การดื่มไวน์แดง สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ?

การดื่มไวน์แดง สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ?

การดื่มไวน์แดง สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คุณคงเคยได้ยินคำแนะนำที่บอกว่า ถ้าคุณอยากจะลดน้ำหนัก คุณจะต้องดื่มเหล้า หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูง และเข้ายิมเพื่อออกกำลังกาย ซึ่งเคล็ดลับเหล่านี้อาจจะใช้ได้สำหรับเราทุกคน แต่การดื่มเหล้าเพื่อลดน้ำหนักนั้น ดูจะไม่ได้เป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก

ทั้งนี้ มีการวิจัยบางอย่างค้นพบว่า การดื่มไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะต่างหากที่จะช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักของคุณลงได้จริง แต่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างไร มาดูกัน

ตามที่นักวิจัยกล่าวว่า การดื่มไวน์แดงประมาณ 2 แก้วจะช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้ โดยมีการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตันและโรงเรียนทางการแพทย์ของฮาร์เวิร์ดอ้างว่า สาร Polyphenol ชื่อ Resveratrol ที่มีอยู่ในไวน์แดงสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ ซึ่งสารโพลีฟีนอลนี้จะแปลงไขมันสีขาวที่เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่เก็บกักพลังงานและขยายตัวในขณะที่เราน้ำหนักเพิ่มขึ้น ให้กลายเป็นไขมันสีเบจที่บีบอัดแล้ว ที่น่าสนใจไขมันเหล่านี้ง่ายต่อการกำจัดออกไป

โดยการศึกษาครั้งนี้ได้ใช้หนูเป็นตัวทดลอง พร้อมกับเพิ่มอาหารที่มี Resveratrol ลงไปอีกเล็กน้อย ต่อมาพวกเขาก็ค้นพบว่า มีไขมันสีเบจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในหนูทดลองเหล่านั้น ส่วนการศึกษาอื่นของฮาร์เวิร์ด พบว่าในผู้หญิงจำนวน 20,000 คน ร้อยละ 70 ของผู้หญิงที่ดื่มไวน์สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคอ้วนได้

นอกจากนี้พวกเขายังค้นพบว่า การดื่มไวน์จะช่วยชะลอการเพิ่มน้ำหนักในผู้หญิงได้ และมากไปกว่านั้น ไวน์แดงยังมีประโยชน์อีกมากมายต่อร่างกายอีกด้วย เช่น การดื่มไวน์ในปริมาณที่น้อยหรือปานกลางสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจบางชนิดได้ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการสโตรกและเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร เนื่องจากการดื่มไวน์แดงในปริมาณน้อยอาจช่วยในการรักษาระดับ HDL หรือคอเลสเตอรอลดีในเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพยังกล่าวอีกว่า การดื่มไวน์ 1-3 แก้วต่อวัน ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ได้ และยังเชื่อกันว่า การดื่มไวน์แดงในระดับปานกลางมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อีกด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook