นั่งคุยกับ “สอง Paradox” ชายหนุ่มที่สุดกับทุกสิ่งที่ลงมือทำ

นั่งคุยกับ “สอง Paradox” ชายหนุ่มที่สุดกับทุกสิ่งที่ลงมือทำ

นั่งคุยกับ “สอง Paradox” ชายหนุ่มที่สุดกับทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่ามกลางสังคมที่เด็กยุคใหม่บางกลุ่มกำลังรู้สึกว่าถูกหลอกให้เรียนมา 22 ปีจนจบมหาวิทยาลัยพอจบมาแล้วไม่มีงานทำ  พร้อมกับคำพูดสำเร็จรูปที่ว่า “หาตัวเองไม่เจอ” ส่งผลให้เกิดเสียงสะท้อนกลับว่าแท้จริงแล้วเป็นความผิดของระบบการศึกษา หรือเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวจากความจับจดตามแบบฉบับของเจเนอเรชั่น  วันนี้ Tonkit360 ไม่ได้จะชวนคุณผู้อ่านมาอภิปรายถึงเรื่องดังกล่าว แต่เราจะพาคุณมาเจอกับคนที่เรียนจบมาแล้วถูกปฏิเสธในสายงานที่ตนเองใฝ่ฝัน แต่ไม่ได้ฟูมฟายหรือสร้างข้อกำหนดกับตนเองว่า “ฉันจะมี” “ฉันจะเป็น” หรือ “ฉันจะเปลี่ยน”

เป็นการนั่งพูดคุยที่น่าจะทำให้คนที่ชอบใช้คำว่า “หาตัวเองไม่เจอ” ได้พบเจอสิ่งที่เรียกว่า การมีชีวิตอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง  กับชายหนุ่มที่จบครุศาสตร์มหาบัณฑิต ผู้เคยมีความฝันจะเป็นครู แต่ท้ายที่สุดกลายเป็นนักดนตรีที่ได้ชื่อว่า “ขบถแห่งยุคสมัย” ชายหนุ่มคนนี้คือ “จักรพงศ์ สิริริน” หรือชื่อที่คนฟังเพลงคุ้นเคย “สอง PARADOX”

อยู่ในฐานะ สอง Paradox มา 22 ปีมีความรู้สึกเบื่อในอาชีพนักดนตรีบ้างไหม
22 ปีที่เดินทางมา มันมีครบตั้งแต่ ไม่อยากเล่นแล้ว เบื่อแล้ว 10 ปีแรก ไม่มีงานเลย ไม่มีทัวร์คอนเสิร์ต คือมันคนละศาสตร์กันเลยที่ว่าทำเพลงแปลกๆ แล้วมีคนฟัง มันจะมีเฉพาะกลุ่ม ในช่วง 10 ปีแรกคือ อยู่บ้านไม่มีงาน 6 เดือน ว่างเปล่ามาก แทบจะไปหางานอื่นทำ ชีวิตมีครบทุกแบบ ทั้งพอแล้ว เบื่อแล้ว หรือเราจะไปต่อ

แต่ว่าพอเราใช้ชีวิตในฐานะนักดนตรีมาเรื่อยๆ จนมันกลายเป็นอาชีพเราจะก้าวข้ามเรื่องพวกนี้ไปหมด และถ้าให้ย้อนไปวันแรกที่เลือก เราเลือกที่จะทำอะไรที่สนุก ทำงานที่อยากจะพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีกาลเวลากับมัน อยากทำอะไรก็ทำ เราก็คิดว่าเรามาถูกทาง

ทุกวันนี้ยังรู้สึกว่าออกไปเล่นดนตรีกับเพื่อน  เล่นไป สนุกไป คิดอะไรออกจดไว้ เดี๋ยวปีหน้าว่างก็ทำอัลบั้มใหม่กัน ให้มันแปลกขึ้นไปเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ สนุกขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมีคอนเสิร์ต ก็คิดให้ได้ว่าจะมีเสื้อผ้าหน้าผมหรือโชว์อะไรที่ทำให้มันสนุกขึ้นไปเรื่อยๆมากกว่า

ตลอดเวลาบนเส้นทางนี้ เรียกได้ว่าเจอกับประสบการณ์มาเกือบทุกรูปแบบ มีวันที่ไม่มีเงินมาแล้ว หรือ มีเงินเยอะมาก บางเดือนเล่นคอนเสิร์ตกัน 31 วัน คือเล่นทุกวันใน 1 เดือน แล้วบางวันมี 2 งาน หรือ 10 ปีแรกแทบไม่มีงาน คือมันครบหมดแล้ว ครบจนไม่ต้องไปตีความหรือไปนึกถึง ว่าควรจะมีแผนอะไร หรือคิดว่าชุดหน้าจะต้องมีเพลงฮิตไหม ปัจจุบันทุกคนปล่อยทุกอย่างให้มันไหลไปตามธรรมชาติ

คุณเรียนจบครุศาสตร์ ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท มีวาบความคิดสักครั้งไหมที่จะไปเป็นครูตามที่ได้ร่ำเรียนมา
ตอนที่เรียนปริญญาตรี รู้สึกเพียงแต่ว่า เรียนจบคณะนี้เราคงต้องไปเป็นครูนะ แต่พอเรียนต่อระดับปริญญาโท ได้มีโอกาสทำวิจัยเรื่องหลักสูตรการสอน ทำให้เห็นว่าระบบการศึกษาที่เป็นอยู่มันต้องมีการปรับปรุง ถ้ามีหลักสูตรการศึกษาที่ทันสมัย จะช่วยพัฒนาเด็กได้มาก เมื่อเด็กเก่ง ประเทศก็จะดี

แต่ดูเหมือนว่าบ้านเรายังให้ความสำคัญเรื่องหลักสูตรการศึกษาน้อยมาก  พอได้มีโอกาสสัมผัสจากงานวิจัยในสมัยที่เรียนปริญญาโท เลยทำให้รู้สึกมีไฟ และอยากเป็นครูมาก ถึงขั้นที่เรียนจบมาก็ไปสมัครเป็นครูเลย คือจะทิ้งดนตรี ไม่เล่นแล้ว จะไปเป็นครู อยากช่วยได้เท่าที่ช่วย  แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่อยากให้เราช่วย ไปสมัครเป็นครูมา 20 โรงเรียนปรากฏไม่มีที่ไหนรับเลย ตอนนั้นรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าได้ทำเต็มที่แล้ว พอเป็นเช่นนั้นชีวิตก็เดินหน้าต่อไป

เมื่อเป็นคนที่ต้องไปให้สุดในทุกเรื่อง แล้วดนตรีสำหรับคุณได้ไปจนถึงที่สุดหรือยัง
เหมือนดนตรีเป็นอย่างเดียวที่ไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับเรา อาจจะมีช่วงที่เบื่อบ้าง มีช่วงที่ไปเล่นเกม ปลูกต้นไม้ แต่เพลงเป็นอย่างเดียวที่ยังกลับมา อันอื่นเราอาจจะทิ้งไป แต่จริงๆ แต่ละอย่างก่อนจะหมดไฟ ก็ไปจนสุดทุกอันนะ เช่น อย่างตอนปลุกต้นมมะเดื่อก็ไปจนสุดปลูกไปสองร้อยกว่าต้น จนมันไม่ไหวแล้ว ดาดฟ้าจะถล่ม แล้วเราก็ไม่มีแรงที่จะดูแลต้นไม้สองร้อยต้นแล้ว

หรือเล่นเกม ก็ไปจนสุด ผมเล่นเกมตีกอล์ฟ ผมเล่นไปจนสุด Infinity Legend ไปอยู่ในกลุ่มที่เขาไปแข่งแชมป์โลก เล่นจนกระทั่งวันหนึ่งยืนแล้วล้มไปเลย คือนั่งจนหลังเสีย ก่อนจะหมดไฟคือต้องเข้าโรงพยาบาลก่อน ถึงจะหมดไฟ หมอบอกถ้ายังนั่งเล่นเกมอีกก็จะเดินไม่ได้

แต่สำหรับดนตรีแล้วเป็นอย่างเดียวจริงๆที่ยังไปต่อได้อยู่  แม้ในงานแสดงต้องเจอกับเสียงดนตรีดังมากจนไม่อยากฟังแล้ว แต่พอกลับบ้านก็ยังอยากจะฟังเพลงอยู่ เหมือนมันมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่าง

ถ้าวันนี้เดินไปในห้างสรรพสินค้าแล้วมีเด็กวัยรุ่นมาบอกว่าชอบคุณและมองว่าคุณเป็นไอดอลของเขา คุณจะรู้สึกอย่างไร
เป็นห่วง (หัวเราะ) คือถ้ามาดูเราแล้วสนุกก็ดีใจแล้ว กับถ้าเขาฟังเพลงแล้วรับสารเราได้ว่าข้างในเพลงมันมีอะไรก็จะดีใจขึ้นไปอีก หรือพอฟังแล้วเห็นรายละเอียดว่ามันมีคนที่โชว์ฝีไม้ลายมือ คนที่โชว์วิธีคิดเราก็จะดีใจขึ้นไปอีก แต่ถ้าคิดว่าผมเป็นไอดอลแล้วอยากทำตาม ก็อย่าทำตามเลย มันเป็นโชว์ แต่ถ้าดูหรือฟังแล้วชอบ แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ชอบแบบนี้จะโอเคกว่า ไม่ต้องทำเพลงก็ได้ แค่ลุกขึ้นมาทำอะไรแล้วสนุกก็ทำ แค่นี้เลยง่ายๆ แต่อย่าแต่งตัวตามเลยครับ

คุณคิดว่าอาชีพนักดนตรีมีวันเกษียณอายุไหม
ในโลกของความเป็นจริงทุกอาชีพก็มีวันเกษียณอายุในตัวเอง  จะด้วยตัวเรา ร่างกาย หรือกาลเวลา แต่ด้วย 22 ปีของผมกับ Paradox อยากจะบอกว่ามันได้เลยเวลาเกษียณอายุไปแล้ว ปัจจุบันก็เลยไม่ได้นึกอะไร แต่ผมเชื่อว่าก็ต้องมีสักวันที่ ไม่เราในฐานะคนที่เล่นเบื่อ หรือคนฟังเบื่อ  และเป็นไปได้ที่โลกจะเบื่อเรา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือสนุกกับวันนี้ไปก่อน

ถ้ามีเด็กรุ่นน้องมาถามคุณว่า อาชีพนักดนตรีมั่นคงไหมคุณจะตอบเขาว่าอย่างไร
ผมว่าไม่มีอะไรมั่นคง ไม่ว่าฟรีแลนซ์ หรืองานประจำ ทุกอย่างมันเปลี่ยนได้หมด แต่ถ้าตอนนี้ มันเลยเวลาทดลองไปแล้ว คนรู้จักเราแล้ว พรุ่งนี้เราก็มีงานอาจดูมั่นคง แต่ถ้าย้อนไป 10 ปีที่แล้วที่ไม่มีงานเลยก็ไม่มั่นคงแน่ๆ ดังนั้นไม่มีอะไรมั่นคงไม่ว่าจะงานสาขาไหน แต่กับอีกมุมหนึ่งเราทำให้มันมั่นคงได้นิดๆ คือ เราก็ต้องมีวินัย ต้องซ้อม ต้องตรงเวลา ต้องเล่นให้ดี ทำโชว์ให้ดี ทำเพลงให้ดีขึ้น เราต้องมีวินัยกับมัน พอระบบคงที่ก็จะมั่นคงในประมาณหนึ่ง

ในฐานะคนที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ และใช้ชีวิตอยู่ในอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝันจะบอกกับคนที่ยังตามหาฝันของตนเองอยู่อย่างไร
 ถ้าพูดวันนี้อาจจะดูเหมือนว่า เรามีคนรู้จักแล้ว มีงานแล้ว แต่ถ้าย้อนเวลาไปเมื่อสิบปีที่แล้วที่ไม่มีงานเลย เพื่อนแยกย้ายไปทำอาชีพอื่นแล้ว ไม่มีเงินในกระเป๋า มันก็คงอีกเรื่องหนึ่งแต่อยากจะบอกคนที่กำลังทำตามฝันว่า จริงๆ ถ้าสนุกอยู่ก็ทำไป ทนความขมไปหน่อย วันหนึ่งก็อาจจะสำเร็จ

แต่ในความเป็นจริงพอเราไปตั้งเป้าหมาย ฉันจะต้องได้ไอ้นั่นไอ้นี่ ต้องเดินไปถึงเส้นนี้ เอาจริงๆ มันควบคุมไม่ได้ ต้องกลับมาที่เราสนุกมากกว่า ง่ายๆ เลย ให้เราถามตัวเองว่าเราเต็มที่หรือยัง ถ้าเราเต็มที่แล้วเราสนุกแค่นี้ก็จบ ดังนั้นถ้าน้องๆ หรือใคร อยากจะทำอะไร ก็ทำเลย เราไม่รู้หรอกว่าจะเป็นยังไงสิ่งที่ดีที่สุดคือเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง ไปหาความรู้เพิ่ม อ่านหนังสือเยอะแล้วก็ทำในแบบที่เราชอบ ถ้ายังสงสัยอยู่อีกก็ใช้วิธีง่ายๆเลย ถามตัวเองว่าวันนี้ตื่นมา สนุกหรือเปล่า เต็มที่หรือเปล่า ถ้าตอบตัวเองได้ก็จบแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook