ทำไมการดื่ม “กาแฟคราฟต์” จึงเหมือนการเสพงานศิลป์

ทำไมการดื่ม “กาแฟคราฟต์” จึงเหมือนการเสพงานศิลป์

ทำไมการดื่ม “กาแฟคราฟต์” จึงเหมือนการเสพงานศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในแต่ละวันของยุคปัจจุบันทุกอย่างดูรวดเร็ว ไฮสปีดกันไปหมด แต่สำหรับการดื่มด่ำแล้วกาแฟคราฟต์ค่อยๆ เข้ามาสร้างมาตรฐาน และเสน่ห์ให้กับคอกาแฟ เพราะกาแฟคราฟต์เป็นกาแฟที่มีเอกลักษณ์ มีความพิถีพิถันในทุกขั้นต้อน เปรียบไปแล้วจะยกให้การดื่มกาแฟคราฟต์เปรียบเสมือนการเสพงานศิลป์ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้คิดเช่นนั้น

หัวใจสำคัญที่สุดของกาแฟคราฟต์คือความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ไม่เพียงแต่การคัดสรรเมล็ดกาแฟ การคั่ว บด ชง หรือปรุงกาแฟในระยะเวลาที่พอเหมาะเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานที่และวิธีการปลูกกาแฟที่ส่งผลต่อกลิ่นและรสชาติของเมล็ดกาแฟ ตลอดจนความเชี่ยวชาญของบาริสต้าที่มากประสบการณ์ในการแนะนำกาแฟคราฟต์ให้เหมาะกับความชื่นชอบของคอกาแฟแต่ละคนเรียกว่าเป็นแบบ Custom-made กันเลยทีเดียว

 

ธนธร พันพานิชย์กุล ผู้บริหารหนุ่มแห่งเนสกาแฟ ผู้ที่เข้าใจเรื่องความละเมียดละไมในรสชาติกาแฟอันกลมกล่อม และรับรู้ถึงทุกขั้นตอนอันพิถีพิถันของกาแฟคราฟต์อธิบายถึงกว่าจะมาเป็นกาแฟคราฟต์ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด

1.การคัดสรรเฉพาะผลกาแฟสีแดง หรือคอฟฟี่เชอรี่ (Coffee Cherry picking) ด้วยการบรรจงเก็บด้วยมือ เพื่อให้ได้กาแฟคุณภาพดีที่สุด โดยเลือกเฉพาะผลกาแฟที่มีสีแดงสดซึ่งเป็นผลกาแฟที่สุกเต็มที่และมีรสชาติที่ดีที่สุด

2.จากนั้นจึงนำผลกาแฟสีแดงที่เลือกไปแช่น้ำเพื่อคัดผลกาแฟที่ไม่ได้คุณภาพออกไป โดยจะคัดผลกาแฟที่ลอยน้ำ (Floating) ทิ้งไป และคัดเลือกเฉพาะผลกาแฟที่จมน้ำเท่านั้น

3.ต่อจากนั้นจึงนำผลกาแฟที่คัดแล้วมาปอกเปลือก (Pulping) และล้างเมือก ด้วยการคัดแยกแล้วนำลงเครื่องปอกเปลือก จนได้เมล็ดกาแฟที่ประกบกันอยู่ แล้วขัดเมือกที่หุ้มเมล็ดออกให้หมด เพื่อป้องกันปัญหาด้านกลิ่นแปลกปลอมในขั้นตอนของการสีเมล็ดกาแฟ

4.นำเมล็ดกาแฟไป แช่น้ำสะอาด (Fermenting) และนำไปหมักแห้ง (Draining) จากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดครั้งที่ 2 แล้วจึงนำเมล็ดกาแฟไปตากแห้งตามธรรมชาติ (Drying) ซึ่งจะตากเฉพาะช่วงกลางวันเท่านั้น และตอนกลางคืนจะต้องเก็บเพื่อไม่ให้โดนน้ำค้าง

5.เมื่อแห้งแล้วก็จะกลายเป็นเมล็ดกาแฟ สำหรับนำไปสีเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออก (Hulling) ก่อนจะนำไปคั่ว โดยจะมีการคัดสรรเมล็ดด้วยมือทุกขั้นตอน (Hand sorting) เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าคุณภาพดี พร้อมเข้าสู่กระบวนการผลิตต่อไป

6.ขั้นตอนสุดท้ายคือ การคั่วและบดเมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้าให้ผสมผสานเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ จากเมล็ดกาแฟดิบจะถูกคั่วจนกลายเป็นกาแฟสีน้ำตาลทอง พร้อมกลิ่นหอมกรุ่น ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญและความพิถีพิถันในการคั่วบด ภายใต้เวลาและอุณหภูมิที่เหมาะสม จึงจะได้กาแฟคั่วบดละเอียดขนาดเล็ก 10 เท่าที่ให้รสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟที่อร่อยกลมกล่อมสมบูรณ์แบบ

การดื่มกาแฟคราฟต์นั้นถือเป็นการได้กลับมาใช้ชีวิตแบบถูกเติมเต็มใหม่อีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรเสน่ห์เฉพาะแบบโหมดช้าลงก็เอาใจคอกาแฟได้อย่างแน่นอน มันก็เหมือนการเดินเสพงานศิลป์ ที่จะทำให้เราได้พินิจพิจารณาถึงความงดงาม ความหมาย ทุกรายละเอียดของสี ฝีแปรงที่ซ่อนอยู่ในผลงานเอกชิ้นนั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook