"หวาย ปัญญริสา" ช่วงชีวิตที่ก้าวผ่านการถูกเหยียดหยาม และกลับมามีความสุขกับการเป็นตัวเองอีกครั้ง

"หวาย ปัญญริสา" ช่วงชีวิตที่ก้าวผ่านการถูกเหยียดหยาม และกลับมามีความสุขกับการเป็นตัวเองอีกครั้ง

"หวาย ปัญญริสา" ช่วงชีวิตที่ก้าวผ่านการถูกเหยียดหยาม และกลับมามีความสุขกับการเป็นตัวเองอีกครั้ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากมีชีวิตของดาราสักคนหนึ่ง ที่ถ่ายทอดประสบการณ์การถูกเหยียดหยามมาทั้งชีวิต เรื่องราวของ ‘หวาย-ปัญญริสา เธียรประสิทธิ์’ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ ‘หวาย กามิกาเซ่’ อดีตนักร้องเพลงป๊อปที่มีเพลงฮิตติดชาร์ตมากมายของไทย คงจะบอกเล่าเรื่องราวของคนที่เคยถูกดูถูกเหยียดหยามได้ดีที่สุด เพราะตั้งแต่เด็ก เธอเปิดเผยให้เราฟังว่า สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนนานาชาติ เธอเป็นเด็กเอเชียที่ถูกเพื่อนรุมกลั่นแกล้งอย่างหนัก จนต้องหนีไปกินข้าวคนเดียวในห้องน้ำ เมื่อเดินเข้าสู่วงการในฐานะนักร้องจากค่าย 'กามิกาเซ่' ความสุขจากการที่ตามฝันสำเร็จนั้นมาพร้อมกับคำด่าทอต่างๆ นานาจากอินเทอร์เน็ต ที่มุ่งโจมตีรูปลักษณ์ภายนอกของเธอว่าอ้วน เตี้ย ดำ โดยมองข้ามศักยภาพและเสียงร้องของเธอ

จนมาถึงปัจจุบันเธอในเวอร์ชั่นใหม่ ก็ยังคงหนีไม่พ้นการถูกดูถูกจากประเด็นเรื่องการศัลยกรรม และสำเนียงภาษา การแต่งตัวจากไลฟ์สไตล์ในไอจีที่เต็มไปด้วยชุดว่ายน้ำ (IG : waiiwaii.ps) จนเธอสูญเสียสมดุลและปฏิเสธความเป็นตัวเองไปพักใหญ่เลยทีเดียว

“หวายโดนเหยียดหยามตั้งแต่อายุ 13 จนมาถึงตรงนี้ เข้าใจแล้วว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีคนไม่ชอบบ้าง เราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของทุกคนได้ ทุกคนสามารถมีความคิดของตัวเองได้ ติได้นะ แต่ว่าเห็นใจนิดหนึ่ง” อะไรที่ทำให้เธอก้าวผ่านคำนินทาว่าร้ายแบบนั้นมาได้ และสามารถกลับมามีความสุขกับการเป็นตัวเองได้อีกครั้ง ลองไปฟังความในใจของเธอจากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

“หนูคิดว่าเรื่องการแต่งตัวมันแล้วแต่ความชอบของคน ถ้าหนูชอบใส่วันพีซ หนูก็จะใส่วันพีซ ถ้าเราชอบทูพีซก็จะใส่ทูพีซ หนูรู้สึกว่าถ้ามันทำให้เราแฮปปี้ มีความมั่นใจ เราก็ไม่ควรเอาความคิดของคนรอบข้างมาใส่ในหัวเรา”

เห็นว่าคุณแม่บอกช่วงนี้ชอบไปภูเก็ตมากเลย
ไปบ่อยมาก เป็นคนที่ชอบทะเลมากเลยค่ะ ถ้าต้องเลือกระหว่างทะเลกับภูเขา ก็จะเลือกทะเลก่อนตลอด ชอบฟีลซัมเมอร์ บางคนที่ไปทะเลอาจจะชอบไปเอาบรรยากาศ แต่หนูชอบลงไปเล่นน้ำ ชอบลงไปคลุกกับทราย ไปกลิ้งเล่น เป็นคนแบบนี้

คนเลยคิดว่าเราสายเซ็กซี่หรือเปล่า ในไอจีเลยมีแต่บิกินี่
ก็กดดันนะ (หัวเราะ) คือตัวหวายไม่ได้เป็นคนที่เซ็กซี่จ๋าอะไรขนาดนั้น เหมือนอย่างคิม คาร์เดเชี่ยน ภายนอกเราดูเขาเป็นคนเซ็กซี่มาก แต่ตัวของเขา บุคลิกของเขาเองก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพียงแต่บุคลิกของเขามีเสน่ห์ไปเอง เหมือนอย่างของหวาย เราเองเป็นคนที่มีนิสัยลุยมาก ค่อนข้างห้าวๆ ปกติอยู่กับเพื่อนผู้ชายเยอะ แล้วเขาจะไม่เคยจีบเลย เพราะว่าเราห้าว แต่ถ้ามารู้จักหวายจริงๆ จะรู้ว่าเราเป็นคนแบบนั้น เวลาไปทะเลถามว่าเราชอบใส่บิกินี่ไหม เราก็ชอบ แต่ถ้าชีวิตปกติเราก็แต่งตัวธรรมดาๆ บางวันอยากสบายๆ ก็ไม่แต่งหน้าไปเดินช้อปปิ้งก็มี ใส่แว่น กางเกงขาสั้นแล้วก็เสื้อยืด แล้วแต่วันแล้วแต่ฟีล

หวายคิดว่านิยามความเซ็กซี่เป็นอย่างไร
เซ็กซี่อาจไม่ได้แปลว่าต้องแต่งตัวเปิดตลอดเวลา แต่มันคือ sex appeal ใส่อะไรก็ได้ แต่ทำให้คนรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เซ็กซี่จังเลย อาจจะใส่เป็นเดรสยาว กระโปรงยาว แต่เวลาเรามองแล้วคนรู้สึกว่าเซ็กซี่ก็พอแล้ว อย่างถ้าคิม คาร์เดเชี่ยน หรือไคลี่ เจนเนอร์ มาใส่กระโปรงยาวไปงานกาลา เราก็มองว่าทำไมเขาเซ็กซี่อยู่ดี แต่ถ้าถามหนู ตัวหนูเองเพื่อนๆ เขาจะคิดว่าหนูเป็นคนรั่ว ตลก แล้วก็เซนซิทีฟ อาจจะมีเซ็กซี่ปนเข้ามานิดหน่อย แต่เรื่องเซ็กซี่อาจจะเป็นเพราะการแต่งตัว แต่ตัวเองเป็นคนที่ห้าวมากกว่า

ผู้ใหญ่หรือคนส่วนใหญ่ อาจจะมองว่าการใส่บิกินี่ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมไทยหรือเปล่า
หนูเข้าใจวัฒนธรรมไทยมากๆ แต่หลายๆ คนที่โตมากับวัฒนธรรมที่ผสมผสานกัน อาจจะไม่คิดแบบนั้น อย่างคุณพ่อกับคุณแม่ของหวายก็ไม่ได้มีกรอบให้หวาย และทำให้หวายมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นด้วย เป็นอะไรที่ดีต่อใจกับหนูมาก ที่สอนให้หนูรักความเป็นตัวเองแบบวันนี้

แล้วหนูคิดว่าเรื่องการแต่งตัวมันแล้วแต่ความชอบของคน ถ้าหนูชอบใส่วันพีซ หนูก็จะใส่วันพีซ ถ้าเราชอบทูพีซก็จะใส่ทูพีซ หนูรู้สึกว่าถ้ามันทำให้เราแฮปปี้ มีความมั่นใจ เราก็ไม่ควรเอาความคิดของคนรอบข้างมาใส่ในหัวเรา ถ้าเราเห็นคนมาว่าเรา เราก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ลองถามตัวเองว่า ณ จุดนั้นเราเองมีความสุขไหมกับการทำสิ่งนั้น หรือสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ทำให้เรารู้สึกยังไง พอเราคิดกลับไปทบทวนก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ต้องสนใจสิ่งที่คนรอบข้างพูดตลอดเวลา หรือว่าสนใจคอมเมนต์ในโลกออนไลน์

“ทำไมต้องเป็นเราวะ ทำไมคนอื่นไม่โดน ทำไมเราเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ นั่นคือคำถามที่หนูถามกับตัวเองตลอด หนูจะพูดกับแม่ตลอดว่าหนูอยากย้ายไปเมืองนอก เพราะรู้สึกว่าที่นี่อาจจะรับหนูไม่ได้ในบางเรื่อง”

หวายเองน่าจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่กับคอมเมนต์แบบนั้นเยอะมาก มีคำพูดแบบไหนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ที่สุด
หนูว่าคอมเมนต์ที่ติเกี่ยวกับหน้าตาหรือรูปร่างนะ โอเค เรื่องของวัฒนธรรมหนูเข้าใจ แต่หนูก็ไม่ได้ใส่บิกินี่ไปในที่ที่ไม่สมควร หนูใส่ชุดว่ายน้ำไปเล่นน้ำทะเล เราไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เราไม่ได้คิดว่ามันเซ็กซี่เกินไป เพราะถ้าให้ไปเดินช้อปปิ้งหนูก็คงไม่ใส่ แต่หลายๆ คนคิดว่าหนูชอบโชว์ตลอด อาจเพราะเห็นว่าเราลงแต่รูปไปทะเล เลยไม่ชินที่หนูใส่เสื้อผ้ามั้ง (หัวเราะ) แต่มันคือชุดว่ายน้ำนะ

ย้อนไปช่วงเข้าวงการแรกๆ ก็ถูกดูถูกเหมือนกันนี่ คงทำให้ชินใช่ไหม
สมัยก่อนเข้ากามิกาเซ่มาใหม่ๆ คนจะเรียกหนูว่าอ้วน เตี้ย ดำเลยนะ แต่จริงๆ หนูเป็นคนที่โดนดูถูกตั้งแต่อยู่โรงเรียนเลยค่ะ ตอนนั้นเรียนอยู่โรงเรียนอินเตอร์ แล้วก่อนที่จะมาเป็นนักร้องก็จะถูกดูถูกหนักมาก ตอนนั้นเสียใจและเด็กมาก ยังหาทางออกไม่เจอ และเป็นเรื่องเดียวที่ไม่บอกแม่ด้วย เพราะโดนขู่ โดนถึงขนาดว่าต้องไปทานข้าวกับคุณครูในชั่วโมงโฮมรูม เพราะคุณครูเจอหนูไปแอบทานข้าวคนเดียวในห้องน้ำ ซึ่งนานมากกว่าที่เขาจะมาเจอ หนูก็อธิบายให้ครูฟัง จนวันนี้ครูคนนั้นกับหนูก็ยังคุยกันอยู่ แต่พอหนูโตขึ้นหนูได้รู้ว่าเด็กที่มาแกล้งเราพวกนั้นเป็นเพราะอะไร และตัวเราเองไม่ได้ทำอะไรผิด หนูอยู่ของหนู เขาแค่มีอคติกับเราเฉยๆ

จนมาเข้ากามิกาเซ่ก็มาโดนอีก (หัวเราะ) ตอนนั้นดีใจมากที่ได้มาทำเพลง เพราะเป็นสิ่งที่เรารัก แต่พอปล่อยเพลงออกมาก็โดนว่า ตอนนั้นรู้สึกเฟลมาก ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว คิดอยู่ตลอดว่าคนที่ไม่เคยเจอเราทำไมเขาถึงมาว่าเราได้ ไปบ่นกับเพื่อนในค่าย เขาก็บอกใจเย็นๆ แต่ตอนนั้นเพื่อนๆ ไม่มีใครโดนเลย หนูโดนคนเดียว ตอนนั้นสติแตกจนเข้าโรงพยาบาลเลย เรื่องเกิดตอนถ่ายเอ็มวีเพลง ‘ยอมให้จับนะ’ ตอนนั้นหนูก็เก็บกด แล้วอยู่ดีๆ ชักจนเป็นลมต้องหามส่งโรงพยาบาลเลย ตอนนั้นมันกดดันขนาดนั้น

แล้วดีลกับมันอย่างไรในวันที่คนเข้ามาว่าเรามากๆ
บางวันเศร้ามากจนไม่อยากทำอะไรหรือเจอใครเลย แต่ถ้าเป็นวันที่เรารู้สึกไม่ไหวจริงๆ อาจจะคุยกับคุณแม่ คุยกับเพื่อน คือหนูอาจจะเป็นคนที่รู้สึกแย่ง่าย แต่ถ้าได้คุยกับคุณแม่หรือเพื่อนเมื่อไหร่จะกลับมารู้สึกดีได้เร็ว แต่หนูรู้สึกว่านี่มันปี 2019 แล้วเราไม่ควรที่จะมาตำหนิใครเรื่องภายนอกแล้ว อย่างล่าสุดมีสำนักข่าวที่เอาภาพหนูใส่บิกินี่ในวิดีโอ แล้วเอาไปลงพอไปอ่านคอมเมนต์แล้วมันแย่มาก เป็นคอมเมนต์ที่เกี่ยวกับหน้าตาและรูปร่างหมดเลย คือถ้าเราแก้มายเซ็ตตรงนี้ของทุกคนได้มันจะเป็นอะไรที่ดีมาก เราแค่ต้องซัพพอร์ตกันไปเรื่อยๆ เพราะเวลาที่คนเข้ามาติเรื่องร่างกายหรือว่าหน้าตา หนูคิดว่ามันโอเวอร์ไปแล้ว แล้วถ้าคนที่อ่านไม่ได้เป็นคนที่เข้มแข็งแบบหนู คุณไม่รู้หรอกว่าบางทีคุณอาจจะพูดอะไรนิดเดียว แต่คนที่มาเห็นใจเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว เราไม่อยากให้มีการดูถูกอยู่จริงๆ

แล้วมาถึงวันนี้ สักแวบยังให้ค่าคำตัดสินพวกนั้นอยู่อีกไหม
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยให้ค่าแล้วค่ะ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่เสียใจเลยก็คงโกหกแน่ๆ เพราะเวลาใครว่าอะไรเราก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้หนูก็จะเอามาพิจารณาว่าสิ่งที่เขาว่ามันเป็นความจริงไหม หรือเราเป็นเหมือนที่เขาพูดจริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาพูดหรือไม่เป็นความจริง เราจะเสียใจทำไมถ้าเขาพูดขึ้นมาลอยๆ เฉยๆ

หนูคิดว่าทุกคนชอบกอสซิป ชอบเม้าท์มอยกัน แต่หนูเป็นหนึ่งคนที่ไม่ชอบตัดสินคนจากภายนอกเลย หนูว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ชอบชมกันจนมันเป็นสิ่งผิดปกติไปแล้ว อย่างถ้าหนูเดินมาแล้วมีคนบอกว่าวันนี้สวยจัง หนูจะรู้สึกถึงความผิดปกติ มีใครมาหลอกเราหรือเปล่า (หัวเราะ) ทั้งที่เราควรจะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เราต้องหัดฟังหูไว้หู หรือว่าตัดสินจากสิ่งที่เราเจอเองจริงๆ มากกว่า

ตอนหลังจากจบกามิกาเซ่หวายก็มาโดนเหยียดอีกครั้งจากเรื่องศัลยกรรมใช่ไหม
รับมือได้ดีขึ้น แต่มีบางวันที่เรายังไม่ค่อยโอเคอยู่ มานั่งคิดกลับไปว่าทำไมต้องเป็นเราวะ ทำไมคนอื่นไม่โดน ทำไมเราเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ นั่นคือคำถามที่หนูถามกับตัวเองตลอด หนูจะพูดกับแม่ตลอดว่าหนูอยากย้ายไปเมืองนอก เพราะรู้สึกว่าที่นี่อาจจะรับหนูไม่ได้ในบางเรื่อง แต่ที่นี่ก็ยังมีคนที่รักหนูมากๆ เช่นกัน

จริงๆ ความมั่นใจในการเป็นตัวเอง คือสิ่งที่เราแสวงหามาตลอดหรือเปล่า
สำคัญมาก ถ้าเราไม่มั่นใจหรือไม่รักตัวเอง ยังไงก็ไม่มีความสุข หนึ่งเราต้องเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร เราต้องการอะไรในชีวิต อะไรที่ทำให้เรามีความสุข หนูรู้สึกว่าอะไรที่ทำให้เราทุกข์หรือเศร้าก็อย่าเอามาใส่ใจกับชีวิตขนาดนั้นเลย นึกถึงช่วงเวลาบนเวทีที่เราแฮปปี้มากแบบนั้นดีกว่า


การศัลยกรรมก็เป็นวิธีหนึ่ง
ความมั่นใจอย่างที่บอกมันเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าใครขาดไปก็คงรู้สึกเฟล เรื่องของการศัลยกรรมหนูบอกเลยว่าถ้าคุณอยากแก้ส่วนไหนของร่างกาย หรือบนใบหน้าก็ทำไปเลย ถ้าคนรอบตัวคุณ พ่อแม่ไม่ได้เดือดร้อน หนูว่าอะไรที่มีความสุขจงทำไปเลย ถ้ามันไม่ได้กระทบกับคนที่เรารักด้วย อย่างตอนที่หนูทำคือมีข้อเสนอเข้ามาและเป็นดีลที่ได้ฟรี ก็ลองขอคุณแม่ไปทำ เพราะไหนๆ ก็ฟรีแล้ว (หัวเราะ) ก็พาเขาไปเจอคุณหมอ ไปรับรู้ข้อมูลต่างๆ พอเขาสบายใจ ก็โอเคถึงทำ

อย่างเรื่องปากแม่ก็ไม่ได้ชอบนะ (หัวเราะ) ทำไมมันบวมเหมือนเป็ด คือเราเป็นคนที่ชอบปากบวมจริง แต่บวมขนาดนั้นมันก็ไม่เข้ากับลุคของเราไง ซึ่งตอนแรกหนูก็เห่อมาก อยากจะเป็นแบบไคลี่ เจนเนอร์ ปากต้องบวมกว่านี้ ต้องบวมกว่านี้ (หัวเราะ) แต่เราก็ต้องมาดูว่าลุคของเราเหมาะไหม


“เรื่องของการศัลยกรรมหนูบอกเลยว่าถ้าคุณอยากแก้ส่วนไหนของร่างกาย หรือบนใบหน้าก็ทำไปเลย ถ้าคนรอบตัวคุณ พ่อแม่ไม่ได้เดือดร้อน หนูว่าอะไรที่มีความสุขจงทำไปเลย ถ้ามันไม่ได้กระทบกับคนที่เรารักด้วย”

ยอมรับว่าก็เคยพลาด
ยอมรับสิคะ (หัวเราะ) ย้อนไปดูสัมภาษณ์ในอินเทอร์เน็ตแล้วบางทีรู้สึกว่า โอ้หนูทำอะไรลงไป แต่ผลลัพธ์ตอนนี้โอเคก็พอใจแล้ว

ตอนนี้สบายใจกับความเป็นตัวเองแบบนี้แค่ไหน
อาจจะเพราะโตขึ้นมั้งคะ เจอคอมเมนต์มาเยอะ ผ่านเรื่องพวกนี้มาเยอะ หวายโดนเหยียดหยามตั้งแต่อายุ 13 จนมาถึงตรงนี้ เข้าใจแล้วว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีคนไม่ชอบบ้าง เราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของทุกคนได้ ทุกคนสามารถมีความคิดของตัวเองได้ ติได้นะ แต่ว่าเห็นใจนิดหนึ่ง (หัวเราะ) ตอนนี้หนูโตขึ้นและมีความรับผิดชอบขึ้นมากๆ เป็นคนที่สตรองมากขึ้น บางวันก็มีบ้างที่เสียใจไม่อยากออกไปไหน

แต่เดี๋ยวนี้เวลาอยู่กับเพื่อนหนูสามารถเฮฮา เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ เมื่อก่อนเราไม่สามารถเป็นตัวเองได้ขนาดนี้ ไม่กล้าโชว์ความเป็นตัวเอง เพราะกลัวว่าคนจะหาว่าเสียงดังไป คนจะหาว่าเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า หนูรู้สึกว่าการเหยียดกัน การติใครมันเป็นสิ่งที่แย่มาก และรู้สึกว่าที่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ เรารับตัวเองได้ พ่อแม่เรารับเราได้ เพื่อนๆ ชอบที่เราเป็นแบบนี้ ทั้งหมดมันตอบเราว่าเราควรจะสนใจแต่คนที่รักเรา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook