้ลูกสามคนเวลาไปส่งตอนเช้าของเขาจะเหลือกลับมาเท่าเดิม บางครั้งอมอย่างเดียว คำเดียวจากบ้านถึงโรงเรียนเลย  ทุกปีที่ต้องเปลี่ยนชุดนักเรียน น้องเจษไม่ต้องเปลี่ยนเอวค่ะ แต่ความยาวจะต้องเปลี่ยนเพราะว่ามันสั้นขึ้น เขาจะเป็นเด็กเดฟ เราก็ต้องตัดใหม่ พี่สองคนก็ต้องตัดใหม่เหมือนกันเพราะอ้วนขึ้น (หัวเราะ) เราก็เลยห่วงเรื่องสุขภาพมาก

เจษ : ไม่ใช่กินยากหรอกครับ อารมณ์เหมือนขี้เกียจกิน ไม่ค่อยหิว จนปัจจุบันถ้าตื่นมาสิบเอ็ดโมงกว่าจะกินคือบ่ายสองบ่ายสามเลยเพราะว่ามันไม่หิว

คุณแม่ : นี่คือสิ่งที่ห่วงที่สุด กลัวว่าสุขภาพจะไม่ดีตอนมีอายุมาก เราจะห่วงตรงนี้ นี่เลยคือวีรกรรม อม! อมจริง ๆ ! อันนี้กลุ้มใจมากเลย บางทีต้องร้องเลย โอ้โหลูก ! ต้องดุกันทุกวัน แต่ตอนนี้เลิกแล้วค่ะ

เจษบอก “ใคร ๆ ก็ชอบอมข้าวทั้งนั้นแหละ”เจษบอก “ใคร ๆ ก็ชอบอมข้าวทั้งนั้นแหละ”

เรื่องอะไรที่เจษต้องเรียก “คุณแม๊” เสียงสูง

คุณแม่ : บ่อยค่ะบ่อย

เจษ : เหรอ

คุณแม่ : บ่อยค่ะ บอกอะไรน่ะแม๊ รู้แล้วน่ะเเม๊

เจษ : อ่อ (ขำ)

คุณแม่ : คือเวลาเราบอกอะไรเขาจะบอก รู้แล้วแม่ แม่อย่าพูด เดี๋ยวปอทำเอง จะพูดอย่างนี้ประจำ

เจษ :  มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือว่าไม่โอเค หรือเรื่องเครียดหรอกครับ จะเป็นเรื่องยิบ ๆ ย่อย ๆ คือคุณแม่จะเป็นคนกังวลเยอะ กังวลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ว่าเราจะลืมของหรือเปล่า เก็บของตามที่หรืออย่างเช่นเรื่องขับรถ อันนี้ชัด ๆ เลยครับ คุณแม่จะเป็นคนขี้ตกใจเวลาอะไรผ่านหน้ารถก็จะคิดว่าเป็นสัตว์หมด ถุงดำก็จะคิดว่าเป็นสัตว์ คิดว่าเป็นแมวสีดำ แล้วเราก็จะคอยแบบแม่ไม่ต้องพูด เพราะบางทีเราตกใจ เราขับรถอยู่ หรือว่าเวลาเข้าห้างหาที่จอดรถ แม่ก็จะบอกตรงนั้นว่าตรงนี้ว่างตลอด (คุณแม่ : ช่วยหาค่ะช่วยหา) ก็จะตลก ๆ มากกว่า ไม่ใช่เรื่องที่ไม่พอใจ

บอกความเป็นสุดยอดของกันและกัน

เจษ :  รักลูกมั้งครับ เพราะพี่น้องทุกคนสัมผัสได้ว่าคุณแม่รักลูกมาก คือทุกอย่างให้ลูกก่อน แม่ไม่ได้กินข้าวลูกต้องกินก่อน เป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้ว ทุกคนเลย

คุณแม่ : สำหรับคุณแม่ ลูกก็คือที่สุดแล้วค่ะ มอบให้ทุกอย่าง ดวงใจเลย น้องเจษก็ไม่เคยซน ไม่เคยดื้อก็มีบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ทำให้เรากังวลก็เรื่องสุขภาพ บางทีคนจะมองลูกเราว่าคุณหนู ซึ่งคุณแม่ก็จะบอกว่าไม่นะ ที่เขาเฉยเป็นบุคลิกเขาจริง ๆ ตั้งแต่เด็ก เวลาไปเล่นกับเพื่อเขาจะไม่เล่นสกปรก จะยืนดู เป็นเด็กแบบนั้น เสื้อผ้าไม่สกปรกตั้งแต่เด็กเลย แต่พี่สองคนนี่คลุกเละเลย เขาเป็นมาตั้งแต่เด็กเอง คุณยายยังเคยพูดว่าลูกคนเล็กเธอทำไมไม่ค่อยเล่นเลอะเทอะเลยนะ ซึ่งบางคนจะไม่เข้าใจ มองในมุมว่าเจษจะหยิ่ง คุณแม่พูดได้เลยว่าไม่มีเลย เขาเป็นเด็กน่ารักมาก คอนเฟิร์ม

ในฐานะเจ้าของช่อง Jes's First Time อยากทำอะไรกับคุณแม่เป็นครั้งแรก

เจษ :  จริง ๆ มันเยอะมากครับ เพราะคุณแม่เป็นคนกลัวหลายอย่าง เช่น กลัวน้ำ ไม่ว่ายน้ำ หรือของกินอะไรต่าง ๆ ที่มันดิบ อย่างเช่นปลาดิบ ของแปลก ๆ อย่างเช่นเนื้อกวาง เนื้อแกะ เนื้อกบ เนื้อที่ไม่สุกก็จะไม่กิน มีอะไรเยอะมากที่อยากให้คุณลองกิน (คุณแม่: หืมมมม) อย่างปลาดิบ บางทีเราจะพาไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นดี ๆ คุณแม่ก็จะสั่งแต่สเตกปลาแซลมอน ง่าย ๆ ก็อยากจะให้คุณแม่ลองกินอะไรที่เรารู้สึกว่าเรากินแล้วรู้สึกว่าอร่อย

แล้วคุณแม่อยากทำอะไรกับลูกชาย

คุณแม่ : อยากจะไปท่องเที่ยวด้วยกันที่เป็นครอบครัว อยากได้ฟิลนั้น เพราะลูกสามคนอยู่กันคนละที่ละทางก็อยากจะไปทั้งหมดพร้อม ๆ กัน

เจษ :  ตอนนี้บ้านผมอยู่กันแบบพี่น้องแยกกันหมดเลย ผมจะอยู่บ้าน พี่คนโตจะอยู่คอนโด พี่คนกลางอยู่อเมริกาเลย เหมือนนาน ๆ ทีจะมีโอกาสรวมกันครบครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ สักสองสามอาทิตย์ ซึ่งจะแมชเวลาที่ตรงกันมันยาก

คุณแม่ : ลูก ๆ เขาน่ารักมาก จะอยู่ช่วยกันดูแลพ่อแม่ คนหนึ่งขับรถ คนหนึ่งหาโรงแรม คุณแม่อยากได้ฟิลนั้น อยากได้ใช้ชีวิตแบบนั้นบ่อย ๆ

ทริปครอบครัวที่คุณแม่โปรดปรานทริปครอบครัวที่คุณแม่โปรดปราน

ขอมุมมองเรื่องความกตัญญู

เจษ :  ผมว่าแล้วแต่บ้านนะครับว่าโตมาอย่างไร บางบ้านพ่อแม่อาจจะต้องการความดูแลแบบประคบประหงมจากลูก และจะมองว่าถ้าไม่คอยดูแลให้พ่อแม่เป็นที่หนึ่ง จะมองว่าไม่กตัญญู  แต่บ้านผมไม่เป็น คือคุณพ่อคุณแม่ก็จะมีกิจกรรมของเขา  ก็เลยไม่ได้รู้สึกมากดดันลูก ๆ ว่าต้องทำนี่ทำนั่นให้ ยกเว้นจะเป็นเรื่องอะไรที่ต้องการให้เราช่วยจริง ๆ

ผมว่าถ้าเราเลี้ยงดูตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องไปลำบากเขา ไม่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากเขาเยอะ ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องการมากที่สุดแล้ว สำหรับบ้านผมนะ ไม่ต้องไปดูแลตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ

คุณแม่ : คุณแม่ไม่ได้คาดหววังอะไรจากลูกทั้งสามคน ขอให้เขามีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ แล้วก็ดำเนินชีวิตแบบราบรื่นอย่างที่คุณพ่อคุณแม่เป็น แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ

เจษ :  อุ๊ย ป๊า ! มีคนแอบดู (หันไปมองคุณพ่อทีมาชะเง้อมอง เกือบจะซึ้ง ฮาเลยทีนี้)  

ภาพความสุขของคุณแม่ที่เจษเป็นคนถ่ายภาพภาพความสุขของคุณแม่ที่เจษเป็นคนถ่ายภาพ

สิ่งที่อยากบอกในวันแม่ปีนี้

เจษ :  เป็นห่วงคุณแม่เรื่องสุขภาพครับ เพราะคุณแม่เป็นคนที่ออกกำลังกายน้อย เครียดง่ายกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เครียดเรื่องลูกเยอะ บางทีก็คิดไปเองบ้าง (คุณแม่: หืมมม) อย่างเช่นเรื่องสุขภาพของแต่ละคน ก็ไม่อยากให้คุณแม่เครียดเยอะ และอยากให้ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายบ้าง ก็เหมือนกับคำที่คุณพ่อบอกคุณแม่ตลอดว่าให้ออกกำลังกายบ้าง เพราะบางทีคุณแม่ก็จะเจ็บนู่นเจ็บนี่ง่าย ก็อยากให้ดูแลสุขภาพ

คุณแม่ : ไม่หวังอะไรจากลูก เขาเป็นเด็กที่น่ารักอยู่แล้ว สิ่งที่เขาทำก็คือของขวัญให้คุณแม่ ทั้งสามคนเลย ส่วนเฉพาะน้องเจษเขาก็รับผิดชอบในหน้าที่การงานที่ดีอยู่แล้ว จะทำอะไรก็จะคิดถึงผลกระทบที่จะมาถึงครอบครัว ซึ่งแม่ก็ภูมิในใจตัวเขา

เจษ : เพราะจริง ๆ คือน้อยมากที่จะผมจะให้พ่อกับแม่ออกสื่อ เวลารายการเชิญไปผมจะเป็นคนปฏิเสธเองด้วย เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่อยากให้พวกเขากังวล หรืออะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ว่าถ้าเขาเห็นงานที่เราทำ จะทำให้เขาเป็นห่วงหรือเปล่า  เช่น สมมติว่าไปกองถ่าย เห็นความลำบาก เราจะแฮนเดิลตรงนั้นเอง ไม่อยากให้เขาเข้ามาเห็นเยอะ แต่ทุกงาน ไม่ใช่ว่าแค่งานผม งานของพี่ชายแต่ละคนผมว่ามีความลำบากหมด บางอย่างถ้าเขามาเห็นจะเป็นห่วง ถ้าเราสามารถทนได้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขามาห่วง หรือต้องมากังวล

คุณแม่ : มีอะไรเขาก็งุบงิบกันเองพี่น้องสามคน บางเรื่องจะปิดไม่ให้เรารู้ เราก็มารู้ทีหลัง ส่วนใหญ่จะจัดการกันเอง ซึ่งดีค่ะ พี่น้องรักกัน  

วิธีการแสดงความรักต่อกันและกัน

เจษ : ไม่มีเลยครับ

คุณแม่ :  ไม่หวานหรอกค่ะ มีพาไปกินข้าวอะไรอย่างนี้ เราก็จะเรียกกันที่บ้านนะคะว่า ปอ พาคุณแม่ไปทานข้าวหน่อยสิ เขาก็จะตอบทันทีว่าคุณแม่ไปทานอะไร เดี๋ยวปอพาไป เอาร้านไหนดี สั่งข้าวให้แม่ ดูแลอะไรอย่างนั้นมากกว่า เพราะด้วยความที่แบบผู้ชายทั้งบ้าน รวมคุณพ่อด้วยก็สี่คน

เจษ : คุณแม่น่าจะทำใจตั้งแต่ผมเกิดมาแล้วว่าไม่มีลูกสาวที่จะคอยมาอ้อนเอาใจ ผมจะเป็นการกระทำมากกว่า พาไปกินข้าวแล้วก็ดูแลต่าง ๆ นา ๆ เวลาเขาต้องการอะไร

คุณแม่ :  ค่ะต้องทำใจ ก็ต้องรอลูกสะใภ้ คุณแม่ก็หวังมากเลยกับลูกสะใภ้ (หัวเราะ)

เจษ :  ยิ้มมมมมมมม

ตลอดการสนทนาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวติละพรพัฒน์  ไม่ได้มีแต่ปอหรือเจษ แต่ชวนให้เห็นภาพสามหนุ่มพี่น้องกอดคอเคียงข้างคุณพ่อและคุณแม่ไปพร้อมกัน ก่อนที่ลูกชายคนเล็กจะเป็นตัวแทนแสดงความรักต่อคุณแม่ด้วยการโอบกอดกันให้ทีมงาน Sanook นั่งอมยิ้มอยู่ไกล ๆ

เป็นความรักที่จับต้องได้ และไม่ว่าใครก็สัมผัสถึงจริง ๆ  

สองแม่ลูกตัวแทนความรักครอบครัวติละพรพัฒน์ สองแม่ลูกตัวแทนความรักครอบครัวติละพรพัฒน์

สัมภาษณ์ เรียบเรียง : อุราณี ทับทอง  

อัลบั้มภาพ 28 ภาพ

อัลบั้มภาพ 28 ภาพ ของ เรื่องวุ่น ๆ ของ “เด็กเดฟ” กับความรักที่จับต้องได้ของ เจษ - เจษฎ์พิพัฒ และคุณแม่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook