Everything I Know, I Learned From Football-ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (Part1)

Everything I Know, I Learned From Football-ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (Part1)

Everything I Know, I Learned From Football-ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (Part1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอลไทยตกอยู่ในภาวะสิ้นศรัทธา ราวกับถูกแช่แข็งพัฒนาการอยู่นานร่วมทศวรรษช่วงเวลาที่เรา ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าฟุตบอลทีมชาติคือทีมกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของเราทุกคนหลังจากสถิติการแข่งขันที่เลวร้ายอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่ตกรอบแรกซีเกมส์ 2 สมัยซ้อน ตั้งแต่นั้นมา ทีมชาติลงเล่นทีไร ก็ไม่ค่อยได้ลุ้นถ้วย แค่ลุ้นว่านัดนี้จะรอดไหม ก็เหนื่อยแทนแล้ว

นอกจากผลงานจะตกต่ำแล้วยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ศรัทธาของฟุตบอลไทยถดถอยอย่างน่าใจหาย ไหนจะปัญหาการบริหารจัดการของทางสมาคมฯ ที่ย่ำแย่ไหนจะกระแสความนิยมในทีมกีฬาอื่นๆ ที่ก้าวหน้าไปไกลกว่า ทั้งปรากฏการณ์สนามแตกตอนได้แชมป์เอเชีย2 สมัยของทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย หรือกระแสเควอนโด จากโค้ชเช

กระทั่งการมาของเขาคนนี้ ‘ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง’ตำนานที่ยังเดินดินอยู่ของทีมชาติไทย ซิโก้เพิ่งใช้เวลาไม่นานนัก กับบทบาทระดับกุนซือทีมชาติ นั่นก็แค่ราวๆ ปีครึ่ง เขามารับงานเมื่อมิถุนายน 2013 เพื่อดูแลทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี จวบจนถึงนาทีนี้ เขาพาทีมชาติไทยเข้าสู่แสงสีและเสียงไชโยโห่ร้องได้อีกครั้ง เมื่อเราเริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น หลังจากที่ตกหลุมตกหล่มอยู่ข้างทางไปร่วมทศวรรษ

"แชมป์ซีเกมส์ … อันดับที่4 เอเชี่ยนเกมส์… และล่าสุดแชมป์อาเซียนคัพAFF Suzuki 2014"

ทำให้เขากลายเป็นคนแรกที่ได้แชมป์อาเซียน ทั้งในฐานะผู้เล่นและผู้ฝึกสอนที่สำคัญที่สุด ไ่ม่ใช่แค่ชัยชนะจากนอกบ้าน แต่เขาสามารถชนะใจผู้คนภายในบ้านได้อย่างถล่มทลาย

ภาพแฟนบอลไปรวมตัวแน่นขนัดที่สนามบินดอนเมืองเพื่อต้อนรับฮีโร่ และการแห่แหนอย่างยาวนานไปตามท้องถนน เป็นสิ่งที่เราแทบจะลืมไปแล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้บอลไทยกลับมารีบอร์นและคนไทยได้มีอะไรร่วมกันจริงๆอีกครั้งเราได้ไปคุยกับหัวเรือใหญ่ในการกอบกู้ศรัทธาของคนทั้งประเทศในคราวนี้

ซิโก้สละเวลาการฝึกซ้อมเล็กน้อย มานั่งจับเข่าคุยกับ GM เกี่ยวกับมุมมองต่อชีวิตและโลก รวมถึงเรื่องราวในวงการฟุตบอล ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตวางไว้ที่ไหน

GM : จากนักฟุตบอลกลายมาเป็นโค้ช ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณต้องพิสูจน์ตัวเองในบทบาทใหม่

ซิโก้ : ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ!! เอาง่ายๆ เรื่องจะมาเป็นโค้ช มีคำพูดที่อยู่มายาวนาน ว่าแม้จะเป็นนักฟุตบอลที่มีผลงานมาก่อน ก็ใช่ว่าจะเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งผมได้ยินแบบนี้มาเยอะ และก็เอามาคิดๆ ทำไมมันจะเก่งไม่ได้? แล้วผมก็ใช้สูตรเดิมเลย คือเมื่อมีเป้าหมาย ก็ใส่ความพยายาม ความทุ่มเท ใส่เข้าไปอย่างที่สุด ก็เริ่มต้นที่ว่า ในเมื่อเราเล่นฟุตบอลมาในระดับนี้ หากขยันหาความรู้เพิ่มเติม ก็ไปอบรมเรียนเรื่องโค้ช แล้วนำมาปฏิบัติจริง มันก็น่าจะออกมาดี

เวลาเราสอนน้องๆ เราก็สามารถปฏิบัติให้พวกเขาเห็นได้จริง โค้ชบางคนทำได้แค่สอนตามทฤษฏี ยืนกอดอดสั่ง แต่ผมไม่ได้หมายความว่าการสอนแบบนั้นไม่ดีนะ เพียงแต่แบบของผม เป็นโค้ชที่สามารถเล่นให้เขาเห็นเป็นตัวอย่างได้ วางบอลให้เด็กดู คือสามารถปฏิบัติได้ด้วย คิดเอาง่ายๆ ว่าจะสั่งให้เขาทำอะไร เราต้องทำให้ได้ก่อน ประเด็นสำคัญคือผมอยากให้โค้ชฟุตบอลของไทยเป็นที่ยอมรับมากกว่านี้ อย่างน้อยโค้ชต้องได้ค่าเหนื่อยมากกว่าผู้เล่น สมัยผมเตะฟุตบอลใหม่ๆ โค้ชเงินเดือนหมื่นบาท นักบอลห้าพัน มาถึงตอนนี้ นักเตะค่าเหนื่อยเพิ่มไปเป็น 3-4 แสนบาทแล้วนะ โค้ชควรต้องได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า หากดูที่ตัวงาน ระดับความรับผิดชอบ ความมั่นคงในสายอาชีพ นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมจะพิสูจน์ให้เห็น แต่จะทำยังไงให้เรื่องนี้เป็นจริง

GM : เท่าที่เห็นๆ มาในไทยพรีเมียร์ลีก ปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนโค้ชกันไป 30 ตำแหน่งแล้ว โค้ชนี่เป็นงานที่ไม่มั่นคงอะไรเลย

ซิโก้ : (หัวเราะ) เรื่องนี้เราต้องมีองค์กรมาดูแล ในอนาคตต้องมีสมาคมผู้ฝึกสอนฟุตบอล สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ เพื่อจะมีอำนาจในการต่อรอง เพราะตอนนี้โค้ชทุกคนใช่ว่าจะต่อรองได้เหมือนกันหมด ในเมืองไทย โค้ชที่เสียงดังได้ก็ต้องเป็นที่ยอมรับ ส่วนพวกที่ไม่ดัง แต่มีความรู้ดี พวกนี้ไม่ได้เถียงหรอก ยิ่งตอนนี้ฟุตบอลไทยก้าวไปสู่มืออาชีพ จะเซ็นสัญญากับผู้เล่นต้องทำอย่างโปร่งใส ติดต่ออย่างถูกขั้นตอน ไม่ใช่เอะอะก็หลังบ้าน ต้องมีองค์กรมาคอยดูแลผลประโยชน์ให้ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้สมาคมฟุตบอลเองก็ต้องดูแล

GM : ฟังดูราวกับคุณกำลังเรียกร้องให้ก่อตั้งสหภาพ

ซิโก้ : ใช่เลย สหภาพ!! เอาไว้ช่วยต่อรองและดูแลกันและกัน จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่เราควรจะต้องลงมือทำมานานมากแล้ว ใครเข้ามาบริหารสมาคมก็แล้วแต่ เราควรมีองค์กรนี้ไว้เพื่อดูแลไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่แตก ป้องกันไม่ให้สังคมฟุตบอลมันเฟ้อเกิน มีเอาไว้ไม่ให้คนฟุตบอลเสียเปรียบทีมจนเกินไป ไม่อย่างนั้นเราจะเห็นนักเตะหรือโค้ชโดนยกเลิกสัญญากันบ่อยแน่ๆ

อย่างเรื่องที่คุณว่าเมื่อกี้ ฟุตบอลไทยเปลี่ยนโค้ชบ่อย มันก็พอเข้าใจได้ในแง่ตัวโค้ชเอง เขาต้องกิน ต้องเลี้ยงครอบครัว ที่ไหน งานดีเงินดี โอกาสดีกว่า เขาก็ไปที่นั่น เปลี่ยนงานบ่อยก็ปกติ แต่ในทางกลับกัน โค้ชต้องมีคุณภาพสูงตามไปด้วย ยิ่งทีมจ่ายค่าตอบแทนมาก ความคาดหวังก็ต้องยิ่งสูงกว่าที่เขาจ่ายให้คุณอยู่แล้ว หากทำไม่ได้ตามเป้าก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ที่เห็นคือเรื่องไล่โค้ชออกของบ้านเรามันเกิดง่ายไปหน่อย เมืองนอกเขาเซ็นสัญญาที 3-5 ปี เพราะต้องใช้เวลา 2 ปีแรกปรับพื้นฐานตามที่โค้ชและสโมสรต้องการ หลังจากนั้นจึงค่อยต่อยอดไปสู่ความสำเร็จ แต่ของบ้านเรามันไม่ใช่ โค้ชบางคนมีโอกาสแค่ 4 เกมแรก คิดแล้วก็เสียดายนะ กว่าเขาจะอบรมกันมาได้ พอโอกาสมาถึง ก็น้อยเหลือเกิน

GM : ปัจจุบันโค้ชฟุตบอลยังไม่มีสัญญากันอีกเหรอ

ซิโก้ : มี แต่ยังน้อยอยู่

GM : ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นกระแสจากพวกแฟนบอลด้วยแหละ ที่กดดันให้โค้ชโดนปลด เล่นไปแค่ไม่กี่นัด พอยังไม่ชนะก็รุมด่ากัน

ซิโก้ : ก็แน่นอน ถ้าคุณแฟนบอลที่ยอมจ่ายเงินซื้อตั๋ว ซื้อของที่ระลึก ถือเป็นการสนับสนุนทีมที่ดีเยี่ยม แต่ความคิดว่าคุณเป็นเจ้าของสโมสรด้วย ผมว่าคุณคิดผิด คุณไม่ใช่เป็นเจ้าของสโมสร คุณจ่ายเงินซื้อตั๋วเพื่อแลกสิทธิเก้าอี้ 1 ตัวบนอัฒจันทน์ ถ้าไม่พอใจ ก็ไม่มีสิทธิวิ่งลงไปต่อยเขา ขว้างหิน ปาขวดกฏ กรอบเขามีอยู่ต้องเคารพกัน ที่ประเทศอื่นหากละเมิด มันผิดทั้งกฏหมาย ทั้งสมาคมก็ต้องเข้ามาลงโทษทีม

โอเค อยากวิจารณ์การทำงานของโค้ช อยากเสนอให้เปลี่ยนตัว อะไรทำนองนั้น ทำไมไม่เล่นแบบโน้นแบบนี้ ทำไมไม่ซื้อนักเตะคนนั้นละ เรื่องนี้วิจารณ์ได้ แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่

GM : คุณไปค้าแข้งต่างแดนมาร่วมทศวรรษ แฟนบอลบ้านอื่นเมืองอื่น แถบๆ อาเซียนของเรา เขาดักรอกันตรงหน้าทางขึ้นทางด่วน หรือปิดสนามตีกันไหม

ซิโก้ : (คิ้วขมวดครุ่นคิดสักพัก) เขาก็มีโห่ฮา เยาะเย้ยกัน อำกันบ้าง เวียดนามที่ว่าเชียร์กันฮาร์ดคอร์ คนดูเยอะๆ พอจบเกมก็จะมีกองทัพมอร์เตอร์ไซค์บิดกันเต็ม เท่าที่ผมไปอยู่มา ก็ไม่เห็นเขาตีกันสักที สิงคโปร์ก็ไม่มี เอาเป็นว่า มีตีกันรึเปล่าไม่รู้ เพราะผมยังไม่เห็น ซิโก้ยังไม่เคยเห็น

GM : แล้วทำไมบ้านเราตีกันจังเลย

ซิโก้ : ก็มาจากการไม่ยอมรับไงละ ไม่ยอมรับผลการแข่งขัน คาดหวังผลงานทีมมากเกินไป ทั้งๆ ที่ฟุตบอลมันคือกีฬา ย่อมต้องมีแพ้มีชนะ คนเล่นเองเขายังไม่รู้เลยว่าจะชนะไหม พวกเขาทำได้แค่เตรียมความพร้อมมาให้ดีที่สุด หากคาดหวังจะชนะอย่างเดียว หรือตั้งธงมาจากบ้านเลย ว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ๆ คุณคิดแบบนี้ไม่ถูก

ในเกมฟุตบอลมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นได้หลายอย่าง ความผิดพลาดในการตัดสินคือหนึ่งในนั้น เจตนาหรือไม่เจตนาเกิดได้หมด ซึ่งเรื่องนี้มีการตรวจสอบได้ สมาคมผู้ตัดสินเขาก็คอยทำหน้าที่อยู่ ทุกอย่างต้องปรับกันไปพร้อมๆ กัน

เมื่อก่อนโค้ชฟุตบอลไทยยังไม่ได้รับการอบรมมากนัก พอเจอคู่แข่งเก่งๆ ก็สั่งเสียบขาแม่งเลย คือจะเอาชนะอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เราไม่ทำแบบนั้นแล้ว นักฟุตบอลก็เหมือนกัน เมื่อก่อนเล่นนอกเกม หวดกันชิบหายวายป่วง เดี๋ยวนี้ลองสิ โดนใบแดง เสียหายไปถึงทีม ทีมก็ไม่ยอมหรอก คุณก็จะโดนขายทิ้ง ทีมเขาจ่ายแพงๆ เรื่องอะไรต้องไปเสี่ยงกับนักบอลที่คุมพฤติกรรมตัวเองไม่ได้ เห็นไหมว่าทุกฝ่ายต่างกำลังปรับตัวกัน พัฒนาไปพร้อมกัน แล้วแฟนบอลล่ะปรับหรือยัง? มีหน่วยงานไหนไปพูดคุยถึงแนวทางพวกนี้กับแฟนบอลหรือยัง

GM : ที่เมืองนอกนี่ต้องมีนักบอลมาพูดขอร้องกับแฟนบอลอะไรแบบนี้ไหม

ซิโก้ : ก็ไม่ค่อยมีหรอก เพราะทุกคนเขารู้กรอบขอบเขตของตัวเอง มีกฏข้อบังคับที่เฉียบขาดในการลงโทษ และสิ่งสำคัญที่สุด เขาเข้าใจแก่นของการชมฟุตบอล ว่ามันคือความบันเทิง นี่คือโชว์ใหญ่ๆ หนึ่งโชว์ ที่พวกเราทุกคนเลือกมาดูกันในวันนี้ ฟุตบอลเป็นเกม ไม่ใช่สงคราม อย่าลืมแก่นแท้ของกีฬา ว่าคือความสนุก โอเคว่ามีเยาะเย้ยกัน อำกันเล่นๆ พอเป็นสีสัน เพื่อความสนุก ไม่ได้ฆ่าแกงกัน เอาแค่ “ไอ้อ่อนเอ้ย!” ก็พอแล้ว

GM : อยากให้คุณย้อนไปคุยถึงตอนที่ไปเล่นฟุตบอลที่อังกฤษ วงการที่นั่นเป็นอย่างไร แฟนบอลเป็นอย่างไร

ซิโก้ : การไปเล่นที่อังกฤษก็เหมือนถางพงหญ้า แบบที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรในมือเลย และตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะบ้านเราไม่เคยมีใครไปเล่นต่างประเทศไปเล่นไกลถึงยุโรปมาก่อน ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร ต้องไปเจอกับอะไร ใช่ว่าได้เซ็นสัญญาแล้วจะเล่นได้เลยที่ไหน มันต้องมีผู้จัดการส่วนตัว มีนายหน้า แต่ผมไม่มีเลย มีพี่นักข่าวที่ทีแรกแกมาช่วยเป็นล่าม สุดท้ายกลายเป็นทุกอย่าง ผมเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมอึดอัดกับเรื่องอะไรพวกนี้ที่สุด คือแทนที่จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการซ้อม แต่ดันต้องไปเสียสมาธิกับเรื่องการเงิน ภาษี การเดินทาง การกินอยู่ ตอนไปใหม่ๆ ภาษาก็ยังไม่ดี นี่คือความยากในการไปเล่นที่อังกฤษ เปรียบเทียบกับนักเตะคนอื่นๆ ในเวลานั้น เขาพร้อมกว่าเยอะ หน้าที่คือซ้อมให้เต็มที่อย่างเดียว เพื่อมีโอกาสลงสนาม พอถึงเวลา เอเยนซีไปเจรจาแทนให้ ว่าเด็กคนนี้เก่งแบบโน่นแบบนี้ หาสปอนเซอร์ หาทีมมาเซ็นสัญญา ดูแลทุกอย่าง นักกีฬาก็ทำหน้าที่ซ้อมแหลก สมาธิไปอย่างเดียวคือทำยังไงจะก้าวไปข้างหน้าในเส้นทางที่เลือก แต่ผมไม่มีเลย

ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป ก็จะได้เห็นอีกแง่ คือผมเรียนรู้อะไรมาเยอะจากการไปเล่นอาชีพที่อังกฤษ เอาเป็นว่าพอผ่านตรงนั้นมาได้ ทั้งร่างกายและจิตตอนนี้ ถ้าเจออะไรหนักๆ ก็ไม่กลัวอีกแล้ว แล้วยังเรื่องการฝึกซ้อมอีก เชื่อไหม ผมกลับมาที่พัก ไม่มีวันไหนที่ไม่เหนื่อยแทบคลาน หมดแรง กลับมาถึงอย่างแรกที่มองหาคือน้ำหวานมากรอกปากทุกวัน เหนื่อยแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน อากาศก็หนาวใส่เสื้อ 3 ชั้นยังเอาไม่อยู่ แต่ต้องออกไปวิ่งแบบเอาเป็นเอาตายทั้งเช้าเย็น สิ่งที่ได้กลับมา คือร่างกายแกร่งมาก มีบางคนสงสัยว่าผมไปอยู่อังกฤษ แล้วไม่ได้เล่นนานๆ ฝีเท้าจะตกไหม พอผมกลับมาเมืองไทยเป็นไงล่ะ วิ่งไล่ชนเขากระเด็นหมด ผลงานไม่ตก แต่เราชนคนไทยกระเด็น พอไปเจอเด็กที่โน่น เขาออกแบบชีวิตเป็นนักฟุตบอล ผมก็แย่เหมือนกัน พวกนั้นกล้ามแน่น หนอกขึ้น

GM : ซ้อมแทบตาย แต่ไม่ได้ลงเล่น ตอนนั้นคุณบอกกับตัวเองอย่างไร

ซิโก้: มันอีกมุมหนึ่งที่เราไม่รู้มาก่อนก็คือFootball Is Dirty บางครั้งมันก็สกปรกคือเขาคุยกันแต่เรื่องผลประโยชน์เพราะนี่คือธุรกิจขณะที่ตลอดมาก่อนหน้านั้นการเล่นฟุตบอลของผมคือความสุข

ถามว่าอยากกลับไทยไหมตอนนั้นมีคิดอยู่ตลอดกลับมาก็มีคนจ้างแน่ๆมีแฟนบอลหนุนหลังใครๆก็ห้อมล้อมแต่ผมยังอยากอยู่อังกฤษเพราะมันเป็นการแข่งขันของชีวิตเป็นบททดสอบตัวเองเราต้องสู้กับคนจากบราซิลฝรั่งเศสอิตาลีไหนจะเด็กอังกฤษอีกเราเป็นใครไม่รู้มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนในสายตาพวกเขามาจากไทยแลนด์พูดไปใครจะรู้จักไม่มีแน่นอนว่าเขาก็ดูถูกซึ่งนั่นคือด่านที่ต้องพิสูจน์ใช่! คือทุกคนต้องแข่งขันกันแย่งตำแหน่ง เวลาซ้อมกัน หากไม่เห็นโล่งๆ จะๆ ชัวร์จริงๆ ไม่มีทางหรอกที่เขาจะส่งบอลให้เรา ยิ่งไปบวกกับเรื่องเหยียดสีผิว ความไม่ไว้ใจกัน ผมเองก็โดน แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างนะ เพียงแต่บางครั้งก็คิด กูมาลำบากทำไมที่นี่วะ หนาวก็หนาว ซ้อมก็หนักชิบเป๋ง แล้วไม่ได้ลงซะที

ช่วงเวลานั้นผมทำ SWOT Analysis เพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง เริ่มจากข้อดีก่อน มีรายได้ไหม? มี มีบ้าน? มี มีรถ ได้อยู่เมืองนอก เรียนรู้วัฒนธรรมเขา ได้ซ้อมหนัก ได้ภาษากลับไป นับแล้วข้อดีสิบอย่างเลย แล้วข้อเสียล่ะ มีอะไรบ้าง มีแค่เรื่องเดียวคือไม่ได้ลงสนาม โดยรวมแล้วร่างกายผมดีขึ้นมาก ฟิตที่สุด พละกำลังมหาศาล แต่จิตใจไม่มีความสุข หาคำตอบไม่ได้เสียที ว่าร่างกายเราเฟิร์มขนาดนี้ จะเฟิร์มไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันไม่ได้ลงเล่น จนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องเลือก ระหว่างมีความสุขกับไม่มีความสุข อย่างไรก็ตาม

ผมยืนยันได้เลยว่าการไปอังกฤษครั้งนั้นไม่เสียเปล่า เป็นประสบการณ์คุ้มค่าที่ดีที่สุดของชีวิต


Credit
เรื่อง: พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์
ภาพ: สรรค์ภพ จิรวรรณธร

ติดตามคอลัมน์อื่นๆเพิ่มเติม ดาวน์โหลดนิตยสารในเครือจีเอ็มได้แล้วที่ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook