ดื่มอย่างไรให้สุขภาพดี

ดื่มอย่างไรให้สุขภาพดี

ดื่มอย่างไรให้สุขภาพดี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชำเลืองไปที่เครื่องดื่มในร้านค้า พร้อม อุทานในใจว่า “ไม่เอา อ้วน” ใช่ค่ะ เราอาจจะมองว่ามันเป็นสาเหตุเลยที่ทำให้ชีวิตนี้ฉันไม่มีหุ่นเพรียวลม แต่มีการวิจัยที่อาจจะทำให้คุณกลับมาคิดใหม่ ว่าประโยชน์ของมัน คนละเรื่องกับความอ้วนเลยนะ เราอาจจะเลือกหยิบชาเขียวเป็นอันดับแรกๆ แต่กลายเป็นว่า “เฮ้! กาแฟ ชาดำ ไวน์แดง และเบียร์ ดีต่อสุขภาพ!!” แต่ช้าก่อน ทั้งหมดนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า คุณต้องดื่มในปริมาณที่เหมาะสมนะจ๊ะ จะบอกให้

1.เบียร์กับโรคเบาหวาน

ฮอพเป็นพืชตัวตั้งต้นในการผลิตเบียร์ ซึ่งมีอนุพนธ์เฉพาะที่เรียกว่า humulones ทางกระบวนการผลิตทราบกันดีว่าสารตัวนี้ทำให้เบียร์รสชาติอร่อยกลมกล่อม และแน่นอนเราไม่รู้ ฮะฮ่า แต่ไม่เป็นไร ไปดูประโยชน์ของมันดีกว่า จากการวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในAngewandte Chemie International Edition พบว่าฮอพเป็นหนทางหนึ่งนำไปคิดค้นยาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง การอักเสบ และแม้กระทั่งการลดน้ำหนัก นอกจากนั้นยังมี Bittering Acid ที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำเบียร์พบว่ามีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าในการรักษาเช่นกัน ที่นี่การกินเบียร์วันละนิด ก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้วค่ะ ย้ำว่า วันละนิดนะคะ

2.เบียร์สำหรับสุขภาพสมอง

เบียร์อีกแล้วค่ะ แต่ใช่ว่าไม่เมาไม่เลิก เพราะหากในปริมาณพอเหมาะ ก็พบว่าเบียร์ช่วยปกป้องสุขภาพของกระดูก หัวใจ ตับ และสมอง และลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง แต่ถ้าหากดื่มในปริมาณมากจะก่อให้เกิดไขมันสะสม หรือ พุง

3. น้ำสำหรับความชุ่มชื้น

ถ้าไม่ชอบเครื่องดื่มอื่นๆ น้ำคือคำตอบที่ดีที่สุด เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายที่สำคัญที่สุด น้ำช่วยปกป้องข้อต่อ กระดูกและอวัยวะ ช่วยเรื่องการย่อย การกำจัดของเสีย และทำให้ร่างกายชุ่มชื้น ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอย่าง Dr.Janet Colson กล่าวว่า “ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าน้ำอีกแล้ว” เพราะในน้ำนั้นไม่มีสิ่งเจือปนและยังไม่มีสารปรุงรสปรุงแต่งใดๆ และถ้าเราดื่มน้ำเราก็ไม่จำเป็นต้องไปดื่มเครื่องดื่มอื่นเพื่อสุขภาพ เราอาจกังวลว่า ต้องดื่มน้ำเปล่าเท่าไหร่ล่ะถึงจะพอดี ซึ่งสถาบันการแพทย์ในนิวยอร์กแนะนำปริมาณที่เพียงพอ คือ ประมาณ 9-13 ถ้วยน้ำต่อวัน แต่ก็อย่าลืมว่าของเหลวอื่นๆ หรือน้ำที่มาจากอาหารก็อยู่ในคำแนะนำของแพทย์ด้วย ดังนั้นกินน้ำและก็กินข้าวด้วยล่ะ

4.นมเพื่อสุขภาพกระดูก

นมวัวยังมีการโต้แย้งในวงการ แต่หลายหน่วยงานต่างแนะนำนมไม่มีไขมัน หรือ นมไขมันต่ำ เพราะมันเป็นแหล่งของโปรตีน แคลเซี่ยม และวิตามินดี เหมาะสำหรับคนที่ไม่แพ้แลคโตสหรือแพ้โปรตีนในนม ในบ้านเราอาจจะไม่ค่อยมีคนแพ้ อารมณ์แบบพี่ไทยกินเรียบ แต่สำหรับคนที่แพ้แลคโตส ก็แนะนำนมจากถั่วหรืออัลมอลล์เลยค่ะ

5.น้ำผักสำหรับวิตามิน

ถ้าคุณชอบดื่มน้ำผลไม้ในตอนเช้า ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะเขือเทศ หรือนำผักอื่นๆ ซึ่งมีคุณค่าพอๆกับน้ำเพราะอุดมไปด้วยสารอาหารอย่า วิตามิน A C และไลโคปีน แต่อย่าใส่น้ำตาลมากเกินไปเพราะ ถ้าเป้าหมายของคุณคือการลดน้ำหนัก คุณอาจจะเฟลจากภารกิจนี้ได้

6.กาแฟสำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ

รู้ไหมการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วมีผลทำให้อายุยืน โดยมีการศึกษาจำนวนมากพบว่าการดื่มแฟเชื่อมโยงไปถึงการลดความเสี่ยง โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน โรคมะเร็ง และอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะจากสารต้านอนุมูลอิสระ สำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพและสามารถช่วยป้องกันโรคบางอย่างได้ คาเฟอีนในกาแฟยังเป็นตัวเพิ่มพลังงานระหว่างวัน แต่ไม่ควรเกิด 3 แก้วต่อวัน เพราะจะทำให้ร่างกายรับคาเฟอีนมากเกินไป

7.ชาดำสำหรับการป้องกันโรค

ถ้าคุณชอบรสชาติของชา ชาดำร้อนหรือเย็น ต่างก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นเดียวกับกาแฟ ชาดำจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญเล็กน้อยและมีสารต้านอนุมูลอิสระ แต่เตือนว่าถ้าดื่มมากกว่าวันละหนึ่งแก้วจะมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ คุณอาจจะจำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่ามากขึ้นเพื่อทดแทน

8.ชาเขียวสำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ

ขอแสดงความยินดีกับคอชาเขียว เพราะถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก และคุณประโยชน์คล้ายกับการดื่มกาแฟและชาดำ ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้นและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ปีที่ผ่านมามีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าชาเขียวลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและ โรคมะเร็งบางชนิดได้ด้วย ถึงแม้จะช่วยเผาผลาญได้แต่ก็ได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ว่าชาเขียวจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญและลดน้ำหนักได้

9. ไวน์เพื่อสุขภาพหัวใจ

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจจะมีคุณสมบัติคล้ายเบียร์ หากอยู่ในปริมานที่เหมาะสม โดยเฉพาะส่วนประกอบresveratrol ที่พบในไวน์แดง ช่วยเพิ่มสุขภาพของหัวใจ ลดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนัง และอาจจะรวมถึงการกำจัดไขมัน จากการวิจัยล่าสุด ผู้หญิงในช่วงวัยกลางคนหากดื่มอย่างพอดีพบว่า ปัญหาของโรงเบาหวาน หรืออัลไซเมอร์ภายหลังลดลง แต่อย่าลืมว่า ประโยชน์สูงสุดที่เกิดขึ้นนั้นต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมนะคะ

 ที่มา: everydayhealth

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook