ธนภพ ลีรัตนขจร ดาราหนุ่มผู้ก้าวข้ามจากนักแสดงวัยรุ่น สู่การเป็นนักแสดงคุณภาพ

ธนภพ ลีรัตนขจร ดาราหนุ่มผู้ก้าวข้ามจากนักแสดงวัยรุ่น สู่การเป็นนักแสดงคุณภาพ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย พัทธมน วงศ์รัตนะ
 
     จากบทบาทหนุ่มเกเร ‘ไผ่ ฮอร์โมน’ ที่ทำให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อหลายปีก่อน มาสู่ด่านทดสอบความสามารถสุดหินอย่างบทบาท ‘พี่ยิม’ จาก Project S The Series และ ‘อี้’ จาก เลือดข้นคนจาง ‘ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร’ พิสูจน์ให้เราเห็นถึงฝีมือการแสดงอย่างก้าวกระโดด และพลิกชื่อจากดาราวัยรุ่นหน้าใสมาเป็นนักแสดงคุณภาพในเวลาเพียงไม่กี่ปี

     ความทะเยอทะยาน ลูกดื้อ ความรักในการทำงาน และทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ คือสิ่งที่สะท้อนออกมาผ่านแววตาของเขาตลอดเวลาการสนทนา ทั้งยังเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาไม่ลืมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จน GQ Thailand ขอยกให้เขาเป็น Man of the Year ของปีนี้

เรามองว่าคุณเป็นคนวัย 24 ปีที่เพอร์เฟ็กต์มาก ทั้งหน้าที่การงาน ความคิดความอ่าน ความรัก รูปร่างหน้าตา แล้วคุณล่ะมองตัวเองในวัยนี้ยังไงบ้าง
     ผมรู้สึกตรงข้ามเลย ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเพอร์เฟ็กต์ มันอาจเป็นธรรมชาติของคน รวมถึงตัวผมเองด้วยที่ชอบมองว่าชีวิตคนอื่นเพอร์เฟ็กต์ ไม่มีใครเห็นว่าชีวิตตัวเองดีกว่าคนอื่นหรอก เพราะพอเราชินกับตัวเอง ทุกคนจะพยายามหาแต่ข้อเสีย แต่คนที่พยายามหาข้อเสียก็แปลว่าเขาอยากดีขึ้น มันเลยเท่ากับว่าเราไม่หยุดอยู่กับที่ ในวันที่ทุกคนเข้ามาชมผมว่าเก่งๆๆ ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าถามผม ผมว่าตัวเองไม่เก่งเลย ผมอาจจะเก่งในสายตาเขา ซึ่งผมขอบคุณ แต่เพราะผมรู้ว่าคนที่เก่งกว่าผมมีอีกเยอะ เลยไม่กล้าพูดว่าตัวเองเก่ง

เหมือนกับที่คุณเคยบอกว่า ชีวิตที่ประสบความสำเร็จคือชีวิตที่สิ้นสุดแล้วใช่ไหม
     ผมมองว่าชีวิตเราไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จ เพราะคำว่าประสบความสำเร็จมันเป็นคำที่ดูจบ ดูไปต่อไม่ได้ ถ้าคุณคิดว่าคุณประสบความสำเร็จในวันนี้ ก็อาจจะแปลว่าคุณพร้อมจะจบชีวิตตัวเองได้ในวันนี้มั้ง แต่ผมเป็นคนทะเยอทะยานกว่านั้น ผมไม่พร้อมจะประสบความสำเร็จตอนนี้ เพราะถ้าประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ ผมจะรู้สึกว่าความพยายามของตัวเองลดลง หรือเพราะคำว่าเก่งของผมมันตั้งไว้ไกลมากมั้ง เลยรู้สึกว่ามันไปไม่ถึงสักที

     แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตที่ทะเยอทะยานแบบนี้จะไม่มีความสุขนะ มันมี เราอาจจะยังไม่เจอจุดที่ชีวิตเราประสบความสำเร็จ แต่ถ้าทุกวันนี้เราทำสิ่งที่เรารักแล้วได้ผลตอบรับที่ดีกลับมา ก็เหมือนกับเราได้รางวัลเพื่อต่อเติมความอยากทำไปได้เรื่อยๆ แค่นี้ก็ทำให้ผมมีความสุขกับชีวิตแล้ว

ตอนที่คุณโด่งดังจากบทบาท ‘ไผ่ ฮอร์โมน’ มากๆ เคยกลัวไหมว่าคุณจะดังแค่ตอนนั้นแล้วจบ
     เคยคิด แล้วรู้ด้วยว่ามันจะเป็นอย่างนั้น เพราะผมเข้าใจว่านี่คือวัฏจักรของวงการบันเทิง วันนั้นผมคือหน้าใหม่ มันต้องมีวันที่ผมไม่ใช่หน้าใหม่ แล้วก็ต้องมีคนหน้าใหม่อื่นๆ เข้ามาแทน มันสลับกันไปเรื่อยๆ แหละ ไม่มีหรอกคนที่ดังที่สุด เก่งที่สุด มันอยู่ที่ว่าเราเข้าใจกลไกของมันหรือเปล่า สิ่งที่ยากกว่าการมีชื่อเสียงคือการรักษาคุณภาพงานตัวเอง ผมพยายามพิสูจน์ตัวเองให้คนเห็นว่า การที่ผมมายืนตรงนี้ ผมไม่ได้อยากเป็นแค่ดาราวัยรุ่น เพราะสำหรับผมมันไม่พอ ดาราวัยรุ่นมันเป็นอาชีพสำหรับผมไม่ได้

     ที่ผมมายืนตรงนี้ เพราะผมเชื่อในศาสตร์การแสดง ผมเชื่อว่ามันสร้างอาชีพให้คนได้ ถ้าเราเชื่อและไปให้สุดจริงๆ มันไม่มีหรอกคำว่าไม่ถึง ความพยายามของมนุษย์คือสิ่งที่ไม่สิ้นสุด ทุกครั้งที่คุณพูดว่าคุณสุดแล้ว จงอย่าเชื่อตัวเอง มันเหมือนเราเล่นกล้าม วันนี้เรายกได้ 10 กิโลฯ พรุ่งนี้อาจจะ 11 ก็ได้ ถ้าเราไม่หยุด มันจะเพิ่มไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันหนึ่งเราหยุด เราก็ย้วย ถ้าคุณไม่อยากย้วย คุณอย่าหยุด

ในฐานะนักแสดง คุณพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไร
     อย่าไปคิดว่าตัวเองเก่ง แม้แต่เด็กที่เข้ามาใหม่ๆ เขายังมีอะไรให้เราเรียนรู้เยอะเลย การเป็นนักแสดงมันโชคดีตรงที่เราได้เล่นกับคำว่าชีวิต ซึ่งมีหลากหลายแบบมาก คุณไม่มีทางเรียนรู้และเข้าใจได้หมดหรอก มันทำให้เราพัฒนาได้เรื่อยๆ ส่วนในแง่ของบทบาท เมื่อก่อนผมแทบไม่เลือกเลย เล่นทุกบท ไม่มีกำแพง เพราะผมอยากสร้างภาพนักแสดงของตัวเองให้ชัดก่อน แต่ในวันหนึ่งที่มันชัดพอแล้ว ผมก็อาจจะกลับมาในจุดที่เห็นแก่ตัวมั้ง ว่าผมขอเล่นบทที่อยากเล่นได้ไหม อย่างตอนนี้ก็พูดได้ว่าถึงจุดที่ผมเลือกแล้ว เพราะผมมองว่าการแสดงมันเป็นงานศิลป์ ถ้าเราไม่มีอารมณ์ที่จะทำ มันก็ออกมาได้ไม่ดีหรอก

ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกบทบาทบ้าง
     เซนส์ล้วนๆ ผมว่าสัญชาตญาณคือสิ่งสำคัญที่สุดที่นักแสดงต้องมี มันดีกว่าการเรียนการแสดงมาเป็น 10 ปีเสียอีกนะ แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นสิ่งที่นักแสดงสูญเสียไปได้ง่ายมาก ในวันแรกที่ก้าวเข้ามา คุณจะรู้สึกได้เลยว่าสัญชาตญาณของคุณโคตรดี จากนั้นพอยิ่งแสดงบทบาทเดิมๆ ไปเรื่อยๆ สัญชาตญาณของคุณจะเริ่มหายไป

     พี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) บอกเสมอว่าสัญชาตญาณคือสมบัติของนักแสดง เพราะสัญชาตญาณคือสิ่งเดียวที่เลียนแบบกันไม่ได้ หมายถึงเรื่องจังหวะ การถ่ายทอด มันเป็นความรู้สึกขาดๆ เกินๆ บางอย่างที่ใช้สมองไม่ได้ สัญชาตญาณที่ดีมันทำให้เราเล่นยังไงก็ไม่เป็นตัวเอง ทุกวันนี้สิ่งที่หาได้ยากในบ้านเราคือการเห็นคนที่เล่นแล้วไม่เป็นตัวเอง แต่ผมเชื่อว่า ถ้าทุกคนช่วยกัน เราก็ไปได้แบบต่างประเทศเลย ที่พอแสดงออกมาแล้วเราจะไม่รู้เลยว่าตัวจริงเขาคือใคร

 

คุณมองว่าสัญชาตญาณนี้หายไปจากนักแสดงบ้านเราได้อย่างไร
     มันอาจจะเกิดจากสิ่งที่ผมเรียกว่า ‘ความมักง่าย’ ของบ้านเรา ที่ชอบเล่นกันแบบ Safe Mode ซึ่งไม่รู้จะกลัวเหนื่อยอะไรกัน ถามจริง ทำงานแล้วไม่เหนื่อยมันจะเรียกว่าทำงานหรอ เป็นเรื่องที่ผมอึดอัดมานานแล้ว แต่ผมว่าใครไม่ได้ เพราะผมไม่เก่ง แต่ลึกๆ แล้วผมรู้สึก เหมือนมันเริ่มจากการที่เราไม่ค่อยคิดอะไรใหม่ๆ จนมันกลายเป็นคำว่าจำเจ พอมันจำเจมากๆ ก็เลยไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไร เพราะมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมทำมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คือผมฝึกสัญชาตญาณ

รู้สึกอย่างไรที่คนเริ่มเปลี่ยนมุมมองในตัวคุณจาก ‘ดาราวัยรุ่น’ มาเป็น ‘นักแสดง’
     รู้สึกดีครับ แต่มันยังชัดไม่พอ มันแค่เพิ่งเริ่มเท่านั้น ผมอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะไปได้ถึงไหน อย่างรุ่นพี่ผมหลายๆ คนที่เขาเริ่มจากการเล่นเป็นคนวัยทำงาน เขาก็เล่นบทคนวัยทำงานไปเรื่อยๆ แต่ผมไม่ค่อยเห็นคนที่เริ่มจากบทวัยรุ่น แล้วรักษาบทบาทนี้พร้อมกับดันตัวเองขึ้นไปเป็นวัยทำงานได้โดยที่ทุกคนยังเชื่อ ซึ่งผมกำลังทำสิ่งนั้น

     ผมไม่อยากเป็นนักแสดงบทบาทวัยรุ่นที่ตายในวัยรุ่น ผมอยากดันตัวเองขึ้นไปจนกลายเป็นนักแสดงวัยแก่ แล้วคนก็ยังเชื่อผมอยู่ ซึ่งมันยากมาก เพราะการเล่นกับความเชื่อของคนเราจะไปบอกเขาไม่ได้ว่า ‘เชื่อผมเถอะ’ ยิ่งเราเคยผ่านผลงานที่ประสบความสำเร็จมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งติดตาเราในบทบาทนั้น มีหลายคนบอกว่า ทำไม่ได้หรอก แต่ผมไม่เชื่อ ผมมีแต่ความดื้อ ยิ่งใครบอกไม่ได้ ผมก็ยิ่งอยากทำให้ดู

อย่างเรื่อง Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ และ เลือดข้นคนจาง เราเซอร์ไพรส์กับการแสดงของคุณมาก แล้วคุณล่ะได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานในสองเรื่องนี้บ้าง
     ตอน พี่น้องลูกขนไก่ ผมได้เล่นอะไรที่มันสุดมากๆ จนชีวิตนี้น่าจะเล่นอะไรแบบนั้นได้แค่ครั้งเดียว ถ้าให้รับบทออทิสติกอีกผมคงไม่เล่นแล้ว เพราะผมให้เกียรติและให้ความเคารพตัวละครที่สร้างขึ้นมา

     สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ เมื่อผมเข้าไปในบทบาทพี่ยิมแล้ว มันทำให้ผมได้ไปสัมผัสโลกที่หลายๆ คนคงไม่เข้าใจ เพราะภาพที่ผมเห็นมันจะไม่เหมือนภาพที่คนอื่นเห็น อย่างห้องสีขาวตรงนี้ผมจะไม่มองว่ามันเป็นสีขาว ทุกอย่างถูกบิดไปหมด ซึ่งทำให้ผมสนุกมาก อีกอย่างคือเรื่อง พี่น้องลูกขนไก่ ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่มันเป็นสัญญาที่ผมทำให้บ้านเด็กออทิสติกไทยทั้งบ้าน ว่าผมจะเปลี่ยนมุมมองของคนที่มองพวกเขาให้ได้ แลกกับการที่พวกเขาสอนผม แต่ข้อเสียคือตอนเราต้องจากกัน มันเอาออกยาก เพราะพี่ยิมเป็นคาแร็กเตอร์ที่แข็งแรง แล้วผมก็ติดบทพี่ยิมเหมือนเป็นพฤติกรรมที่สองของตัวเองโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย ยิ่งถ้าไม่มีคนรอบตัวคอยเตือนตลอด ผมก็ยิ่งถลำลึก แล้วมันก็เป็นปัญหาว่าผมถอดพี่ยิมออกไปไม่ทันตอนเลือดข้นคนจาง ซึ่งโชคดีมากที่มีคนช่วยให้ข้ามกำแพงนี้ไปได้ก็คือพี่ย้ง เพราะบทดี แข็งแรง เขาจะรู้เลยว่าตอนไหนเราหลุดอยู่ ถ้าไม่ได้พี่ย้งเราก็แย่เหมือนกัน

ตอนเล่นบทที่หลุดจากตัวเองอย่างพี่ยิมว่ายากแล้ว แต่การเทิร์นแบ็กกลับมาเป็นบทที่คล้ายตัวเองอย่าง ‘อี้’ ใน เลือดข้นคนจาง ยิ่งยากกว่า เพราะการกลับมาเป็นอี้ครั้งนี้มันคือการกลับมาใช้
     สัญชาตญาณดิบของตัวเองเล่นเหมือนตอนเป็นไผ่ เพียงแต่เฉดมันต่างกัน อี้เป็นเฉดที่โตแล้ว มุมมองเปลี่ยน ซึ่งตัวจริงของเรามันมีความใกล้เคียงสิ่งนี้อยู่ มันดีนะที่เราได้กลับมา เพราะถ้าผมฉีกแกนตัวเองออกมากไป แกนของผมอาจจะพัง

ตอนนี้มีบทบาทไหนที่อยากเล่นอีกไหม
     อยากเล่นบทผู้หญิง แบบผู้หญิงจริงๆ เลย ข้ามเพศ ไม่ใช่ตุ๊ด เพราะไม่ค่อยมีใครเล่น แล้วผมก็อยากเข้าใจความคิดที่ละเอียดอ่อนของผู้หญิง คิดว่าถ้าเล่นแล้วผมคัมแบ็กกลับมาเป็นตัวเอง ผมจะละเอียดอ่อนมากกว่านี้อีก เหมือนกับเวลาผู้ชายกับผู้หญิงคุยกันแล้วงอนกัน ความคิดมันจะคนละขั้วเลย ผู้ชายอาจจะรู้สึกว่า ถ้างอนก็แค่ง้อไง แต่ผู้หญิงเขาจะคิดอีกไม่รู้กี่ชั้น มีการซอยย่อยอีกเยอะมาก แล้วอีกอย่างที่ผมอยากลองเล่นบทผู้หญิงเป็นเพราะว่า ผมมีนิสัยผู้หญิงเยอะเหมือนกัน

ต่อ ธนภพเนี่ยนะมีนิสัยแบบผู้หญิง
     ผมเป็นคนตรงๆ ก็จริง แต่ชีวิตเรามีหลายพาร์ตไง มันไม่ได้หมายความว่าผมจะเอานิสัยผู้หญิงมาใช้ในการทำงาน มันถูกใช้ในพาร์ตอื่นๆ นิสัยผู้หญิงของผมคือ จุกจิก ขี้บ่น ขี้หึง ขี้หวง อ่อนไหวง่าย เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครกล้าทำหนังแนวนี้ ชวนผมด้วยนะครับ (หัวเราะ)

การเป็นนักแสดงมันมอบอะไรให้ชีวิตคุณ และเอาอะไรไปจากชีวิตคุณบ้าง
     มันมอบชีวิตที่ผมคิดว่าผมขาด เช่น มันให้ผลตอบแทนที่ทำให้เราสามารถเอากลับมาดูแลพ่อแม่ได้เร็วมาก แต่สิ่งที่ผมเสียไปคือความเป็นส่วนตัว เสียเวลามากกว่าอาชีพอื่นไม่รู้กี่เท่า เพราะถ้าคนทำงานอาชีพนี้จริงจังจริงๆ จะรู้เลยว่าอาชีพนักแสดงมันหนักมาก อีกอย่างคือผมสูญเสียการปฏิเสธ ผมแทบไม่มีสิทธิ์พูดคำว่า ‘ไม่’ เลย เพราะถ้าผมบอกว่า ไม่ คนอื่นก็จะหาว่าผมอย่างนู้นอย่างนี้ทันที และผมก็สูญเสียสภาพจิตใจตัวเองไปเยอะเหมือนกัน เพราะหลายๆ คนก็เห็นว่าหลายบทบาทที่ผมเล่นมันส่งผลกระทบต่อจิตใจผมมากเช่นกัน หลายครั้งที่อาชีพนี้ทำให้ผมดาวน์มาก แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นหาจิตแพทย์นะ ผมจะหาการผ่อนคลายแบบอื่น

แล้วพอมาชั่งน้ำหนักแล้ว สิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสียนั้นมันคุ้มกันไหม
     มันไม่คุ้มหรอก ฟังจากที่ผมไล่มาแล้วก็น่าจะพอรับรู้ได้ว่ามันไม่คุ้มเลย

แล้วทำไมถึงยังทำอยู่
     เพราะผมรักไปแล้ว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งนิสัยผู้หญิงของผม เหมือนผู้หญิงที่ยอมอยู่กับผู้ชายเลวๆ เพราะความรัก

เป็นคนเชื่อว่า พอรักแล้วก็ทำอะไรได้ทุกอย่างเลยหรอ
     ไม่แน่ใจว่ารักแล้วจะทำอะไรก็ได้ไหม แต่ถ้าผมไม่รักแล้วต้องทำ ให้ผมตายดีกว่า เพราะถ้ารักมันก็อาจจะมีทำบ้าง ไม่ทำบ้าง แต่ถ้าไม่รัก จ้างให้ก็ไม่ทำนะ ยอมตายเถอะ

คุณทำงานเยอะขนาดนี้ มีลิมิตของตัวเองไหมว่าตอนไหนเรียกว่าเยอะเกินไป
     ผมยอมรับว่าตัวเองบ้างาน ก็เนียนๆ อยู่กับมันได้ทั้งวัน อาจจะมีจุดที่พีกมากๆ แล้วต้องพักเหมือนกัน แต่ผมเป็นคนทำงานแบบไม่ห่วงสุขภาพ ไม่ห่วงอะไรเลย ใช้ๆๆ เละมาก มันแย่นะ แต่ถ้าผมยังเป็นคนแบบนี้อยู่ก็คงเปลี่ยนไม่ได้ ยกเว้นถ้าโตกว่านี้แล้ว หายบ้างานแล้ว จะมาบอกอีกที (หัวเราะ)

     คนรอบตัวผมเองเขาก็ไม่เข้าใจนะ ว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ แต่ผมจะคิดอยู่เสมอว่า การทำงานเยอะแบบนี้มันดีกว่าพรุ่งนี้ไม่มีอะไรให้ทำเลยนะ แบบนั้นมันเคว้งกว่าเยอะเลย

 

ปี 2018 ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง มีคำพูด การกระทำ หรือเหตุการณ์อะไรไหม ที่ช่วยผลักดันให้คุณมีพลังและกำลังใจในการใช้ชีวิต
     ขอบคุณปี 2018 ที่ทำให้ผมได้ติดยศนักแสดงจริงๆ สักที ชอบปีนี้เพราะว่าผมได้ทำแต่งานที่ชอบ แล้วก็ชอบปีนี้ที่อยู่ดีๆ บ้านแฟนคลับเราก็เติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ สุดท้ายคือชอบปีนี้ เพราะผมรู้สึกว่ามันได้เวลาของ T - Pop สักที ไม่รู้ว่าเราจะเอาเงินออกนอกประเทศกันไปถึงไหน คนในประเทศเราไม่ได้แพ้ใครเลย ส่วนตัวผมไม่เคยคิดว่าบ้านเราห่วย บ้านเรามีคนเก่งๆ เยอะมาก นี่คือสิ่งที่ผมอยากฝากไว้ในปี 2018 และอยากให้ทุกอย่างดีขึ้นในปี 2019

     สำหรับเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น น่าจะเป็นวันที่ได้รับรางวัลนาฏราช มันเป็นวันที่ผมทิ้งกอง เลือดข้นคนจาง ที่ถ่ายเลตไปเกือบ 7 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่อยากไป เพราะไม่อยากทิ้งให้คน 60 ชีวิตต้องรอผม แต่สิ่งที่ทุกคนบอกผมก็คือ “ไปเหอะ ไปเอารางวัลมาให้พวกกูหน่อย ถ้ามึงไม่ได้ มึงไม่ต้องกลับมา” แล้ววันนั้นผมดันได้รางวัลจริงๆ (ยิ้ม) มันเลยกลายเป็นความรู้สึกที่พิเศษมากๆ

แล้วในทางกลับกัน มีสิ่งไหนที่คุณผิดพลาด ล้มเหลว และได้รับบทเรียนจากมันบ้าง
     เยอะแยะเลย มันมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากความเหนื่อยจากการทำงาน เช่น หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อย แต่เมื่อผมเลือกจะมาอยู่ตรงนี้ก็ต้องพยายามแก้ไขและเรียนรู้จากมันให้ได้

สิ่งที่คุณค้นพบในวัย 24 คืออะไร และมีอะไรไหมที่คิดว่าน่าจะค้นพบได้เร็วกว่านี้
     ผมชอบคิดว่า 24 แก่แล้ว ไม่วัยรุ่นแล้ว (หัวเราะ) แต่จริงๆ เราเพิ่งเริ่มเอง ยังทำอะไรได้อีกเยอะเลย และปีนี้ก็เป็นปีที่เข้าใจแฟนคลับมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เราน่าจะเข้าใจพวกเขามาได้ตั้งนานแล้ว อาจเพราะเมื่อก่อนผมอาจจะเป็นคนไม่สนโลกไปหน่อย แต่ตอนนี้ก็พยายามเก็บรายละเอียด และสนใจความรู้สึกของคนอื่นๆ รวมทั้งแฟนคลับมากขึ้น 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook