เข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวและเผยทุกเรื่องราวในชีวิตของ "ณัฐ ศักดาทร" หนุ่มผู้ไม่เคยหยุด "ฝัน"

เข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวและเผยทุกเรื่องราวในชีวิตของ "ณัฐ ศักดาทร" หนุ่มผู้ไม่เคยหยุด "ฝัน"

เข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวและเผยทุกเรื่องราวในชีวิตของ "ณัฐ ศักดาทร" หนุ่มผู้ไม่เคยหยุด "ฝัน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนุ่มน้อยมหัศจรรย์ดีกรี นักเศรษฐศาสตร์ จากฮาร์วาร์ด' กับเส้นทางในวงการนักร้อง ที่ถูกสบประมาทตลอดเวลา

นอกจากความสุขความบันเทิงจากเสียงเพลงที่คุณทาทา อมิตา ยัง นักร้องสาวน้อยมหัศจรรย์ในขณะนั้นมอบให้ผู้ชมตามหน้าที่แล้ว เธอคงไม่อาจล่วงรู้ว่า การแสดงคอนเสิร์ตเอาต์ดอร์ในครั้งนั้นได้จุดประกายความฝันให้กับหนุ่มน้อยคนหนึ่งเข้าให้อย่างจัง

จากฝันที่อยากเป็นนักร้องซึ่งเกิดขึ้นปุบปับฉับพลันของเด็กวัยหลักสิบต้นๆ ที่บังเอิญได้ชมคอนเสิร์ตเพราะติดรถคุณแม่ไปรอรับพี่สาว กลายเป็นฝันใหญ่ในใจคุณณัฐ ศักดาทรนับจากนั้นมา เจ้าตัวรู้เพียงว่าต้องพาตัวเองเข้าใกล้ศาสตร์แห่งดนตรีให้มากที่สุด ช่วงที่ไปเรียนโรงเรียนประจำในต่างประเทศ เขาจึงเลือกเรียนวิชาขับร้อง ไปออดิชั่นเข้าวงนักร้องประสานเสียงของโรงเรียน และร้องเพลงตามงานต่างๆ มาตลอด รวมถึงการศึกษาต่อด้านดนตรีเพิ่มเติมด้วยใจรักหลังเรียนจบปริญญาตรีอีกด้วย

เรียกว่ามุ่งมั่น ทุ่มเท และจริงจังกับความฝันของตัวเองมาตลอด กระทั่งเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สถาบันการศึกษาระดับแถวหน้าของโลก คุณณัฐก็ไม่เคยลืมฝันตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยนั้นเลย เขาตัดสินใจเข้าประกวดร้องเพลงในรายการเรียลลิตี้โชว์สุดฮิตแห่งยุคอย่าง ‘ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย’ เมื่อ พ.ศ. 2550ตั้งแต่นั้น ชื่อของ “ณัฐ ศักดาทร” เจ้าของตำแหน่งสุดยอดนักล่าฝันแห่งบ้านเอเอฟซีซั่นที่4ก็โลดแล่นและยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิงย่างเข้าปีที่ 12 แล้ว ชัยชนะครั้งนั้นอาจเป็นจุดหมายสูงสุดของการแข่งขันก็จริง แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการแปรฝันในใจให้กลายเป็นจริงต่างหาก

 

ดีกรีแชมป์แต่กลับถูกสบประมาทว่า ‘เสียงเหมือนควายออกลูก’

“ถ้าจำกันได้ ช่วงแรกหลังจากได้เป็นสุดยอด AF 4 ผมตกใจกับคำกล่าวหาว่าครอบครัวผมใช้เงินทุ่มโหวตเพื่อซื้อตำแหน่งนี้มา ผมยอมรับว่าไม่ใช่คนที่ร้องเพลงเก่งที่สุด แต่คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกครอบครัวผม และที่สำคัญบ้านเราไม่ใช่ครอบครัวที่ซื้อความภูมิใจมาชื่นชมกันเอง บ้างก็ว่าเป็นคนรวยแล้วมาประกวดทำไม แต่คนทุกชนชั้นก็มีสิทธิ์ที่จะมีฝันไม่ใช่เหรอครับ” แม้เหตุการณ์จะผ่านมาหลายปี แต่น้ำเสียงของคุณณัฐก็มีความตัดพ้อเสียใจอยู่เมื่อนึกย้อนกลับไป

“ผมมีโอกาสได้เรียนที่อเมริกา ได้อยู่ในสังคมที่เคารพในความแตกต่างและให้เกียรติซึ่งกันและกัน พอมาเจอแบบนี้ก็เป๋ไปไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าผมคิดจะใช้เงินจริงๆ คงไม่มาประกวดหรอกครับ สู้เอาเงินไปจ้างโปรดิวเซอร์เก่งๆ แล้วออกเทปเลยไม่ดีกว่าเหรอ จะมาลงแข่งแล้วเสี่ยงเจอคำครหาอย่างนี้ทำไม ผมตั้งใจมาล่าความฝัน แต่เสียใจที่สิ่งนั้นกลับทำให้ครอบครัวที่ผมรักที่สุดต้องเจอเรื่องแบบนี้ โชคดีที่ทุกคนเข้าใจและไม่ได้เครียด

“ความที่ยังใหม่กับวงการ เข้ามาเพราะอยากร้องเพลง อยากออกเทป ไม่เคยรู้เลยว่าจะต้องมาเจอกับอะไรบ้าง เลยไม่มันได้เตรียมตัวเตรียมใจ พอเจอคนวิจารณ์ว่าผมเสียงเหมือนควายออกลูก บอกตรงๆ ผมเครียดไปเลย ไม่ใช่คิดว่าตัวเองเสียงดี แต่คิดว่าการที่ผมอยู่ตรงนี้สร้างความไม่พอใจให้เขาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นความเสียใจปนโมโห แต่สุดท้ายผมเลือกมองให้เป็นแรงฮึดให้ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นความสามารถของเรา ผมรู้อย่างเดียวว่า ‘ยอมแพ้ไม่ได้’ ไม่งั้นสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดจะกลายเป็นจริงขึ้นมาทันที ส่วนหนึ่งขอบคุณกำลังใจจากคนรอบข้างและแฟนคลับที่ทำให้รู้สึกว่ายังมีคนที่เชียร์และรอดูความสำเร็จของผมอยู่นะ เมื่อเขายังเชื่อว่าผมจะไปได้ไกลกว่านี้ ผมเองก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเองด้วย”

กว่าจะคิดได้อย่างนี้ มีบางแวบไหมที่คิดอยากออกจากวงการ

คุณณัฐตอบทันทีแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด “หลายแวบเลยครับ (หัวเราะ) ถามตัวเองว่าทำไมต้องมาให้ใครก็ไม่รู้ด่าว่าเรา โดยที่เราไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร มีแต่เจตนาจะทำสิ่งดีๆ แต่ที่ยังอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะผมยังรักและศรัทธาในฝันของตัวเอง ยังสนุกกับสิ่งที่ทำและมีความสุขกับชีวิตในแบบทุกวันนี้ เอาจริงๆ ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ทำอาชีพนี้จะไปทำอะไร

“ผมเคยไปออกรายการเป็นคลิปพูดเลียนเสียงสำเนียงต่างๆ แล้วมีดรามาหาว่าผมล้อเลียนและเหยียดสัญชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวผมเลย เพราะผมโตมากับความหลากหลายของผู้คน ไม่เคยคิดอย่างนั้นแน่นอน ทีแรกพยายามอธิบายแต่บางคนก็ไม่เก็ทและมองไม่เหมือนเราอยู่ดี บางทียิ่งพูดเหมือนยิ่งแก้ตัว ตอนนั้นผมเครียดมาก ด้วยเราไม่มีเจตนาอย่างนั้นเลยแต่ผลกลับออกมาตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง หลังจากเหตุการณ์นั้นผมไปเที่ยวที่ออสเตรีย การไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ผมเลยคิดได้ว่าดรามาที่เคยคิดว่าหนักหนาโลกแตก เมื่อเราอยู่ที่นี่มีใครแคร์บ้าง เลยได้แง่คิดเรียกสติตัวเองว่า สิ่งที่คิดว่าใหญ่หลวงเหลือเกิน นั่นเพราะเราตีค่ามันไปเอง เรื่องที่เราเครียดที่แท้เป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋วเอง ความดรามาที่เกิดกับเราเป็นเพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้”

 

อะไรทำให้ไม่เสียดายความเป็นเศรษฐศาสตรบัณฑิตจากฮาร์วาร์ด

“เพราะคนอื่นไม่เคยมาอยู่ในจุดที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ไงครับ (ยิ้ม) ว่าผมทำอะไรได้เยอะมากกว่าการที่ผมจะไปทำงานในสายอาชีพตามวิชาที่ผมเรียนมา ถ้าผมทำงานในแวดวงการเงินในบริษัทชั้นนำใดก็ตามคงสร้างอิมแพ็กกับคนได้ไม่กว้างเท่าทุกวันนี้หรอก ผมเลยยิ่งภูมิใจว่าการที่ผมจบจากฮาร์วาร์ดแล้วมาทำงานวงการบันเทิง การมีสเตตัสเป็นบุคคลสาธารณะ ทำให้ผมมีพลังในการนำสิ่งที่ผมซึบซึมจากสังคมอเมริกามาส่งต่อไอเดียดีๆ ทั้งสิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์และการใช้ชีวิตของผม ทำให้คนอื่นรับเมสเสจนี้ได้ง่ายและกว้างกว่าอาชีพอื่น ถือเป็นความได้เปรียบ ผมเลยไม่เคยรู้สึกเสียดายเลยครับ”

 

ยังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม

“การได้พูด TED Talks ครับ” (พื้นที่อิสระระดับโลกในการแลกเปลี่ยนเผยแพร่และส่งต่อไอเดียที่เป็นพลังความคิดและสร้างแรงบันดาลใจที่มีคุณค่าผ่านการพูดสั้นๆ แค่ 18 นาทีเพื่อจุดประกายพลังแก่ผู้ฟัง ซึ่งมีคนดังระดับโลกเคยเป็นผู้พูดบนเวทีนี้มาแล้ว อาทิ บิลล์ คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ และคาเมรอน รัสเซลล์ นางแบบชั้นนำจากวิกตอเรีย ซีเคร็ท) แต่ผมต้องสั่งสมบารมีก่อนนะครับ (ยิ้ม) เพราะยังนึกหัวข้อที่อยากพูดไม่ออกเลย แต่ถ้าจะพูดคงต้องตกผลึกชีวิตกว่านี้ ที่อยากพูดเพราะผมได้รับพลังบวกหลายครั้งจากเวทีนี้เยอะมาก รู้สึกว่าดีจังการที่ใครพูดอะไรสั้นๆ แค่ไม่กี่นาทีแต่เขาส่งพลังบวกมหาศาลให้คนจำนวนมากได้ มันเจ๋งมากครับ”

คุณณัฐปิดท้ายการสนทนาด้วยรอยยิ้มที่ยืนยันความสุขของเขาที่ได้อยู่ในจุดที่เป็นความฝันของตัวเอง และยังคงสนุกและมีแรงพลังในการพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าผู้ชมและผู้ฟังสัมผัสได้ถึงความตั้งใจนั้น จากนี้ไปก็ได้แต่เป็นกำลังใจและรอคอยที่จะฟังวันที่เขาได้ขึ้นเวที TED Talks

เครดิต Photo : ชัยฤทธิ์ ประไพ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook