คุยกับ ปูไข่ พงศ์สิรี ยุคโควิดปรับตัวจากนักแสดงมาเป็นหนุ่มออฟฟิศ

คุยกับ ปูไข่ พงศ์สิรี ยุคโควิดปรับตัวจากนักแสดงมาเป็นหนุ่มออฟฟิศ

คุยกับ ปูไข่ พงศ์สิรี ยุคโควิดปรับตัวจากนักแสดงมาเป็นหนุ่มออฟฟิศ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยุคโควิดทุกคนต้องปรับตัว ไม่เว้นแม้แต่นักแสดงมากความสามารถและอดีตนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย ปูไข่-พงศ์สิรี บันลือวงศ์ ที่ก่อนหน้านี้ให้เวลากับงานละครเกือบทุกวัน ปัจจุบันเปลี่ยนมาทำงานประจำ โดยใช้ชีวิตหนุ่มออฟฟิศมาปีกว่าแล้ว วันนี้ Sanook พามาอัปเดตชีวิตของหนุ่มคนนี้กัน

ทำงานประจำเป็นหลัก

งานแสดงตอนนี้ก็ยังทำอยู่ครับ แต่ว่าทำเฉพาะเสาร์-อาทิตย์  ตอนนี้หลักๆ ผมทำงานดูแลฝ่ายการตลาดให้ Boardriders ที่ดูแลแบรนด์อย่างเช่น Quiksilver, Roxy, Billabong, RVCA และรองเท้า DC เป็นต้น ทำงานประจำที่นี่มาประมาณ 1 ปีแล้ว จากตอนแรกผมทำงานที่อื่นมาก่อน แต่พอมีโอกาสปรึกษาพี่หนึ่ง (สุรเชษฐ์ มุ้งทอง) เรื่องการทำงาน พี่หนึ่งเลยให้โอกาสมาลองทำงานที่นี่ดู

“ก่อนหน้านี้มีทริปไปวิ่งที่ภูเก็ต ผมไปกับเจี๊ยบ และก็รู้สึกว่าบริษัทนี้โคตรสนุก ก็ดีใจมากวันที่เขาเรียกมาทำงาน จริงๆ แบรนด์นี้ผมเป็นแฟนมานาน เพราะผมอยู่ออสเตรเลียมาก่อน มันมีช่วงหนึ่งของชีวิตผมที่เล่นกีฬาเวคบอร์ด ก็เลยคุ้นเคยกับแบรนด์เหล่านี้”

เปลี่ยนงานช่วงโควิดต้องปรับตัวเยอะ

ตอนแรกที่เข้ามาทำงานประจำรู้สึกว่า เข้ามาตอนโควิดงานไม่น่าจะเยอะ แต่ตั้งแต่ห้างเปิดมานี่ ทำงานไม่เสร็จสักวัน แต่เรียนรู้อย่างหนึ่งว่า เรายังมีงานให้ทำ แปลว่าบริษัทเรามันยังไม่ปิด ทำงานลักษณะนี้งานมันไม่มีจบ มันก็มีงานมาเรื่อยๆ

สำหรับการปรับตัวในแง่ของการทำงาน ทางบริษัทเรามีการไลฟ์ขายของ เพราะว่าตอนนั้นเดินห้างกันไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนเดินทางท่องเที่ยวอยู่บ้าง ตอนนี้แพลตฟอร์มเราก็มีทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ลูกค้าจะซื้อเราเมื่อไหร่ก็ได้ แต่มันก็มีเรื่องที่อาจจะต้องหนักใจ ช่วงนี้ข้าวของแพง คนก็อาจจะใช้จ่ายน้องลง เราก็ต้องพยายามดูว่าอะไรที่จะพอช่วยลูกค้าได้ เช่น ซีซันยังไม่ได้เก่ามาก เราก็เริ่มลดราคาให้ลูกค้าแล้ว อย่างน้อยก็กระตุ้นยอดขาย ทำโปรให้ลูกค้ารู้สึกว่าก็ยังคงใส่ของของเราได้อยู่

ลูกค้าออนไลน์ดูแลยากเพราะทำได้เพียงพูดคุยผ่านตัวอักษร

ดูแลลูกค้าทางออนไลน์ยากมาก อย่างเช่น เราตอบช้า บางทีเขาใช้คำพูดไม่น่ารักกับเรา เราเข้าใจนะว่าเขารอคำตอบ แต่เขาใช้คำพูดแรงมาก แต่ก็ชาเลนจ์คือเป็นอีกวิธีที่เราจะต้องใช้วิธีการพูดคุยกับเขาโดยที่ไม่ใช้น้ำเสียงด้วยนะ ใช้การพิมพ์ให้เขาเห็นว่าเราดูแลเขาอยู่ แต่อาจจะต้องใช้เวลานิดหนึ่งบางที่เราหาของในโกดังไม่มี ก็ต้องไปดึงที่หน้าร้าน เราก็ต้องไปเช็กว่าหน้าร้านไหนมีของ บางทีหายไป 20 นาทีเขาโกรธมากเลย

ความแตกต่างของการแสดงละครและการทำงานประจำ

ในวัยนี้การทำงานเป็นนักแสดงผมต้องทำงานชั่วโมงเยอะกว่าการเป็นพนักงานออฟฟิศ ผมตื่นตี 5 ขับรถไปกอง ถึงกอง 6-7 โมง ไปเตรียมแต่งหน้า แต่งตัว เข้าฉาก เริ่มถ่าย 9 โมง เสร็จงาน 4 ทุ่ม ขับรถกลับบ้านถึง 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ในลูปนี้ถ้าวันหนึ่งเราขับรถไม่ไหว มันค่อนข้างอันตราย โลเคชั่นเดี๋ยวนี้ในกรุงเทพมันค่อนข้างแพง เขาก็ถ่ายต่างจังหวัดกัน ผมก็เลยคุยกับเจี๊ยบว่าถ้าเป็นแบบนี้เราอาจจะไม่ไหว เวิร์คไลฟ์ไม่บาลานซ์แล้ว แต่ถ้าเป็นพนักงานออฟฟิศอาจจะดีขึ้น

ก่อนหน้านี้ผมเป็นเจ้าของธุรกิจด้วย โชคดีมากเลยที่มีคนซื้อธุรกิจผมไปก่อนโควิด ไม่งั้นผมตายเหมือนกันนะ การเป็นลูกน้องผมไม่ค่อยได้เป็น ลองคุยกับเจี๊ยบว่าเราอาจจะลองทำงานประจำบ้าง เป็นลูกน้องบ้าง เราจะได้เป็นนายที่ดีได้ในอนาคต เราจะได้รู้ว่าความกดดันของลูกน้องคืออะไร ผมกะว่า 2-3 ปีนี้ผมจะเป็นลูกน้องให้ดีก่อน แล้วจะกลับไปทำธุรกิจของตัวเองใหม่

เรียนรู้อะไรกับการเบนเข็มมาเป็นมนุษย์เงินเดือน

เรียนรู้ว่าทุกคนมีเวลาที่อยากเอากลับไปใช้กับคนที่บ้านเท่าๆ กัน ผมเรียนรู้ว่าการเป็นลูกน้องมันก็ไม่ได้แย่เสมอไป  พี่เป็นหัวหน้า ผมเป็นลูกน้องจะมีชีวิตดีได้ยังไง ผมว่าไม่จริง? ผมว่ามันอยู่ที่มุมมองการแบ่งเวลามากกว่า ผมเคยมีความคิดว่าการเป็นลูกน้องต้องแย่ แต่ตั้งแต่ผมเป็นลูกน้องมา ผมรู้สึกว่ามันมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง สิ้นเดือนมีเงินเดือนแน่นอน

ตอนผมทำธุรกิจผมไม่รู้หรอกว่าผมมีกำไรเท่าไหร่ แต่ผมรู้ว่าลูกน้องผมต้องมีกิน ทุกเดือนผมต้องจ่ายเงินเดือนเขา อันนี้มันก็เป็นความกดดันที่แตกต่างกัน แต่การเป็นลูกน้องก็จริงครับ ที่มันเติบโตยาก เพราะว่าบริษัทเขาก็จะมีเงื่อนไงต่างๆ ปีหนึ่งคุณจะโตได้เท่านี้นะ มันขึ้นอยู่กับคุณมากกว่า ว่าจะเลือกอยู่ตรงนี้ไหม

ไม่ทำงานไปสองปีเพราะก่อนหน้านี้ทำงานหนักเกินไป

ตอนนั้นผมทำงานหนักเกินไป ช่วงเช้าผมอ่านข่าว จากนั้นผมขับรถไปเล่นละครเลย ผมยอมรับว่าผมงง รับละครพร้อมกันทีละ 4 เรื่อง ปีนั้นทั้งปีผมมีวันหยุด 4 วัน มีวันหนึ่งผมน็อคเข้าโรงพยาบาล แขน ขา ตัว ผมขยับไม่ได้ ผมเกลียดเวลาที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ผมเลยคิดว่าบางทีการทำงานหนักอาจทำให้เราตายได้ จริงๆ ผมคิดแค่นี้เลย ถ้าเราทำงานหนักมาเยอะแล้ว ทำไมเราจะใช้ไม่ได้ ผมพูดเลยนะชีวิตรีไทร์มันดีมากนะ แต่ด้วยวัยมันยังไม่สมควร

“ก่อนหน้านี้ไม่ทำอะไรเลย ขี่มอไซค์เที่ยวเล่น หรือเที่ยวต่างประเทศกันอย่างเดียวเลย ไม่ทำงาน โดนแม่ด่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้ เงินเก็บมันจะร่อยหรอ เราต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว เราไม่ใช่เด็กแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับตอนเป็นนักกีฬา ตอนนั้นเราเด็กจริงๆ เรารู้ว่าเราล้มพ่อแม่เราช่วยเราได้ ตอนนี้เรารู้ว่าเราล้มเขาก็ช่วยเราได้นะ แต่เราไม่ควรไปยุ่งกับท่าน ควรจะซัพพอร์ตท่านมากกว่า

มองตัวเองในอีก 10 ปี ข้างหน้าไว้อย่างไร

ตอนนี้ผมไม่รู้เลย ผมพยายามเรียนรู้กับงานในแต่ละวันให้มากที่สุด อย่างหนึ่งที่ผมมาทำงานบริษัท วันนี้ผมคิดว่าผมเดินทันโลก ตอนเป็นนักแสดงผมตามโลกไม่ทัน ผมจะรู้ว่าโลกของการแสดงใช้กล้องยังไง มุมกล้องยังไง ผมรู้แค่นั้น ตอนนี้ผมรู้แล้วขายของขายยังไง คนปัจจุบันเก่งกันขนาดไหน หลังจากนี้อีกสัก 1 ปี ผมอาจจะตอบได้ว่าเป้าหมายในระยะยาวคืออะไร ตอนนี้ไม่รู้จริงๆ

ความสุขในการทำงานของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน และคงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่สำหรับ ปูไข่ พงศ์สิรี ตอนนี้ การมีงานทำ มีเวลาใช้ชีวิตหลังเลิกงาน มีเวลาไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง แค่นี้ก็ชาร์จพลังให้กลับมาทำงานหน้าคอมฯได้แล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook