“อ๋อง ภัสวิชญ์” บุรุษชาวไทยผู้เนรมิตวิชวลเอฟเฟกต์ให้หนังฮอลลีวูด

“อ๋อง ภัสวิชญ์” บุรุษชาวไทยผู้เนรมิตวิชวลเอฟเฟกต์ให้หนังฮอลลีวูด

“อ๋อง ภัสวิชญ์” บุรุษชาวไทยผู้เนรมิตวิชวลเอฟเฟกต์ให้หนังฮอลลีวูด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ฝันให้ไกล และไปให้ถึง” ในโลกแห่งความเป็นจริง ประโยคนี้อาจใช้ไม่ได้กับทุกคน...

แต่สำหรับชายหนุ่มวัย 30 ปีนามว่า “อ๋อง-ภัสวิชญ์ จริตงาม” สามารถก้าวไปอยู่บนจุดนั้นได้อย่างสง่างาม จากการเป็นส่วนหนึ่งในการทำวิชวลเอฟเฟกต์ให้กับหนังฮอลลีวูดชื่อดังหลายต่อหลายเรื่อง

คุณอ่านไม่ผิดหรอก… หนังฮอลลีวูดที่ทั่วโลกรู้จักกันดีอย่าง Doctor Strange, Spider-Man: Homecoming, Underworld: Blood Wars หรือแม้แต่ Alien: Covenant หลายต่อหลายฉากเกิดจากสองมือและสองตาของชายหนุ่มคนนี้ รวมไปถึงภาพยนตร์โฆษณา หรือแม้แต่ซีรีส์เรื่องเยี่ยม อาทิ Agents of S.H.I.E.L.D., House of Cards และ Gotham เป็นต้น

และในช่วงที่เขาเดินทางกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาในด้านที่เขาถนัด Sanook! Men จึงไม่พลาดที่คว้าตัวเขามาพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กยุคใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จเช่นเขา หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากในการก้าวไปสู่แวดวงฮอลลีวูด แต่หากความตั้งใจนั้นแน่วแน่ ความฝันอาจแปรเปลี่ยนเป็นความจริงเข้าสักวัน รวมไปถึงอีกหลายสตอรี่ที่น่าสนใจ และความเป็น perfectionist ที่เป็นคุณสมบัติที่นักสร้างวิชวลเอฟเฟกต์ทุกคนสมควรจะมี

อ๋อง - ภัสวิชญ์ จริตงาม

ผู้ชายที่ชื่อ อ๋อง ภัสวิชร์ กับความผูกพันที่มีต่อภาพยนตร์ รวมถึงเรื่องวิชวลเอฟเฟกต์ต่างๆ?

เป็นคนชอบดูหนังตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ที่จำได้แม่นที่สุดคือ Jurassic Park ตอนนั้น 4-5 ขวบเอง ดูแล้วแบบ เฮ้ย เขาทำออกมาได้อย่างไร พวกไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ แต่ก็เก็บเป็นความสงสัยมาเรื่อยๆ คือถ้าพูดถึงวิชวลเอฟเฟกต์ มันดูเหมือนเป็นอะไรที่ไกลตัว ดูยากสำหรับคนไทย แต่ผมสนใจพวกเบื้องหลังนี้มาตลอด แต่ตอนนั้นก็ยังหาคำตอบไม่ได้ในประเทศของเรา อินเทอร์เน็ตก็ยังไม่มี ไปซื้อหนังสือมาอ่านแต่ก็ยังมีไม่มาก พอเริ่มโตก็มีโอกาสได้ศึกษาขึ้นเรื่อยๆ เช่าวิดีโอมาดูก็มีแถมอีกม้วนหนึ่งซึ่งเป็นเบื้องหลังมาให้ ตอนนั้นมีเรื่อง Van Helsing เฮ้ย นี่ไม่ใช่คนจริงๆ เล่น เหมือนใช้กล้องถ่ายทำ 360 องศาแล้วสแกนกลับไปเป็นแอนิเมชั่นในคอมพิวเตอร์ หรืออย่าง Beowolf ที่ แองเจลิน่า โจลี เล่น ก็เป็นซีจีทั้งตัว

จากความสงสัย แปรเปลี่ยนเป็นความสนใจตอนไหน?

นอกจากเรื่องหนัง ผมก็ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กด้วย เล่นกีฬาไม่ค่อยเก่ง (หัวเราะ) คือเป็นคนที่มีศิลปะอยู่ในตัวเองพอสมควร จนกระทั่งได้มารู้จักโปรแกรม Photoshop ก็ลองจับหน้าตัวเองไปใส่แทนหน้าดาราในโปสเตอร์หนัง ก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าเราสามารถเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ได้ก็คงดี แล้วอาชีพพวกนี้ก็น่าจะมีความสุข แต่ตอนปริญญาตรีผมเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์นะ แต่พอใกล้จบก็มาคิดว่า โปรแกรมเมอร์เราก็ทำได้แหละ แต่มันอาจจะยังไม่ใช่  คือผมเป็นพวก perfectionist ด้วย อยากทำอะไรออกมาให้ดีที่สุด ตอนนั้นก็เลยคิดอยากเรียนปริญญาโท ก็ไปเสิร์ชเจอคำว่า แอนิเมชั่น กับ วิชวลเอฟเฟกต์ คำแรกน่ะเคยได้ยิน แต่คำหลังเราก็เลยลองค้นหาข้อมูล ก็พบว่าน่าจะเป็นอะไรที่ตรงตัวเรามากกว่า ก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อโทที่ Academy of Art University ที่ซานฟรานซิสโก

สรุปแล้วตอนนี้อาชีพของคุณเรียกว่าอะไร?

Visual Effects Compositor ครับ ลองนึกภาพง่ายๆ สมมติว่าเป็น Photoshop มันคือการรีทัชภาพ เอารูปนั้นรูปนี้มายำรวมกันให้ออกมาดูเหมือนจริง บางทีตัดต่อรูปจนคนไม่รู้ว่าอันนี้เป็นของปลอม แต่อาชีพของผมจะแตกต่างตรงที่ ผมทำงานเป็นเฟรมต่อเฟรม 1 วินาทีจะมี 24 รูป อะไรประมาณนี้ เสมือนเป็น Photoshop ที่ทำให้เคลื่อนไหวได้ด้วย คือมันเกิดมาจากการที่แต่ละภาพซ้อนกันเร็วๆ จนทำให้ดูเหมือนเคลื่อนไหวน่ะครับ

ความแตกต่างระหว่าง Visual effects compositor กับ Animator คืออะไร?

อธิบายง่ายๆ เลยก็คือ สมมติว่ามีฉากหนึ่ง คนต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาด ก็ต้องมีคนไปถ่ายภาพเคลื่อนไหวออกมาเป็นฉาก นั่นคือตากล้อง ถ้าจะทำสัตว์ประหลาดก็ต้องมีคนปั้น เราเรียกว่า modeler ถ้าเอามาใส่ลวดลาย จะเรียกว่า texture artist ทำให้สัตว์ประหลาดเคลื่อนไหว นั่นคือ animator ต้องมีคนมาจัดแสดง เขาคือ lighter ส่วนอาชีพผม compositor ซึ่งในเมืองไทยชอบเรียกว่าคนทำซีจี ผมไม่ได้ไปสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมา แต่จะเป็นคนปิดฉากในกระบวนการ เอาทุกอย่างมารวมกัน ทำอย่างไรออกมาให้ดูเหมือนจริงมากที่สุด โดยที่คนไม่รู้ว่านั่นคือของปลอม เพราะฉะนั้น ถ้าคนดูแล้วคิดว่าเป็นของจริง นั่นคือความสำเร็จของผม

ภาพผลงานที่ อ๋อง ภัสวิชญ์ สร้างขึ้นบนคอมพิวเตอร์

ดูเหมือนว่าตอนนั้นฝันของคุณจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แอบคิดบ้างไหมว่าเราอยากทำงานในวงการฮอลลีวูด?

ผมคิดว่าคนเราควรจะต้องฝันให้ไกลไว้ก่อน แต่จะไปถึงหรือเปล่าค่อยว่ากันอีกที ตอนไปเรียนคือก็วางตัวเองไว้ว่าจะต้องได้ทำงานที่อเมริกา

ท้ายที่สุดคุณผลักดันตัวเองให้ไปทำงานในฮอลลีวูดได้อย่างไร?

จริงๆ การแข่งขันที่นู่นสูงมาก จบมา 100 คน อาจจะได้งานสัก 1-2 คน หนึ่งปีก่อนจบคิดว่าแล้วควรจะต้องทำอะไร ทำอย่างไรให้เราเป็นคนที่หลงเหลืออยู่ได้ ก็ลองดูวิดีโอที่รวบรวมคนที่ทำงานอยู่ในวงการว่างานเขาเป็นอย่างไร ถ้าเราสามารถทำได้ประมาณนี้ ก็แสดงว่าเราอาจมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ตรงนั้นได้ ผมเลยทำธีสิสปริญญาโทเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทศกัณฐ์ แต่ทำให้มันดูแปลกใหม่ ดูทันสมัยเหมือนหนัง ไม่ได้ไทยจ๋าๆ มากเกินไป ก็ได้รางวัลที่ 1 ของมหา’ลัยมา ซึ่งก็น่าจะเป็นใบเบิกทางให้ผมได้เข้าไปทำงานบริษัทใหญ่ตั้งแต่แรก แต่ลักษณะงานของผมเป็นฟรีแลนซ์ แต่มีการเซ็นสัญญาเป็นเรื่องๆ ไป พอจบหนังเรื่องนี้ปุ๊บ ถ้าเขามีโปรเจกต์ต่อ เขาก็อาจจะขยายสัญญา บางทีเขาจ้างมา 4 เดือน ทำอยู่ 3-4 เรื่องก็มี แล้วก็ทำหนังสลับกันไประหว่างหนัง ทีวี และโฆษณา

ผลงานชิ้นแรกในฐานะ Visual Effects Compositor คือเรื่องอะไร?

Doctor Strange…

พีคมาก! มันคือฉากไหน?

ฉากที่สู้กันบนตึก แล้วก็ฉากที่เข้าไปสู้กันใน dark dimension ตอนจบ คือผมไม่ได้อ่านเวอร์ชั่นการ์ตูนนะ (หัวเราะ) แต่มันคือระดับมาร์เวล ซึ่งคนไทยรู้จักดีอยู่แล้ว แต่จริงๆ ก่อนหน้าจะมาได้ทำให้ Doctor Strange ผมเคยทำมิวสิควิดีโอเพลง “Red Lips” ของ Skrillex มาก่อน นั่นเป็นงานแรกอย่างแท้จริง

อยากรู้ว่ารู้สึกอย่างไร เพราะสิ่งที่คุณทำ ณ ตอนนั้นมันคือ Doctor Strange เลยนะ?

ตื่นเต้น รู้สึกดี คือเปิดคอมพิวเตอร์มาแล้วมันแบบ... เฮ้ย เราได้ทำแล้วจริงๆ เป้าหมายที่ผมตั้งไว้คือ อยากเอาชื่อคนไทยไปแปะไว้ช่วงท้ายของหนังฮอลลีวูดให้ได้ ซึ่งเราทำสำเร็จแล้ว

ยังจำวินาทีที่อยู่ในโรงหนังแล้วเห็นชื่อตัวเองใน End credit ได้ไหม?

จำได้ รู้สึกดีมาก ไปดูมา 5 รอบในโรง เห่อมาก ภูมิใจมาก (หัวเราะ) คือเราทำมา 9 เดือน มันก็อาจจะเหนื่อยอาจจะท้อ แต่มันรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นฉากที่เราทำอยู่บนจอ ซึ่งผมทำหลายๆ ช็อต บางช็อตแค่ไม่กี่วินาที บางช็อตเป็นนาที รวมกันก็หลายนาทีอยู่นะ แต่ใน 9 เดือนนั้นผมทำเรื่องอื่นด้วยอย่าง Underworld: Blood Wars, Spider-Man: Homecoming, Alien: Covenant ประมาณนี้

ซีนจากภาพยนตร์ Doctor Strange ที่ อ๋อง ภัสวิชญ์ เนรมิตขึ้นมา

คำว่า ฮอลลีวูด หรือ มาร์เวล สร้างความกดดันให้คุณระหว่างทำงานบ้างไหม?

มันจะเป็นในเชิงอื่นมากกว่า เช่น เราไม่สามารถพูดได้ว่าเราทำ Doctor Strange อยู่นะ ต้องใช้เป็น code name คือถ้าเราไปบอกคนอื่นเราจะโดนฟ้อง หรือเข้าไปในบริษัทก็จะโดนตัดอินเทอร์เน็ต แต่มือถือยังใช้ได้อยู่นะ มีสัญญาณ แต่มันจะมีมาตรการรักษาความลับของเขา ก็เป็นอะไรแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

ความ perfectionist ของคุณมันเหมาะกับงาน Visual Effects Compositor นี้ไหม?

ใช่ มันคือตัวผมเลย นี่แหละงานที่ใช่สำหรับเรา

แล้วการใช้ชีวิตอื่นๆ นอกเหนือจากการทำงาน คุณเป็น perfectionist ด้วยหรือเปล่า?

ผมคิดว่าเป็นนะ แต่ผมก็พยายามปรับตัว มันอาจจะเป็นความ perfectionist ในทุกเรื่องไม่ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงอยู่ในสังคมอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานก็ควรรักษามาตรฐานตรงนี้ไว้

ย้อนกลับมาที่วงการภาพยนตร์ไทย ดูเหมือนว่าเรื่องของวิชวลเอฟเฟกต์จะยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับสักเท่าไหร่?

แต่ผมมองกลับกันนะ ผมว่ามันพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างก่อนหน้านี้เรื่อง Homestay ก็มีหลายเสียงพูดถึงเยอะ ผมว่ามันมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องงบประมาณ ทุน ระยะเวลาในการทำ ถ้าเปรียบเทียบกับมาร์เวล เขาสามารถขายได้ทั้งคอมิกส์ การ์ตูน หนัง เพลง เท่ากับว่ามาทีเดียวเขาสามารถกระจายสินค้าไปขายได้อีก เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีเงินกลับมาทำโปรเจกต์ต่อไปให้ใหญ่กว่าเดิม จริงๆ ผมว่าคนไทยมีฝีมือ คนไทยทำได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ business model ด้วย อันนี้คือความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะ คือทำอย่างไรให้สามารถขายเป็นอย่างอื่นต่อไปได้ด้วย ไม่ได้หยุดอยู่แค่หนัง อย่างที่ญี่ปุ่นทุกอย่างทำเป็นคาแรกเตอร์หมด หรือดูอย่าง BNK48 ก็ได้ ทำเพลงออกมาแล้วก็ขายรูป มีอีเวนต์ ขายอะไรเยอะแยะไปหมด เขาก็สามารถเอาเงินกลับมาทำอย่างอื่น พัฒนาองค์ประกอบอื่นๆ ต่อไปได้อีก

ภาพภายนอกอาจดูเป็นอาชีพที่สวยหรู แท้ที่จริงมันยากลำบากหรือเหนื่อยแค่ไหนอย่างไร?

คือมันก็เหนื่อย มันก็หนัก แต่เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเมื่อไหร่ที่เราต้องจำใจทำในสิ่งที่อาจจะไม่ใช่ตัวเรา ทำๆ ไปแล้วก็ต้องมานั่งมองว่าเมื่อไหร่จะถึง 6 โมงเย็นสักที เมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์สักที พอจะถึงวันจันทร์ก็เห็นคนบ่นในเฟซบุ๊กว่า วันจันทร์อีกแล้ว โอเค มันอาจจะเป็นงานอดิเรกของผมมาก่อน แต่ผลสุดท้ายเราเปลี่ยนมันมาเป็นอาชีพที่ทำเงินได้ ซึ่งผมไม่เคยต้องมานั่งนับนะว่า เมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์เสียที ก็ถือว่าผมโชคดีด้วยที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ

มีคำแนะนำสำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่อยากทำงานสายนี้?

อย่างแรกเลยคือต้องมีความอดทน และความคิดสร้างสรรค์ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ ผมคิดว่าควรจะตั้งเป้าหมายให้แน่วแน่ ไม่ใช่อะไรที่เหลาะแหละ คือถ้าเรามีเป้าหมายที่สูงไว้อยู่แล้ว ความพยายามจะผลักดันเราให้ไปถึงจุดๆ นั้นเอง อีกอย่างคือต้องมีความชอบทางศิลปะด้วย และความ perfectionist ผมว่าก็สำคัญ คือมันเป็นงานที่ปล่อยไปไม่ได้ถ้าอยากให้ผลงานออกมาดี ความละเอียดสำคัญมากกับอาชีพนี้

 

Photos by: Ditsapong K.

อัลบั้มภาพ 45 ภาพ

อัลบั้มภาพ 45 ภาพ ของ “อ๋อง ภัสวิชญ์” บุรุษชาวไทยผู้เนรมิตวิชวลเอฟเฟกต์ให้หนังฮอลลีวูด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook