ชีวิตที่หลงรักความเร็วจนวินาทีสุดท้ายของ "เจมส์ ดีน"

ชีวิตที่หลงรักความเร็วจนวินาทีสุดท้ายของ "เจมส์ ดีน"

ชีวิตที่หลงรักความเร็วจนวินาทีสุดท้ายของ "เจมส์ ดีน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"JACKIE IS JUST SPEEDING AWAY, THOUGHT SHE WAS JAMES DEAN FOR A DAY, THEN I GUESS SHE HAD TO CRASH VALIUM WOULD HAVE HELPED THAT BASH." ท่อนหนึ่งจากบทเพลง WALK ON THE WILD SIDE ของ ลู รีด ศิลปินร็อกผู้ล่วงลับ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้ชายที่ชื่อ เจมส์ ดีน นั้นหลงรักความเร็วขนาดไหน

"Live fast, die young" นี่น่าจะเป็นประโยคจำกัดความของ เจมส์ ไบรอน ดีน หรือ เจมส์ ดีน ได้เป็นอย่างดี ... เขาคือดาราหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ ที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้รับการยกย่องอย่างมหาศาล เป็นผู้ทรงอิทธิพลในทุกด้าน ไม่ว่าจะไลฟ์สไตล์หรือแฟชั่นที่ผ่านมานานหลายทศวรรษเรื่องราวของเขาก็ไม่เคยเสื่อมคลาย และที่สำคัญ เขาเสียชีวิตในวัยเพียง 24 ปีเท่านั้น

คำว่า Fast ในประโยคดังกล่าวอาจจะมีความหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ คุ้มค่าที่เกิดมา อย่างไรก็ตาม สำหรับ เจมส์ ดีน คำดังกล่าวก็สามารถแปลแบบตรงตัวว่า "เร็ว" ได้เช่นเดียวกัน เพราะนอกจากการเป็นนักแสดงยอดฝีมือแล้ว โลกแห่งความเร็วคือสิ่งที่ชายหนุ่มคนนี้หลงใหลไม่แพ้กัน ... แม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต

ติดตามเรื่องราวชีวิตที่ไหลไปตามสายธารแห่งความเร็วของ เจมส์ ดีน ได้ที่ Main Stand

ความฝันเมื่อครั้งวัยเยาว์
ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการหลงรักในความเร็วมากน้อยแค่ไหน แต่ เจมส์ ไบรอน ดีน เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี 1931 ณ รัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น "เมืองหลวงแห่งความเร็วของโลก" เนื่องจากรัฐนี้เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน Indianapolis 500 หนึ่งในการแข่งขันความเร็วที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


Photo : www.indianapolismotorspeedway.com

ดีน เติบโตขึ้นมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีคุณพ่อเป็นทันตแพทย์ ส่วนคุณแม่ทำฟาร์ม ก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานจากอินเดียนาโพลิส ไปสู่แคลิฟอร์เนียเมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบ อย่างไรก็ตามหลังจากที่คุณแม่ของเขาเสียชีวิต ดีน ก็ถูกส่งตัวกลับมายังอินเดียนาอีกครั้ง เพื่ออาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายคุณตา ที่มีชื่อว่า มาร์คัส วินสโลว์ และที่นี่เอง การหลงใหลในความเร็วของ ดีน ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

บุคคลที่มีอิทธิพลสำคัญที่สุดต่อเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ... คุณลุงมาร์คัสนั่นแหละ เนื่องจากเขาชื่นชอบกีฬาแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะบาสเกตบอล, เบสบอล หรือแม้กระทั่งกีฬาที่แข่งขันกันด้วยความเร็ว และเมื่อ ดีน อายุครบ 16 ปี สามารถขี่มอเตอร์ไซค์ได้อย่างถูกกฎหมาย คุณลุงมาร์คัส ก็ไม่รอช้าที่จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับหลานชายเป็นมอเตอร์ไซค์ Czechoslovakia ขนาด 125 cc 

เนื่องจากเมืองแฟร์เมาท์ รัฐอินเดียนา ที่ ดีน อาศัยอยู่กับครอบครัวคุณลุงมีสภาพเป็นย่านชานเมืองชนบทที่เต็มไปด้วยที่ลานกว้างและทุ่งหญ้า ของขวัญชิ้นนี้จึงถือว่าเข้าทาง ดีน สุด ๆ เขาสามารถใช้เวลาอยู่กับมันทั้งวัน ขับไปนู่นมานี่ตามที่ใจปรารถนา

"มันคือของขวัญชิ้นโปรดของเขาจริง ๆ"

"ทุกคนในย่านแฟร์เมาท์ต่างขนานนามเขาว่า ‘ดีน เจ้าแห่งความเร็ว’" โดโรธี ชูลทซ์ คณบดีแห่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แฟร์เมาท์เล่าย้อนความหลัง

เมื่อมีมอเตอร์ไซค์ Czechoslovakia อยู่ข้างกาย ดีน ก็เลิกสนใจกีฬาประเภทอื่น ๆ อีกต่อไป เขาใช้เวลาว่างมาขลุกตัวอยู่ที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ท้องถิ่นเพื่อเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขับขี่หรือซ่อมแซม แทนที่จะใช้เวลาเล่นกีฬากับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน หรือในวันหยุดก็สามารถพบเจอกับ ดีน ได้เป็นประจำที่ถนนเส้นหลักในย่านแฟร์เมาท์


Photo : www.indystar.com

"เขาไปที่นั่นเป็นประจำ ภาพที่เห็นจนชินตาคือเขามักจะนำมอเตอร์ไซค์มาแข่งวัดประลองความเร็วกับเพื่อน ๆ" ชูลทซ์ กล่าว

เมื่อจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย ดีน ก็ได้รับของขวัญชิ้นสำคัญอีกหนึ่งชิ้นจากบาตรหลวงนิกายเมโทดิสต์ที่ประจำอยู่ที่โบสถ์ใกล้บ้าน ของขวัญชิ้นดังกล่าวคือตั๋วสำหรับเข้าชมการแข่งขัน Indianapolis 500 ที่ ดีน เฝ้าคอยอยากไปรับชมติดขอบสนามมาโดยตลอด

"ความฝันสูงสุดของ ดีน ไม่ใช่การเป็นสุดยอดนักแสดง แต่คือการเข้าร่วมการแข่งขัน Indianapolis 500 นี่แหละ น่าเสียดายที่มันไม่เคยเกิดขึ้น ผมมั่นใจว่าถ้าเขาไม่จากไปเร็วขนาดนี้ เขาสามารถทำมันได้สำเร็จอย่างแน่นอน" ชูลทซ์ กล่าว

โลกแห่งความเร็วที่รัก
หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยม ดีน ก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักแสดง เขาเปิดตัวด้วยบทบาทนักแสดงสมทบเล็ก ๆ จากภาพยนตร์หรือโฆษณาต่าง ๆ ผลงานเหล่านี้เป็นบันไดที่ทำให้ในที่สุดเขาก็ได้รับบทบาทครั้งสำคัญ เป็น "บทบาทเปลี่ยนชีวิต" ของเขาเลยก็ว่าได้ นั่นคือการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง East of Eden ซึ่งเข้าฉายในปี 1955


Photo : www.moma.org

East of Eden เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ ส่งผลให้ตัวของ เจมส์ ดีน เริ่มมีฐานะมั่นคงขึ้นมา และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่รอช้าที่จะสนองกิเลสด้วยการซื้อของที่อยากได้ทันที แน่นอนว่ามันคือมอเตอร์ไซค์ 

ไม่ว่าจะเป็น Triumph Tiger T110, Indian Warrior TT และ Royal Enfield 500 cc ต่างก็ทยอยเข้ามาจอดภายในโรงจอดรถของ ดีน หรือแม้กระทั่งรถยนต์อย่าง MG TD เช่นกัน ก่อนที่เวลาใกล้เคียงกันนั้นเขาจะขาย MG TD ทิ้งไป เพื่อไปซื้อรถยนต์อีกคันซึ่งถือเป็นคันสำคัญในชีวิตของเขา

ในเดือนมีนาคมปี 1955 ดีน ตัดสินใจควักเงินส่วนตัวซื้อ Porsche 356 Speedster มาจากนายหน้าชื่อ จอห์น ฟอน นอยมันน์ แห่ง Competition Motors หนึ่งในโชว์รูมที่มีชื่อเสียงที่สุดในฮอลลีวูด ถึงแม้ว่าในตอนนั้น Porsche 356 Speedster จะขายดีถึงขั้นขาดตลาด แต่ด้วยความเป็นดารามีชื่อเสียงก็ทำให้ ดีน ได้มันมาครอบครองในที่สุด


Photo : John Edgar / Edgar Motorsport Archives / via Speedster.com

Speedster ของ ดีน คันนี้โดดเด่นด้วยสีขาวด้านนอก ตัดกับสีดำที่ตกแต่งอยู่ภายใน เครื่องยนต์ 1,500 cc มีแผ่นป้องกันหินตาข่ายเสริมที่ไฟหน้า โดย ดีน มอบฉายาให้รถคันนี้ว่า "New Kid on the Block" 

เมื่อได้รถยนต์ที่ทั้งเท่โฉบเฉี่ยวและเครื่องยนต์เร็วแรงขนาดนี้มาในครอบครองแล้ว คิดว่า ดีน จะทำอะไรต่อไป ... เดาคำตอบได้ไม่ยาก ก็นำมันไปลงแข่งขันในสนามจริงยังไงล่ะ

เพียงแค่ 10 วันแรกที่ได้รถมา มีรายงาน ดีน ขับมันไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ไมล์ และก่อนที่การถ่ายทำ Rebel Without a Cause อีกหนึ่งภาพยนตร์สร้างชื่อของ ดีน จะเริ่มเปิดกล้อง เขาก็ใช้เวลาว่างดังกล่าวลงแข่งขันรถยนต์ทางเรียบติดต่อกันถึง 3 รายการ

รายการแรกคือ Palm Springs Road Races ในวันที่ 26-27 มีนาคม 1955 โดย ดีน ลงแข่งในประเภท 1,500 cc Production 

"บอกตามตรงว่าในตอนนั้น ดีน โดนนักแข่งรุ่นเก๋าหลายรายดูหมิ่นพอสมควร ทุกคนมองเขาเป็นดาราที่มาแข่งรถเพื่อเป็นงานอดิเรก"

"อย่างไรก็ตามเมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ผมเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลย" กัส วิคโนลเล จากนิตยสาร MotoRacing กล่าว เนื่องจากในการแข่งขันเปิดตัว ดีน ก็สามารถคว้าอันดับ 3 มาครอบครองได้สำเร็จ เอาชนะนักแข่งอาชีพรุ่นเก๋าได้หลายราย


Photo : www.sfchronicle.com

"การแข่งรถเป็นช่วงเวลาเดียวที่ผมรู้สึกว่างเปล่าและเป็นอิสระที่สุด" ดีน กล่าวในการสัมภาษณ์หลังการแข่งขัน Palm Springs Road Races สิ้นสุดลง

รายการแข่งขันที่ 2 ที่ ดีน ลงแข่งคือ Bakersfield Race ซึ่ง ดีน ก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเขาคว้าอันดับที่ 1 ในรถประเภทเดียวกับเขา และเป็นอันดับ 3 ถ้านับรวมทั้งหมด 

ถึงแม้ว่ารายการที่ 3 ณ Santa Barbara Racing ดีน จะไม่สามารถแข่งขันได้จนจบเนื่องจากเครื่องยนต์ขัดข้อง แต่สำหรับนักแข่งมือใหม่แล้ว ผลงานรวม 3 รายการแข่งขันของ ดีน ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมจากผู้คนในวงการมอเตอร์สปอร์ตไม่ใช่น้อย


Photo : akamaihd.net

"นักแข่งทุกคนให้ความเคารพ ดีน อย่างสูง เพราะในตอนแรกไม่มีใครคาดคิดว่านักแสดงหนุ่มหล่ออย่างเขาจะสามารถขับรถได้ดี"

"ส่วน ดีน ก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำ และใช้ฝีมือแทนคำตอบ ราวกับจะบอกกับทุกคนว่า ผมรู้นะว่าพวกคุณคิดอะไรอยู่ เดี๋ยวผมจะแสดงให้ดูเอง" ชูลทซ์ กล่าว

"ดีน ทำทุกอย่างเต็มที่ เขานำฝีมือการแสดงอันเข้มข้นของเขามาปรับใช้กับการแข่งขันความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยม" เวส เกอริ่ง ผู้เขียนหนังสือ James Dean: Rebel With a Cause แสดงความคิดเห็น 

หลังจากการแข่งขันทั้ง 3 รายการเสร็จสิ้นลง ดีน ก็กลับเข้าสู่โลกฮอลลีวูดด้วยการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Rebel Without a Cause ซึ่งเงินที่ได้จากการสวมบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้จะไม่มีการระบุจำนวน แต่มันก็คงมากพอดู เพราะหลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นลง ดีน ก็ได้นำเงินก้อนดังกล่าวไปซื้อรถยนต์คันใหม่ ที่เร็วกว่าเดิม แรงกว่าเดิม และที่สำคัญมันคือรถยนต์คันที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเด็กหนุ่มอนาคตไกลผู้นี้ไปตลอดกาล 

 

LIVE FAST, DIE YOUNG
"ให้เดาว่าวันนี้ข้าได้อะไรมา"

"อะไรล่ะ?"

"Spyder คันใหม่"

บทสนทนาดังกล่าวคือสิ่งที่ เจมส์ ดีน บอกกับ ลิว แบรกเกอร์ เพื่อนของเขาผ่านทางโทรศัพท์ เนื่องจากทั้งคู่สนิทกันมาก เวลา ดีน มีอะไรที่อยากจะอวดเขาก็มักจะโทรมาหาเพื่อนคนนี้เป็นประจำ


Photo : Doc Braham | fineartamerica.com

Spyder ที่ว่าคือ Porsche 550 Spyder รถสปอร์ตที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1,500 cc ให้กำลัง 110 แรงม้าที่ 7,800 รอบต่อนาที โดดเด่นด้วยตัวถังที่เป็นอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา เรียกได้ว่า Porsche 550 Spyder คือรถแข่งเต็มตัว ไม่ใช่รถที่อยู่กึ่งกลางระหว่างรถบ้านกับรถแข่งเหมือน Porsche 356 Speedster คันเก่าอีกแล้ว

ด้วยความหลงใหลในเรื่องความเร็ว บวกกับประสบการณ์ที่เคยผ่านสนามแข่งขันมาแล้ว ดีน จึงรู้ตัวแล้วว่าเขาอยากเป็นนักแข่งรถอาชีพ อยากจะเอาดีทางด้านนี้ควบคู่ไปกับการเป็นนักแสดง เขาจึงอยากได้รถที่เป็นรถแข่งจริง ๆ ดังนั้น Porsche 550 Spyder คันนี้ที่จอดอยู่ ณ Competition Motors โชว์รูมเดิมจึงตอบโจทย์เขาเป็นอย่างยิ่ง โดยคันนี้ ดีน ตั้งชื่อให้มันว่า "Little Bastard" ซึ่งว่ากันว่า ชื่อดังกล่าวมาจากคำที่ บิล ฮิคแมน สตันท์นักขับคู่ใจตั้งให้เป็นฉายาของ ดีน

อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ได้ Porsche 550 Spyder มาไว้ในครอบครองแล้ว แต่ ดีน ก็ยังไม่สามารถนำมันไปลงทำการแข่งขันที่ไหนได้ เนื่องจากในระหว่างนั้นเขากำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Giant อยู่ และเขาก็ได้เซ็นสัญญาไปด้วยว่า ในระหว่างการถ่ายทำ เพื่อความปลอดภัย (และให้การถ่ายทำดำเนินไปจนลุล่วง) เขาจะไม่ลงทำการแข่งขันรถยนต์รายการใด ๆ เด็ดขาด


Photo : medium.com

ในช่วงที่การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Giant ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ดีน ก็ได้นัดรับประทานอาหารกับ ลิว แบรกเกอร์ ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในฮอลลีวูด ซึ่งร้านดังกล่าวคือร้านที่เหล่าคนดังในยุคนั้นมักจะมารวมตัวกันเป็นประจำ

ที่ร้านดังกล่าว ดีน บังเอิญเจอกับ อเล็ก กินเนสส์ (Alec Guinness) เพื่อนนักแสดง และก็เป็นธรรมดาของคนที่อยากจะอวดของใหม่ ดีน จึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถามว่า

"เฮ้เพื่อน นายอยากจะดู Spyder คันใหม่ของข้าไหม?"

"แน่นอนสิ"

แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปยังลานจอดรถหน้าร้าน โดยมีสายตาของ แบรกเกอร์ เฝ้ามองอยู่จากโต๊ะภายในร้าน 

"ผมจำหน้าตาของ อเล็ก ในวันนั้นได้แม่นเลยล่ะ หลังจากที่ดูรถของ ดีน เสร็จ เขาก็เดินกลับมาในร้านด้วยสีหน้าซีดเผือกเลย"

"ผมรีบถามเขาว่า เฮ้เพื่อน นายโอเคหรือเปล่า?"

"เขาตอบกลับว่า โอเค แต่ช่วยบอกกับ ดีน หน่อยได้มั้ยว่าอย่าขับรถคันนั้น ถ้าเขาขับรถคันนั้นเขาจะตายภายในวันพฤหัสบดีหน้า"

แบรกเกอร์ ที่ได้ยินเรื่องดังกล่าวจากปากของ อเล็ก กินเนสส์ ก็รู้สึกประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่า อเล็ก หมายความถึงอะไร และสุดท้ายเขาก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ เพราะ แบรกเกอร์ คิดว่า อเล็ก อาจจะกำลังหลอนยาเสพติด เนื่องจากในยุคดังกล่าวดาราฮอลลีวูดมีการใช้ยาเสพติดกันอย่างกว้างขวาง 

หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Giant สิ้นสุดลง ดีน ก็เหมือนเด็ก ๆ ที่ดีใจจนลิงโลด ในที่สุดเขาก็สามารถพาเจ้า Spyder คันใหม่ของเขาไปลงทำการแข่งขันทันที โดยรายการแรกที่ตั้งเป้าไว้คือการแข่งขันรถสปอร์ตที่เมืองซาลินาส

ในเช้าวันที่ 30 กันยายน ปี 1955 ดีน พร้อมด้วยทีมงานช่างเครื่องคู่ใจซึ่งเป็นชาวเยอรมัน 3 คนได้ออกเดินทางจากฮอลลีวูด สู่เมืองซาลินาส และแน่นอนว่า ดีน ขับ Little Bastard คู่ใจไปตามทางหลวงด้วยตัวเอง (อันที่จริง ตอนแรกทีมงานมีแผนจะนำ Little Bastard ขึ้นรถเทรลเลอร์ แต่เนื่องจากรถที่เพิ่งโมดิฟายมาใหม่ ยังรันอินได้ระยะทางไม่พอสำหรับการแข่งขัน จึงตัดสินใจนำรถลงวิ่งถนนเพื่อเก็บระยะให้ครบ)


Photo : history919.files.wordpress.com

มันเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ พระอาทิตย์กำลังทอดต่ำลงมาชิดกับเส้นขอบฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ ดีน และคณะกำลังขับผ่านทางหลวงหมายเลข 466 อยู่ ๆ ก็มีรถ Ford Tudor ปี 1950 ขับมาตัดหน้า Little Bastard ของ ดีน แน่นอนว่ารถทั้ง 2 คันประสานงานเข้าอย่างจัง จนตัวรถสะบัดกันไปคนละทิศละทาง 

ดีน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล Paso Robles War Memorial Hospital ในทันที แต่น่าเสียดายที่เมื่อถึงโรงพยาบาล เขาทนพิษบาดแผลอยู่ 30 นาที ก่อนจะสิ้นใจ ปิดตำนานหนึ่งในนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในอายุเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น 


Photo : horrorhistory.net

เชื่อว่ามาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะมีเรื่องสงสัยมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับการตายของ ดีน ประการแรกคือ คำพูดของ อเล็ก กินเนส ในวันนั้นหมายถึงอะไร ? เขามองเห็นอนาคตล่วงหน้าอย่างนั้นเหรอ ? 

อเล็ก ได้ออกมาอธิบายเรื่องราวนี้ในภายหลังว่า ทันทีที่เขาเห็นรถของ ดีน เขาก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย รู้สึกว่ามันคือรถต้องคำสาปที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย

มีรายงานว่าอาถรรพ์ของรถ Little Bastard นั้นแรงจริง ๆ เหตุเพราะหลังจากที่เก็บซากรถของ เจมส์ ดีน ซึ่งพังยับเยินจากอุบัติเหตุไปไว้ในโกดัง โกดังดังกล่าวก็เกิดไฟไหม้ เท่านั้นยังไม่พอ มีรายงานว่า คนงานไม่ต่ำกว่า 2-3 คนประสบอุบัติเหตุโดนซากรถหล่นลงมาทับจนแข้งขาหัก

... อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน ...

ข้อสงสัยที่ 2 คือ อุบัติเหตุดังกล่าวใครคือคนผิด?

จากการที่ศาลยืนยันไม่เอาผิดกับคนขับรถ Ford Tudor ย่อมทำให้ ดีน ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับภาพลักษณ์วัยรุ่นมุทะลุรักความเร็วของเขาด้วยแล้ว 

อย่างไรก็ตามมีผู้ออกมาแก้ต่างให้ ดีน อยู่หลายครั้ง เช่นรายงานของ LA Times ในปี 2005 ที่ได้เผยแพร่คำสัมภาษณ์ของ รอน เนลสัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงวัยเกษียณซึ่งได้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุและอ้างว่า เห็น ดีน หายใจรวยรินระหว่างถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาล โดยเขายืนยันว่า ผู้ผิดในเหตุการณ์นี้คือคนขับ Ford และดีนไม่ได้ขับด้วยความเร็ว 90 ไมล์ (145 กม.) ต่อชั่วโมงอย่างที่รายงานกัน

เนลสันอ้างว่า เมื่อพิจารณาจากซากรถและตำแหน่งร่างของ ดีน แล้วเขาเชื่อว่า ดีน น่าจะขับด้วยความเร็วราว 55 ไมล์ (86 กม.) ต่อชั่วโมงเท่านั้น


Photo : clasp42.rssing.com

ขณะที่รายงานของ Telegraph ในปี 2005 อ้างอิงจากสารคดีของ Channel 5 ที่ใช้การวิเคราะห์หลักฐานด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยสารคดีดังกล่าวให้ความเห็นว่า ดีน น่าจะขับด้วยความเร็วราว 70 ไมล์ (113 กม.) ต่อชั่วโมงขณะเกิดเหตุ และเขาน่าจะพยายามเบรกอย่างสุดตัวเพื่อเลี่ยงการปะทะมากกว่าการเร่งความเร็วเพื่อหักหลบอย่างที่มีการสันนิษฐานกัน

อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด 100% ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สิ่งเดียวที่เป็นความจริงคือ เจมส์ ดีน ได้จากทุกคนและโลกใบนี้ไปแล้ว ทิ้งไว้แค่เพียงตำนานที่จะจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ไปตลอดกาลเท่านั้น


Photo : His and Hers Moments

สุดท้ายแล้วเรื่องราวการ Live Fast, Die Young ของ เจมส์ ดีน อาจจะสอนให้เราได้รู้ว่า จงอย่าใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท เพราะคุณไม่ใช่ เจมส์ ดีน การตายของคุณจะไม่ใช่ตำนานที่มีคนจดจำ แต่จะเป็นเพียงอุบัติเหตุบนท้องถนนธรรมดา ๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_2953
http://www.headlightmag.com/little-bastard-porsche-cause/
https://www.palmspringslife.com/james-dean-palm-springs/
http://www.speedsters.com/jd-speedster.htm
https://www.skoda-motorsport.com/en/james-dean-rebel-racing-celebrities-racing/
https://www.courier-journal.com/story/sports/2019/05/21/james-dean-most-famous-indy-500-driver-who-could-have-been/3613314002/
https://journal.classiccars.com/2020/07/03/lew-bracker-james-dean/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook