The Story of Nop Ponchamni การเดินทางครั้งใหม่ของสุภาพบุรุษคนดี นภ พรชำนิ คนเดิม

The Story of Nop Ponchamni การเดินทางครั้งใหม่ของสุภาพบุรุษคนดี นภ พรชำนิ คนเดิม

The Story of Nop Ponchamni การเดินทางครั้งใหม่ของสุภาพบุรุษคนดี นภ พรชำนิ คนเดิม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ราวกับว่าทุกการปรากฏกายของ นภ พรชำนิ คือการแบ่งตัวของเซลล์แห่งความสุขทางเสียงดนตรี เราต่างก็รู้จักผู้ชายอบอุ่นคนนี้ครั้งแรกในฐานะนักร้องนำวง P.O.P ที่มีสมาชิก 3 คน (พ.ศ. 2541 – 2547) สักพัก พีโอพีก็เพิ่มจำนวนสมาชิกเป็น 5 คน (พ.ศ. 2555 – ปัจจุบัน) และล่าสุด หลังจากเก็บกระเป๋าย้ายกลับมาปักหลักที่เมืองไทยเป็นการถาวร หลังจากที่ทั้งเขาและภรรยาไปใช้ชีวิตอยู่ที่ซานฟรานซิสโกนาน 10 ปี นภ พรชำนิ ก็ลงมือลุยทำงานเพลงชุดใหม่ ร่วมกับคณาจารย์ด้านแจ๊ส 11 คน ที่รวมกันเฉพาะกิจในชื่อ The Groovetomatix – 11 (เดอะ กรูฟโตเมติกส์ อิเลฟเว่น) ร่วมกันสร้างสรรค์บทเพลงในแบบฮาล์ฟบิ๊กแบนด์ เปิดตัวด้วยคอนเสิร์ตใหญ่ 23 ปีแห่งวงการเพลงบรรเลงในคอนเสิร์ตเดี่ยว The Story of Nop Ponchamni ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์และอาทิตย์ ที่ 18-19 พฤศจิกายน 2560 นี้ ที่เมืองไทย GMM LIVE HOUSE@ Central World ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวโปรเจคท์พิเศษ Life Is ไปในตัว

 

คุณเริ่มทำอัลบั้มชุดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผมพบว่าพีโอพีมีงานมาโดยตลอด จึงเหมือนกับเป็นการเปิดชีพจรให้กับผมใหม่ว่า มีคนฟังเพลงเราพอสมควร ถ้าเกิดเราจะทำงานเดี่ยวของตัวเองก็น่าจะได้ ซึ่งผมเริ่มคิดหลังจากที่เลิกทำพีโอพีได้สักพัก เพราะในระหว่างที่ทำโปรเจคท์พีโอพี 5 คน ผมก็รับงานเดี่ยวเล็กๆ เป็นการร้องเพลงการกุศลแทรกมาบ้าง โดยใช้ชื่อว่า A Smiling Moment with Nop Ponchamni ซึ่งทุกครั้งที่ผมไปร้องเพลงเดี่ยว ผมจะรู้สึกได้เลยว่าการคุยกับคนฟัง หรือว่าการร้องเพลงในแต่ละเพลงมักจะมีอารมณ์ขัน มีความตลกของผมแทรกอยู่ในนั้น ต่างจากการโชว์กับพีโอพีที่เป็นทางการกว่า และผมจะไม่ได้พูดอะไรมากเท่าไรเพราะเราโชว์เป็นวง ผมเลยรู้สึกว่าผมสามารถทำให้คนฟังมีความสุขในแบบที่ผมอยากให้เป็นได้ เลยเป็นที่มาของการเริ่มต้นคิดโปรเจคท์ใหม่ว่า เราน่าจะพร้อมแล้ว แต่ถ้าเราทำออกมาในรูปแบบเดิมก็จะไม่มีอะไรใหม่ ผมเลยดึงเอากลุ่มคนดนตรีแจ๊สมาช่วยกันผลิตผลงานชุดนี้  เริ่มต้นจากชวนคุณมด – ภูดินันท์ ดีสวัสดิ์มงคล มือเปียโน ให้มาเป็นหัวหน้าวง เดอะ กรูฟโตเมติกส์ อิเลฟเว่น จากนั้นก็เริ่มรีครูทคน เพื่อใช้เครื่องดนตรี 11 ชิ้น ในการทำอัลบั้มชุดนี้

ทำไมต้อง 11 ชิ้น

เริ่มต้นเลยคือ มีกีตาร์ เบส กลอง เปียโน และเพอร์คัสชั่น ซึ่งเป็นริธึ่มเซสชั่นหลัก แล้วผมก็มาต่อรองกับมดว่า ถ้าอยากให้เป็น Brass Section ต้องเพิ่มสักกี่คน มดบอกว่า 3 คนก็เหลือเฟือ แต่ผมไม่เอา เพราะผมก็เคยทำวง 3 คนมาแล้ว ผมอยากทำอะไรที่มันเกินกว่าเดิม มดเลยบอกว่า งั้น 4  ชิ้นเหรอพี่ ไม่เอาน้อยไป ก็เลยกลายเป็น 6 ชิ้น รวมทั้งหมด 11 ชิ้น เวลาไปแสดงที่ไหนก็จะเป็นฟอร์แมท 11+1 คือ รวมผมเข้าไปด้วย กลายเป็น 12 คน

ในระหว่างที่ทำวงนี้มา 2 ปี ผมก็พยายามออกไปเล่นคอนเสิร์ตการกุศลเหมือนเดิม เคยลองไปเล่นตามงานต่างๆ เช่น งานแจ๊สของมหาวิทยาลัยมหิดล งานแคทเอ็กซ์โป ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ของวง ปรากฏว่าทุกครั้งที่ไปเล่น คนดูต่างก็ยิ้ม มีความสุข ผมเลยยิ่งมั่นใจ เลยบอกพี่บอย (บอย โกสิยพงศ์) ว่าพวกเราพร้อมแล้วที่เราจะทำคอนเสิร์ตใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมกับทำอัลบั้มไปด้วย โดยเราจัดคอนเสิร์ตเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ให้ทุกคนได้เห็นก่อน แล้วเราก็จะเล่นเพลงให้ทุกคนได้ฟังว่า เราได้เลือกเพลงอะไรมาบ้างในการทำอัลบั้ม ทั้งเพลงใหม่และเพลงเก่าที่นำมาเรียบเรียงใหม่ให้เกิดเป็นฮาล์ฟบิ๊กแบนด์แจ๊สพ็อพ รวมทั้ง พวกเราจะเล่นเพลงใหม่ในคอนเสิร์ตนี้ด้วย คือเพลง หมุนตามเธอไป ออกมาเป็น title เหมือนเรากำลังทำหนัง ชวนแฟนเพลงมาดู title ด้วยกันในคอนเสิร์ต ก่อนที่พวกผมจะเริ่มทำหนังทั้งเรื่องซึ่งก็คือ ตัวอัลบั้มทั้งหมด

ตอนนี้ในอัลบั้มมีทั้งหมดกี่เพลงแล้ว

ตอนนี้ผมแต่งเพลงใหม่ไว้ทั้งหมด 4 เพลง เพลงเก่าที่เลือกมาอีก 10 เพลง คิดว่าในอัลบั้มน่าจะมีสัก 12 เพลง โดยผมจะแต่งเพลงใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ และเลือกเพลงที่คิดว่าน่าจะอยู่ในอัลบั้มเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยโชว์ของเราจะมีเพลงเพิ่มขึ้น อย่างถ้าผมรู้สึกว่าเพลงนี้น่าจะมาอยู่ในโชว์ครั้งหน้าของเรา ผมก็จะไปขอเจ้าของเพลง เอามาเรียบเรียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเพลงลูกกรุง หรือเพลงของวง ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ที่เราอาจจะไปหยิบสักเพลงมาปัดฝุ่นทำใหม่ในแบบของเรา มีเพลงอีกหลายยุคมากที่ผมอยากเอามาทำในแบบของเดอะ กรูฟโตเมติกส์ อิเลฟเว่น มันจะต้องออกมาพอดี กลมกล่อม เพราะเราไม่ได้จะโชว์ให้เห็นว่าเราเก่ง เราอยากให้คนดูมีความสุขมากกว่า

เนเจอร์ของวงผมในอนาคต ถ้าจะมีคอนเสิร์ตต่างจังหวัด เราต้องเดินทางกันในคืนวันศุกร์ เพื่อที่จะเล่นโชว์ในคืนวันเสาร์ และในช่วงกลางวันของวันเสาร์ เราจะจัดเวิร์กช็อปให้เด็กๆ ในจังหวัดนั้นๆ มาเรียนดนตรีกับอาจารย์เหล่านี้สัก 3-4 ชั่วโมง ก็จะเกิดการถ่ายทอดวิทยายุทธซึ่งกันและกัน ผมเชื่อในเวลาเท่านี้เด็กๆ สามารถเล่นดนตรีเป็น พอถึงช่วงเย็น ผมก็จะเชิญผู้ปกครองให้มาดูลูกเล่นดนตรีกับวงเรา พ่อแม่ก็จะเกิดความภูมิใจในตัวลูก ลูกเองก็จะมีความภาคภูมิใจที่ได้เล่นดนตรีให้พ่อแม่ดู เผื่อว่าพ่อแม่จะได้สนับสนุนเขาต่อไป เด็กๆ ก็จะออกมาจากเซฟโซน สามารถกระโดดข้ามกำแพงที่ตอนสมัยพวกเราต้องใช้เวลาเป็นสิบปี กว่าจะกระโดดข้ามกำแพงกันออกมาได้

อยากให้เล่าถึงเพลงใหม่ที่เราจะได้ฟังในคอนเสิร์ตนี้

เพลงแรกคือ เพลง หมุนตามเธอไป เกิดขึ้นเพราะผมอยากเขียนเพลงที่มีความเศร้าหม่นหน่อย เนื่องมาจากทำนองที่ผมร่วมกันเขียนกับคุณมดค่อนข้างล่องลอย ผมเลยพยายามนำคำที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางอันเคว้งคว้างมาใช้ สนุกดีกับการเขียนเพลงนี้ ผมใช้เวลาวันเดียว เขียนตอนที่ยังอยู่อเมริกา เพื่อนฝรั่งที่ได้ฟังเพลงนี้ก็ถามว่า เนื้อหาหมายถึงอะไร ผมก็บอกว่า หมายถึง Love Triangle หรือเรื่องของการเดินทางที่ไม่รู้จะไปจบ ณ ตรงไหน มันคือการหลุดพ้นอะไรสักอย่าง เพื่อนก็บอกว่า I can feel that. ทั้งที่เขาฟังไม่ออก แต่สัมผัสได้ว่ามันมีความรู้สึกนั้นอยู่ในเพลง

อีกเพลงชื่อเพลง เจลา ซึ่งเป็นชื่อหลานของเพลิน เจลาเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพลงนี้ผมให้พี่บอยเขียน ซึ่งก็ใช้เวลาวันเดียวเสร็จเหมือนกัน เขาอยากจะเขียนแทนความรู้สึกของเจลาที่มีต่อพ่อแม่ ว่าขอบคุณมากที่เข้าใจเขา อยู่กับเขา ให้เวลากับเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรื่องเลย ทุกคนก็ยังอยู่กับเขาตลอดมา เป็นเพลงที่ซึ้งมาก และเป็นเพลงที่เหมาะกับคอนเสิร์ตของผมอย่างยิ่ง เพราะผมจะทำเงินรายได้ไปร่วมทำบุญกับมูลนิธิ เดอะ เรนโบว์ รูม องค์กรเพื่อครอบครัวของเด็กที่มีความต้องการพิเศษในประเทศไทย

นอกจากทำเพลง คุณอยากทำงานอย่างอื่นด้วยไหม

จริงๆ อยากพูดแค่เรื่องเพลงก่อน เพราะมีงานอีกหลายอย่างมากที่ผมจะทำ อย่างโครงการที่จะทำเวิร์กช็อปกับน้องๆ ก็เป็นหนึ่งในไอเดียใหม่ของการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ให้ก้าวไปในทางที่เข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น เราใช้ชื่อโปรเจคท์นี้ว่า Life Is ที่แยกออกมาเป็นอีกบริษัทนึง ซึ่งเน้นย้ำเรื่องการจัดกิจกรรมแบบ Experential Activity หรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ทำให้เกิดการมีประสบการณ์ร่วม แล้วจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองชีวิต และเกิดแรงบันดาลใจในการหลุดออกจากสิ่งที่เขาวนเวียนอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า Life Is จะเป็นตัวเข้าไปทำปฏิกิริยานั้น ซึ่งผมกับพี่บอยช่วยกันทำมาตั้งแต่อัลบั้ม BOYd-NOP แล้ว ผ่านงานเพลงเพื่อชีวิตในแบบใหม่ เพื่อให้คนฟังได้มี Soul Supplement มีเมสเสจในการตอบปัญหาชีวิตได้ ทุกเพลงของบอย-นภเป็นเพลงให้กำลังใจและช่วยขัดเกลาจิตใจ เพราะฉะนั้น Life Is จะทำทั้งคอนเสิร์ต เวิร์กช็อป ออกแคมป์ ไปทัวร์ด้วยกัน กิจกรรมอะไรก็ตามที่สามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนมุมมองความคิดคนได้ และสามารถทำเป็นธุรกิจได้ด้วย ผมเองทำหน้าที่เหมือนเป็น CEO ประจำบริษัท Life Is เลยก็ว่าได้ โดยใช้คอนเสิร์ตครั้งนี้ประเดิมเป็นงานแรก เพื่อเป็นการประกาศว่า ต่อจากนี้เราจะไม่ได้ทำแค่คอนเสิร์ตอย่างเดียว แต่จะทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมด้วย และไม่ได้ช่วยเหลือแบบให้เปล่า แต่เป็นการช่วยเหลืออย่างเกื้อกูล ถาวร และยั่งยืน เหมือนอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระบรมราโชวาทไว้ในหลากหลายโครงการ แต่อาจไม่มีใครสานต่อ พวกเรานี่แหละต้องเป็นคนทำต่อ โดยเราจะไปจับเรื่องเหล่านี้ให้เกิดการอยู่รอดต่อไปได้

เหตุผลที่คุณทำงานเพื่อสังคม เกี่ยวข้องกับการที่ภรรยา (เพลิน พรชำนิ) ทำงานช่วยเหลือเด็กและครอบครัวด้วยรึเปล่า เหมือนเป็นการส่งต่อพลังงานระหว่างคนสองคน

เกี่ยวมากเลยครับ เราสองคนมองโลกคล้ายๆ กัน โดยมองที่ผลของการกระทำ ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง แต่มันเกิดขึ้นกับใครก็ตามที่ได้รับไป อย่างช่วงแรกที่เพลินทำงานเพื่อเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ผมก็ยังดูไม่ออกเลยว่าเพลินจะได้อะไรกลับมา นอกจากการได้ช่วยเหลือครอบครัวของเด็กเหล่านั้นให้เขามีความมั่นใจ ว่าเขาจะดูแลลูกของเขาได้อย่างถูกต้อง ไม่ผิดวิธี ไม่ผิดแบบแผน ซึ่งสิ่งที่ผมมองก็ไม่ต่างอะไรจากเพลิน ผมไม่ได้คิดจะทำเพลงเพื่อให้ตัวเองมีเงิน หรือหาเงินมาซื้อรถหรูๆ ผมต้องการทำให้เพลงเข้าไปหล่อหลอมจิตใจคนฟัง ให้คนได้เอาเพลงไปใช้ตอบคำถามชีวิตของเขาเองว่า It’s OK man. It’s gonna be fine แล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้เอง ด้วยความที่เป็นแนวคิดแบบเดียวกันก็เลยส่งเสริมกัน เพราะตั้งแต่เราได้มาเจอกัน ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ผมมีความสุขทุกวันที่ได้เจอเพลิน เวลาที่เหลือผมจึงเอาไปทำงานเพื่อคนอื่น แค่นี้ก็กำไรแล้ว ตั้งแต่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา

คุณไม่อยากมีลูกบ้างเหรอ

สำหรับผม มันเลยคำว่าอยากมีลูกไปแล้ว เพราะผมอยากทำงานมากกว่า ผมอยากทำงานทั้งหมดที่ผมเล่ามา ถ้ามีลูก ผมกลัวว่าจะมีเวลาเลี้ยงลูกไม่พอ และถ้าต้องเจียดเวลาไปเลี้ยงลูก ความฝันที่อยากจะทำก็จะไม่ได้ทำ

เท่าที่ฟังมา สิ่งที่คุณอยากทำกับการใช้ชีวิตล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน จนแยกไม่ออกว่าเป็นงานสักเท่าไร

ถ้าเราทำได้อย่างที่เราฝันมันก็คือ การทำงานที่เราได้ใช้ชีวิตไปด้วย และเป็นความฝันที่ผมยังทำไม่สำเร็จ ซึ่งก็เหลือน้อยลงแล้ว เหลืออีกแค่ไม่กี่อย่างที่ผมยังทำไม่สำเร็จ ซึ่งสิ่งที่เล่าให้ฟังก็คือ ความฝันที่เหลืออยู่ นอกนั้นไม่มีแล้ว และคิดว่าชีวิตที่เหลือน่าจะทำให้ทุกอย่างสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างได้โดยไม่เหลือบ่ากว่าแรง เมื่อเราโฟกัสมากขึ้น สุดท้ายก็จะสำเร็จไปทีละอย่างสองอย่าง

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook