"ศีลธรรม VS ความเป็นจริง" ฟัง "โจ แม่สาย" แจงเรื่องราวชีวิตหลังซ่อมรถ-แจ้งความ

"ศีลธรรม VS ความเป็นจริง" ฟัง "โจ แม่สาย" แจงเรื่องราวชีวิตหลังซ่อมรถ-แจ้งความ

"ศีลธรรม VS ความเป็นจริง" ฟัง "โจ แม่สาย" แจงเรื่องราวชีวิตหลังซ่อมรถ-แจ้งความ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โจ แม่สาย ประภาสะวัต กลายเป็นคนดังที่อยู่ในกระแสช่วงกลางเดือนมีนาคม จากที่มีกรณีรถยนต์หรูที่ใช้ถ่ายทำรายการถูกชน และการเข้าแจ้งความผู้โพสต์ข้อความโจมตี ลองไปฟังแนวคิดจากหนุ่มนักธุรกิจคนดังจากรายการ "ไฮโซ ไลฟ์" เล่ามุมมองของตัวเองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คิดเห็นอย่างไรกับการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งผู้กระทำผิดไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย

ก็จะถามเหมือนกันว่าถ้าผมทำแบบนี้ผมก็ยอมรับว่าไม่ถูก แต่ในความไม่ถูกต้องมีโทษตามกฎหมาย โทษผมก็คือต้องปรับ 1,000 บาท คนเรามันมีผิดน้อยผิดมาก ก็ต้องมองว่าสิ่งที่เขาทำแล้วคนไม่ต้องรับผิดชอบหรือ ผมคิดว่าการกระทำอะไรในสังคมอยากให้คนที่ทำควรกล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ทำบ้าง ไม่ใช่ทำไปแล้วบอกไม่เจตนา ไม่ใช่ทำไปก็ไม่มีเงินแล้วคุณก็ทำผิดแล้วมาเรียกร้องความเห็นใจ คุณจะให้สังคมมันเป็นแบบนั้นหรือ ต้องให้คนมีมากกว่าต้องให้อภัยเห็นใจคนมีน้อยกว่าหรือ

ที่ผมโมโหเพราะอะไรรู้ไหม ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนมีน้อยมา ผมเคยขับรถกระบะส่งของถอยหลังไปชนรถทัวร์ ผมไม่มีเงินก็ยังต้องจ่ายค่าซ่อมให้รถทัวร์เลย ทำไมตอนผมจน ผมขับรถชนผมยังต้องจ่าย ไม่เห็นมีใครมาเห็นใจผมบ้างเลย ผมต้องจ่ายจริงๆไม่อย่างนั้นรถทัวร์เขาก็ไม่ให้ผมไป นี่คือสังคม ผมอยากให้อยู่บนความเป็นจริง ทำแล้วออกมารับผิดชอบในสิ่งที่ทำ

มองอย่างไรกับมุมมองต่อสังคมที่มองว่า สังคมไทยวันนี้คนรวยก็มีอย่างมั่งคั่ง ขณะที่คนไม่มีก็อยู่ในขั้นลำบากไปเลย

ไม่แปลกที่จะเกิดมาไม่มี เหมือนผม ผมยอมรับผมเกิดมาจน ผมจะบอกว่าเมื่อเกิดมาจนไม่ใช่เรียกร้องความเห็นใจ คุณต้องสู้เพื่อที่จะมีอย่างเขา เราเกิดมาจนแต่เราสู้ได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความเห็นใจ คนอย่างผมเวลาผมจน ไม่เคยวิ่งไปเรียกร้องความเห็นใจจากใคร ผมสู้

สถานะของคุณโจ ตอนนี้นิยามตัวเองว่าเป็นไฮโซ หรือเปล่า

ไม่ครับ ถ้าคนมองว่าผมมีก็คือแลมโบร์กินี ที่เป็นแท็กซี่ มันเป็นความพิเศษบนคราบคนธรรมดา เพราะผมก็คือคนธรรมดาแต่หลายคนมองว่ามันเป็นความพิเศษซึ่งผมเปรียบตัวเองผมเป็นแท็กซี่ที่คนมองว่ามันประหลาด

เรื่องสถานะการเงิน การใช้ชีวิต นิยามความเป็นไฮโซของคุณโจ เป็นอย่างไร

ผมก็ไม่เข้าใจคนกำหนด ผมเจอไฮโซทุกสัปดาห์ ผมก็เห็นหลายคนมีชีวิตบนความหลากหลาย คุณต้องมีเท่าไหร่ถึงต้องเรียกไฮโซ ต้องมีชีวิตแบบไหนถึงต้องเรียกไฮโซ ผมยังไม่เข้าใจเลยจนถึงวันนี้ ผมเคยสัมภาษณ์คนที่สังคมเรียกเขาว่าไฮโซ ผมก็อยากได้คำอธิบายเหมือนกัน สิ่งที่ผมทำรายการขึ้นมาแค่อยากให้คนเห็นว่าชีวิตของคนที่เขาเรียกว่า "ไฮโซ" เขาใช้ชีวิตอย่างไร เขามีอะไร เป็นแบบไหน เพื่อให้รู้ว่าวันหนึ่งคุณสู้ คุณก็เป็นแบบเขาได้โดยตัวแทนที่ทำให้เห็นแล้วก็คือผม ผมอยากใช้ตัวแทนว่าผมเคยนั่งดูหน้าจอแบบคุณ เคยโหนรถเมล์ ขี่มอเตอร์ไซค์ จนเกินอายุ 20 ก็ยังต้องขี่อยู่ นั่นคือผม แล้วเป็นตัวแทนว่าถ้าคุณสู้มันก็เป็นไปได้

คนรวยจำเป็นต้องช่วยเหลือสังคมมากกว่าคนมีน้อยกว่าหรือเปล่า

ผมพูดอย่างนี้เขาทำอยู่แล้ว คนที่รวยเขาเสียภาษีมากกว่าอยู่แล้ว อีกอย่างในธุรกิจที่มันขับเคลื่อนกันคนพวกนี้เขาเสียภาษีกันเยอะอยู่แล้ว นี่คือความเป็นจริง ภาษีก็เอามาใช้จ่ายร่วมกันในประเทศอยู่แล้ว แต่ถามว่าเขาต้องไปทำการกุศลไหม มันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่โดยทางความเป็นจริงเขาจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลมากกว่า ผมจึงบอกว่ามันเป็นเรื่องที่เขาได้ช่วยอยู่แล้วโดยที่บางคนอาจยังไม่รู้

เบื้องหลังคนที่ร่ำรวย หรือเป็นไฮโซ คนทั่วไปหรือหน่วยงานต่างๆ มักอยากเข้าไปตรวจสอบ คุณโจ พร้อมหรือเปล่า

ผมถูกตรวจมาแล้ว ไม่ใช่พร้อมหรือเปล่า ผมโดนมาแล้ว อะไรที่จริงคนอย่างผมกล้าทำกล้ารับ ส่วนตัวก็ถูกตรวจแล้วด้วย ตามระเบียบราชการเขาเข้ามาตรวจแล้ว มีผิด ผมก็จ่ายค่าปรับ เขาก็จับผมปรับ บางครั้งเราทำผิดโดยที่เราไม่รู้ตัวว่ามันผิดข้อกฎหมาย ผิดก็มีก็จ่ายค่าปรับไปเพราะมันเป็นเรื่องของราชการ ผมก็รับผิดชอบในสิ่งที่ทำทุกอย่าง คนอย่างผมเข้ามาตรวจได้เลย ผิดว่าตามผิดไม่มีผ่อนปรน

อยากชี้แจงอะไรสำหรับคนที่มาโจมตี

ข้อแรก ผมอยากรู้ว่าคนเขียนคือใครโผล่หน้ามาหน่อย ผมท้าให้โผล่หน้ามา คุณกล้าว่า กล้าโผล่หน้าออกมาไหมว่าใครเป็นคนว่า คุณไม่ใช่คู่กรณีกับผมด้วย คนที่คุณอ้างว่าผมไปโกงเขา เขายังไม่พูดอะไรเลย คู่กรณีผมเขายังไม่พูดอะไรสักคำเพราะเรารู้กัน เราทำงาน จริงๆผมกับเขาก็ไม่ได้โกรธเคืองแค้นอะไรกันนะ บุคคลที่สามพยายามสร้างเรื่องให้ผมกับคู่กรณีแตกหักกันให้ได้ เป็นฝีมือของคนที่สาม เพราะฉะนั้นคนที่สามช่วยโผล่มาให้ดูหน่อยว่าคุณคือใคร

ผมเชื่อว่าแรงจูงใจต้องมาจากคนที่เสียผลประโยชน์หลายๆ คนที่ไม่ชอบผม ในช่วงที่ผ่านมายอดขายบริษัทผมเพิ่ม 3 เท่า สิ่งเดียวที่จะหยุดได้คือทำลายชื่อเสียงผมลง โดยทำอย่างไรก็ได้ให้ผมกับคู่กรณีแตกหักกันทะเลาะเขี่ยลูกกัน ทั้งที่เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน โอเคเราอาจแยกกันเป็นคู่แข่งกัน แต่ถามว่าโกรธกันจะแค้นกันมันก็ไม่ได้มีคดีฟ้องร้องหรือทำอะไรกัน มันไม่มีอะไรขนาดนั้นจริงๆ เราก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน มันเป็นเรื่องธุรกิจที่แยกทางกันแต่มือที่สามพยายามสร้างเรื่องขึ้นมา

จะรับมืออย่างไร

ก็ขอให้สังคมไทยดูความเป็นจริง ผมอยากให้เขาเชื่อคนที่กล้าเผยตัวตนมากกว่า ผมอยากให้สังคมนี้ลดการเชื่อข่าวลวงบ้าง

รู้สึกอย่างไรเมื่ออ่านคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณโจ

คุณมีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์จะไม่ชอบผม ผมบอกเลย ผมไม่ได้เสียอะไรจากคนพวกนั้น ผมบอกเลยว่าจะเกลียดก็เป็นเรื่องของพวกเขา คนชอบก็มี เพราะฉะนั้นผมขออยู่กับคนที่เป็นกำลังใจชอบผมพอ คุณเกลียดผมก็คงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ ผมไม่มีปัญหา

มองอย่างไรกับความคิดเห็นแรงๆ ถึงขั้นวิจารณ์ว่ามีพฤติกรรมหักหลัง

ก็มันไม่เป็นความจริงผมไม่ได้ทำแต่ถ้าจะคิดอย่างนั้นก็แล้วแต่ผมถามอย่างนี้วันหนึ่งมีคนถือปืนมายิงคนตาย คุณคิดอย่างไร มันเป็นสิ่งเลวร้ายแน่นอน เชื่อไหมว่า คนนั้นได้รับการยกย่องเมื่อเดินกลับบ้าน เพราะอะไร ถ้าในฐานะที่เขาเป็นทหารแล้วยิงคู่ต่อสู้ ศัตรูไม่ใช่คนหรือครับ

ในสังคมมันมีอะไรหลายอย่างในการกระทำต้องดูสถานการณ์ แต่ผมไม่ได้ทำเลวร้ายถึงขั้นฆ่าใครตาย หรือค้ายาเสพติด ทำลายสังคม ผมถามว่าในสังคมนี้ใครกล้าเดินมาพูดบ้างว่าไม่เคยทำผิดอะไรเลย ในชีวิตนี้ไม่เคยทำผิดคุณธรรมและศีลธรรมเลย ใครกล้าเดินมาพูดบ้าง

ชี้แจงอย่างไรกับข้อกล่าวหาต่อเรื่องเบื้องหลังต่างๆเช่นการแยกตัวทางธุรกิจ

ผมบอกเลยเรื่องที่แยกสมมติวันหนึ่งผมเคยขายสินค้าให้คุณ ผมซื้อมา 90 ขายให้ 100 บาท คุณโอเค คุณเอาไปขายต่อ 130 ผมเป็นคนนำเข้า คุณเป็นยี่ปั๊ว ผมก็ทำแบบนี้มาตลอด วันดีคืนดี ซื้อเยอะขึ้น โรงงานลดให้เหลือ 70 บาท ผมขายคุณ 100 เหมือนเดิม คุณถามผมว่าซื้อมาเท่าไหร่ ผมบอกว่าซื้อ 90 เหมือนเดิม ผมโกหกคุณ นี่เรื่องจริง ผมบอกผมยังซื้อมา 90 เหมือนเดิม ผมลดให้ไม่ได้ แต่เรื่องแตกเพราะคู่แข่งบอก เรื่องเลยแดงขึ้นมา

ผมซื้อ 70 ขาย 100 อาจได้กำไรมากเกินควร

ตรงนี้เป็นเทคนิคการทำธุรกิจหรือเป็นการทำผิดศีลธรรม

ก็แล้วแต่คนมองถ้ามองว่าโกหกผิดศีลธรรมก็ใช่หรือโกหกทำผิดทางธุรกิจก็แล้วแต่

เมื่อเป็นแบบนี้ มีมุมมองอย่างไรต่อการใช้ชีวิต หรือสำหรับคนที่ทำผิดแล้วจะอยู่ในสังคมต่อได้อย่างไร

ก็ผิดศีลธรรมมากแค่ไหน คุณไม่เคยโกหกเพื่อนคุณเลยหรือ คุณทำการค้าผมถามคุณได้ไหมว่าต้นทุนเงินเดือนคุณเท่าไหร่ คุณต้องตอบตามความจริงหมดไหม เวลาสัมภาษณ์งานคุณตอบตามความจริงทุกคำไหม มีใครบ้างสัมภาษณ์งานตอบความจริงทุกคำ คุณออกจากบริษัทเก่าเพราะอะไรเหรอคุณบอกเหตุผลจริงกับคนสัมภาษณ์ใหม่หรือเปล่า แล้วอย่างนั้นเรียกผิดหรือเปล่า สังคมจะอยู่กับความจริงคุณอยู่ได้หรือเปล่า ตัวคุณเองเวลาไปสัมภาษณ์งานบอกได้ไหมว่าคุณไม่ชอบอะไรในที่เก่าคุณบอกหมดหรือเปล่า

ชีวิตวันนี้มีความสุขอยู่ ?

เหมือนเดิมครับ (ยิ้ม) จะไปทุกข์อะไร ส่วนใหญ่รายการก็ถ่ายสัปดาห์ละครั้ง ที่เหลือก็เป็นชีวิตทำงาน ทำส่วนตัว

เป้าหมายต่อไปในชีวิตคืออะไร

อยากทำแบรนด์ไทยไปต่างประเทศ ผมมีเป้าหมายอยากเป็นตัวแทนอีกตัวแทนของคนไทย เราแข่งชนะฝรั่งได้ ทำได้จริงหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ถ้าพูดถึงเป้าหมาย พูดถึงฝัน ผมอยากให้คนไทยรู้ว่าคนไทยเราเจ๋งไม่แพ้ใครในโลก อยากเป็นตัวแทนคนไทยที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ชนะฝรั่งได้

มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนอยากประสบความสำเร็จ

สู้ครับ ออกมายอมรับความจริงแล้วสู้กับมัน เจอปัญหาทำอย่างไร สู้เลยครับ ยอมรับความจริงแล้วสู้กับมันซะ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : โจ แม่สาย ประภาสะวัต

(คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดใหญ่)

 

อัลบั้มภาพ 32 ภาพ

อัลบั้มภาพ 32 ภาพ ของ "ศีลธรรม VS ความเป็นจริง" ฟัง "โจ แม่สาย" แจงเรื่องราวชีวิตหลังซ่อมรถ-แจ้งความ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook