จุดเปลี่ยนพลิกชีวิตของ "เอกกี้" ด้วยตัวตนที่แท้จริงในแบบ Cycle of life

จุดเปลี่ยนพลิกชีวิตของ "เอกกี้" ด้วยตัวตนที่แท้จริงในแบบ Cycle of life

จุดเปลี่ยนพลิกชีวิตของ "เอกกี้" ด้วยตัวตนที่แท้จริงในแบบ Cycle of life
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากย้อนกลับไปในอดีตยุค 90s  เชื่อว่าหลายคนคงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับ 6 หนุ่มวัยรุ่นหน้าใสในนามของ "ยูเอชที"  บอยแบนด์รุ่นบุกเบิกค่ายยักษ์ใหญ่ของบ้านเรา  ซึ่งหนึ่งในสมาชิกบอยแบนด์ชื่อดัง  เอก UHT  ( เอกชัย  เอื้อสังคมเศรษฐ )  ที่ยังโลดแล่นอยู่ในวงการจนถึงปัจจุบัน  เพียงแต่ผันตัวมาเป็นดีเจและพิธีกร  ซึ่งในระยะหลังๆลักษณะท่าทาง ตลอดจนการพูดจาของเขาดูเปลี่ยนแปลงไป ดูสดใส ร่าเริง ต่างกับสมัยตอนเป็นบอยแบนด์โดยสิ้นเชิง

 และด้วยความที่มีบุคลิกอารมณ์ดี ชอบสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ  ด้วยฝีปากที่จัดจ้านโดนใจ  จึงทำให้เขายิ่งโด่งดังสุดๆในรายการประกวดร้องเพลง เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว  และต่อมาเขาได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่ามีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน   จากสรรพนาม “เอก เอื้อ” ได้กลายมาเป็น “เอกกี้” เป็นการแกรนด์โอเพนนิ่งยอมรับว่าตัวเองเป็นเพศที่ 3   ที่พลิกชีวิตเพราะยิ่งนำพาชื่อเสียงและเงินงานวิ่งเข้าชนตัวเขาอย่างมากมาย  เพราะนอกจากจะได้ความสบายใจหลังจากทนอึดอัดแน่นอกอยู่นาน  ยังได้รับการยอมรับ  รวมทั้งคำชื่นชมที่กล้าเปิดเผยตัวตนจากคนทั่วไปในสังคมด้วยเช่นกัน

ซึ่ง “ดีเจเอกกี้” ได้เผยกับทีมงาน Sanook! Men  ว่าหลังจากที่เลิกทำวง UHT  แล้วก็มีโอกาสได้มาทำ DJ และพิธีกร  มันคืออีกสายงานหนึ่งที่เราไม่รู้  เราไม่รู้เลยว่าเราจะทำได้หรือเปล่า  เด็กๆแล้วเรามีความฝันแค่ว่าเราจะเป็นนักร้อง  เราไม่เคยฝันว่าเราจะเป็นดีเจ หรือเป็นพิธีกร อันนี้คือสิ่งหนึ่งที่เราเพิ่งมาค้นพบว่าเรามีอยู่ในตัว  เราแค่มีความรู้สึกว่ามันท้าทายดี ในเมื่อโอกาสมาแล้วเราจะทิ้งโอกาสทำไม  คือเราไปทำเทปเดโม  เราก็ไม่รู้ว่าเราจะทำได้หรือเปล่า  พอเราได้ทำปุ๊บเราก็พยายามทำมันให้ดี  ทำให้ดีของเรา ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันดีแล้วหรือยัง ไม่รู้หรอกแต่มันจะค่อยๆ มาเอง โดยที่เราไม่รู้ตัว  อย่างตอนเป็นดีเจพี่ๆ เขาจะให้แทนใครก็มาหมดนะ  พิธีกร 3,000 ก็ไปนะ คือทุกอย่างมันสะสมประสบการณ์มา ไปงานโรงเรียน  งานต่างจังหวัด  ฉันไปหมด  ฉันทำทุกอย่าง  ในช่วงสมัยที่เราเริ่มต้นเป็นดีเจ เป็นพิธีกร ไม่ว่าจะให้งานฟรีมาก็ทำ  คือตอนนั้น ไม่คิดอะไรอยู่แล้วฮะ  เรามีไฟ เราอยากเก่ง  เราอยากทำ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องทะเยอทะยาน  ไขว่คว้าให้ได้มา  จะต้องเป็นอย่างคนนั้น คนนี้ คือไม่ได้คิดตรงนั้นเลย   คิดแค่ว่ามีงานเราทำ แล้วเราก็ให้พ่อแม่ อันนี้คือเป้าหมายเดียวเลยในช่วงแรกๆ ที่เลิกจาก UHT แล้วก็มาเป็นดีเจ

คุณอยู่ในวงการบันเทิงมายาวนาน  อะไรทำให้คุณยังอยากลุกขึ้นมาทำงานในวงการนี้ ทุก ๆ เช้า

ก็คือเป้าหมายที่เราตั้งใจอยากเลี้ยงดูคุณพ่อ คุณแม่ เป็นเรื่องปกติ เราก็มีคนที่ต้องดูแลก็คือคุณพ่อ คุณแม่ นี่แหล่ะครับ อยากทำงานมีตังค์เลี้ยงท่านให้สบายที่สุด อาจจะเหนื่อยนิดนึงแต่เราก็ต้องบอกตัวเองว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาถึงใครได้ง่ายๆ  เพราะฉะนั้นเราก็ควรทำให้ในทุกๆงานที่เรารับให้ดีที่สุด ให้มันโอเคที่สุด  หลักๆ  ก็จะมีคิวที่เป็นประจำอยู่แล้วเราก็จะทราบ แต่ละครส่วนมากจะไม่ค่อยได้รับ  นอกจากบทที่จี๊ดใจเราจริงๆเราก็จะโอเค เพราะละครจะใช้เวลาเยอะ แล้วอีกอย่างเรามีรายการประจำที่ต้องทำ แล้วเวลาที่เหลือ  พอไม่มีอีเว้นท์เราก็จะว่าง พอว่างเราก็ไปออกกำลังกายในสิ่งที่เราชอบ แล้วก็อยู่กับพ่อแม่ทำกับข้าวทานกัน ก็จะเป็นแบบนี้

อะไรคือสิ่งสำคัญในการเป็นดีเจหรือพิธีกรที่ดี ของ เอกกี้

ความรับผิดชอบต่องาน การตรงต่อเวลา สำหรับพิธีกรในความคิดของเรา   เราว่ามันอยู่ที่กาลเทศะ ในหลายๆงานที่เราได้รับมันไม่เหมือนกัน สมมุติว่ารายการแต่ละรายการคอนเซ็ปต์ก็จะไม่เหมือนกัน จึงบอกไม่ได้ว่ารายการนี้ทำได้มากเกินไปหรือว่าพอดี  เราบอกไม่ได้แต่มีความรู้สึกว่าผลตอบรับจากคนดูมากกว่าจะเป็นตัวบอก  อีเว้นท์แต่ละที่ก็จะไม่เหมือนกัน  แต่ละงานบิวส์ก็จะไม่เหมือนกัน ก็เหมือนเราได้ทำมันเยอะเราก็มีประสบการณ์เยอะในชั่วโมงนั้น เราก็จะเข้าใจในเนื้องานตรงนั้น

 

หน้าจอเราเห็นคุณยิ้มแย้มตลก  แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่จริงๆ เครียดและซีเรียสกับชีวิต  สำหรับคุณเป็นแบบนั้นไหม

หลังๆนี้ไม่มีแล้ว ไม่ค่อยมีเรื่องเครียด ก็อาจจะมีเครียดเรื่องงานนิดหน่อย แต่ว่าเป็นคนปล่อยวางได้มากขึ้น แล้วก็มีความรู้สึกว่าจะไปเครียดทำไมก็ทุกอย่างเราเลือกเอง (หัวเราะ)  ถ้าเกิดอะไรขึ้น คือเราเป็นคนเลือกเองในสิ่งที่เราจะทำ อย่าไปเครียดมัน เครียดรถติดยังเครียดมากกว่าเรื่องงาน (ยิ้ม)

อะไรคือสิ่งที่คุณได้บทเรียน และเรียนรู้จากวงการมายา

หูย! เยอะนะ คนหลากหลายนะ คือ ฉลาดเกินน่ะ (หัวเราะ) เรียนรู้ในการทันคน  ฉลาดเกินอะไรแบบนี้  ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีนะแต่บางอย่าง แบบถ้าเราทันคนเราก็ไม่ต้องพูดหรอก ว่าเขาเข้ามาแบบไหนหรือว่าเข้ามาในเชิงธุรกิจ ในเชิงอะไรยังไง อย่างน้อยที่สุดก็ต่างฝ่ายต่างตอบแทน จ้างมาก็ทำ หรือว่าถ้าจริงใจมาเราก็คบ ในความรู้สึกเรานะ ในแง่การใช้ชีวิต ในเรื่องของงานเราก็ปกติ เป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงอยู่แล้วเสร็จงานปุ๊บเราก็กลับบ้าน กลับบ้านๆๆ เพราะเรารู้นิว่า แต่ละคนเป็นยังไงๆ

 

คุณเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเป็นหนี้มาก่อน อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณลุกขึ้นสู้จนมีทุกวันนี้

ตอนนั้นเหมือนคุณพ่อ คุณแม่ธุรกิจไม่ดี  ต้องไปหยิบยืม  คือเงินที่เราหามาจาก UHT เราก็ให้คุณพ่อ คุณแม่ หมดเราก็ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย  คิดแค่ว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น  เพราะเรารู้ว่าพ่อแม่เราเวลาเกิดอะไรขึ้นจะไม่เคยเล่าให้ลูกฟังเลยแต่มารู้ทีหลัง  คราวนี้เราก็อยู่นิ่งไม่ได้แล้ว  แล้วก็พยายามส่งลูกทั้ง 5 คนเรียนที่ดีๆหมดเลย เขาจะพูดอยู่อย่างเดียวว่า เขาไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรนะ  มีแค่ความรู้ที่เขาจะพยายามส่งให้ทุกคนจบให้ได้ดีที่สุด  เพราะฉะนั้นเนี้ยตรงนี้มันจึงทำให้เราคิดว่า  ในเมื่อคุณพ่อ คุณแม่ดูแลเราขนาดนี้ ทุ่มเท ขนาดนี้ ถึงวันหนึ่งเราก็ควรจะทำเพื่อตอบแทนท่าน  ไม่ท้อเพราะพ่อแม่อดทน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเรา มีเท่าไหน  เราก็ใช้แค่นั้น แต่ก่อนมี 100 บาทก็อยู่ได้ เราไม่จำเป็นต้องถีบตัวเองให้ร่ำรวยล้นฟ้า ขอให้อยู่อย่างมีความสุขแค่นั้น

เห็นว่าคุณสนใจเรื่องการเล่นเทนนิส อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสนใจเรื่องการเล่นเทนนิส

ตอนแรกเราเริ่มต้นเล่นวอลเล่ย์บอลก่อน  อยู่ดีๆเพื่อนก็ชวนไปเล่นเทนนิส พอไปเล่นเทนนิสปุ๊บ อุ๊ย! เราก็พอตีได้นินา  เรารู้สึกว่าสนุกแต่แพ้เพื่อนนะ เราก็รู้สึกแค้นมาก เพราะว่าถูกเยาะเย้ยแบบสุดฤทธิ์ สุดเดช  แล้วจากจุดนั้นเป็นคนไม่ยอมแพ้   รู้สึกว่าพอจับไม้เทนนิสแล้วมันเป็นชีวิตของเรา  เราก็เลยเริ่มจากตรงนั้น ไปไขว่คว้าดูแมทต่างๆ ตอนแรกไปสมัครเรียน 10 ครั้ง  แต่ครูแพ้ฉัน! (หัวเราะ) ก็เลยเรียนรู้เองดีกว่า (ยิ้ม)

 

แต่ก็ไม่ได้จริงจังนะ  พอเราไปเรียนทำไมเราเสริฟ์ได้เลย เราตีโฟร์แฮนด์ ได้ตีแบล็คแฮนด์ได้ เรามีพรสวรรค์ตรงนี้นิ  เราก็เลยไขว่คว้าเอง  พยายามไปหาคอร์ทต่างๆ ไปขอคนเก่งๆเขาเล่น และเข้าไปอยู่ในสมาคมค่อยแทรกตัวๆไป  ตอนแรกเริ่มจากเล่นคู่ก่อน แล้วพอเรามีฝีมือเราก็ขยับขึ้นไปนิดนึงไปหาคนเก่งกว่านั้นเล่น ขอคนเก่งๆจนเราเริ่มมีฝีมือพอที่จะเล่นกับพวกเขาได้ แล้วก็ดูแมตช์ต่างๆเวลาแข่ง ดูแล้วก็สังเกตเอาว่าคนนี้เป็นยังไง เวลาสวิงแบล็คแฮนด์ โฟร์แฮนด์ คนนั้นเป็นยังไง พอได้มีโอกาสไปเล่นกับเยาวชนทีมชาติ ไปเล่นกับทีมชาติหลายๆคนแล้ว เขาก็จะค่อยๆสอนทริคแต่ละทริคมา เราก็เอามาประยุกต์กับสไตล์ของเรา

จนวันหนึ่งเราก็ได้ไปแข่งแล้วก็ได้รองแชมป์มา (รองชนะเลิศการแข่งขันเทนนิส Tennis Pride Tournament 2016 ) ฟินที่สุดแล้ว เพราะว่าที่ผ่านมาเคยไปแข่ง 3 ปีตกรอบ 3 ปีเลย ตกรอบแรก ในปัจจุบันตอนนี้ทุกคนก็บอกว่าให้ไปแข่งอีกๆแต่ด้วยว่าอายุเรา แล้วเวลาในการซ้อมมันก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเราก็เอาให้มันเป็นพาร์ทไทม์ ที่แบบว่าอยากแข่งก็แข่ง แล้วเรารู้สึกฟินแล้วปีผ่านมาเราได้รองแชมป์เราก็ฟินแล้ว เป็นประสบการณ์ที่ดีใจ  แล้วนักเทนนิสที่ชื่นชอบคือ คุณโนวัค ยอโควิช แชมป์เทนนิสรองอันดับ 2 ของโลกและยังเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ ลาคอสท์   ชอบเพราะเก่งด้วยและหล่อด้วย (ยิ้ม) และวันนี้ก็ใส่คอลเลคชั่นใหม่ เป็นรุ่นที่คุณโนวัค ใส่แข่งขันจริงๆด้วย

 

ตอนนี้เรื่องหัวใจของคุณเป็นสีชมพูหรือว่ายังโสดสนิท

หัวใจก็มีความสุขดีในทุกเรื่อง ตอนนี้โสด คือมีแต่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่สนิทกันมากกว่า ไม่ใช่แบบรักกันในเชิงชู้สาวแบบนี้ไม่ใช่ ก็มีพูดคุยบ้าง แต่มันไม่ใช่แบบตัวจริง แล้วตัวเราอง ไม่ใช่ไม่พร้อมนะ แต่ยังไม่เจอมากกว่าที่รู้สึกว่า อยากพาเข้ามาในบ้าน

 ตอนนี้มุมมองความรักของคุณเป็นอย่างไรบ้าง

เปลี่ยนไปเยอะมาก ในสมัยอดีตก็คือทุ่มเทเรื่องความรักไม่ได้สนใจเรื่องการงาน ทุ่มเทเรื่องความรักเวอร์วังอลังการ มาที่ 1 ฉันต้องขาดเธอไม่ได้ ฉันต้องอยู่กับเธอตลอดเวลาอะไรยังงี้ แต่พอเลิกกันมันก็ทำให้เราตาสว่างว่าเออ ความรักเนี้ยมันไม่ใช่การแสดงความเป็นเจ้าของนะ ต่างคนก็ต่างอยู่อะไรแบบนี้ คือไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร วันนี้เรารักเค้า แต่วันหนึ่งอาจจะเปลี่ยน ตัวเราเองยังไม่สามารถบังคับใจตัวเราเองให้รักใครคนนึงได้เลย ไม่งั้นคนรักก็คงจะสมหวังเรื่องความรักทั้งหมดสิ ถ้าเราสามารถบังคับจิตใจตัวเองได้

 

คนมักมองว่าความรักของเพศที่ 3  มักไม่ค่อยสมหวัง ยั่งยืน สำหรับคุณ คุณมองและมีความคิดเห็นอย่างไร

 แต่ก็มีหลายคู่ที่แต่งงานกันนะ และก็อยู่กันไปจนแก่จนเฒ่าเยอะแยะเลยนะ จริงๆมันไม่ใช่แค่ผู้ชายกับผู้ชายหรอก  ผู้ชายกับผู้หญิงเห็นไหมล่ะแต่งงานกันก็เลิกกันไปเยอะแยะ เพียงแค่ว่าเขามาโฟกัสแค่เรื่องผู้ชายกับผู้ชายมากกว่า พี่ว่านะผู้ชายกับผู้ชายมันไม่มีพันธะไม่มีลูก ไม่มีห่วง มันไม่ได้เป็นครอบครัวไง ก็เรื่องปกติ

ดีเจเอกกี้อยากบอกอะไรกับ เอก UHT  ที่เป็นบอยแบนด์สุดโด่งดังสมัยก่อน

คิดไม่ออกบอกอะไรดี (หัวเราะ) จริงๆแล้วไม่อยากเปลี่ยนแปลงเลย เพราะว่า ณ โมเม้นท์นั้น ไม่ได้ฝืนและก็เป็นตัวของตัวเองทุกช่วงจังหวะชีวิต เราเป็นคนที่แบบตรงๆอ่ะ ไม่หลอกตัวเอง ไม่หลอกอะไรใคร ใช้ชีวิตแบบปกติ ก็ภูมิใจในช่วงเวลานั้น ที่สามารถก้าวเดินมาเป็นนักร้องตามที่เราฝันได้

 

 

ถึงวันนี้คุณคิดว่าชีวิตของคุณเดินทางมาถึงจุดที่ตนเองพอใจแล้วหรือยัง

โหย..เกิน แล้วก็รู้สึกขอบคุณตัวเองด้วยที่เป็นคนที่คิดอะไรได้ง่ายๆ เหมือนรู้ว่าทุกอย่างมันเป็น  Cycle of life  ชีวิตทุกอย่างมีขึ้นมีลง วันหนึ่งคุณมีพร้อมแล้วคุณก็เก็บสิ แล้วบอกตัวเองเสมอว่าตัวเองมีข้อดีข้อเสียอะไร  คือพยายามที่จะเช็คตัวเองตลอด ไม่อยากให้ใครมาว่าก่อน

แม้สังคมจะเปิดรับเพศที่ 3  มากขึ้น  แต่สำหรับคุณเคยอยู่ในช่วงที่สังคมไม่ยอมรับมาก่อน คุณมีคำแนะนำอะไรให้กับ เด็กๆ ที่เป็นแบบคุณ คุณพ่อ คุณแม่ และสังคมบ้างไหม

คือพ่อแม่ให้ชีวิตลูกก็จริง แต่พ่อแม่ไม่สามารถบังคับลูกได้ทุกเรื่อง ถ้าคุณอยากเห็นลูกของคุณมีความสุขจริงต้องปล่อยเขา จะเป็นอะไรก็ได้นะขอให้เป็นคนดี ทำตัวดีต่อสังคม ทำประโยชน์ให้กับวงการอะไรก็ตาม ที่คุณทำในสายอาชีพของคุณ ดีกว่าที่คุณเห็นลูกจะต้องปกปิด ดีกว่าเห็นลูกคุณต้องมีแต่ความทุกข์ใจ มันจะอยู่ในใจเขาไปตลอดชั่วชีวิต จนวันนึงคุณอาจจะตายจากกันไป อย่างน้อยที่สุดคุณก็จะไม่ได้เห็นลูกคุณยิ้มได้เต็มมุมปาก สำหรับเรานะก็รู้สึกว่าถ้าลูกเราจะเป็นอะไรก็ได้ เราให้กำเนิดเขาได้ แต่ไม่สามารถบังคับใจ ไม่สามารถบังคับชีวิตของเขาได้

คิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในความเป็นมาตรฐานของ “เอกกี้” ที่ยังคงอยู่ในวงการบันเทิงได้จนถึงทุกวันนี้

ง่ายๆเลยคุณภาพของงาน แล้วก็ทุกอย่างที่ทำคุณต้องตรงต่อเวลา คุณต้องซื่อสัตย์ในอาชีพของคุณ ถ้าคุณไปสายแค่งานเดียวเขาก็ไม่จ้างคุณต่อแล้ว แล้วคุณต้องสำนึกด้วยว่า ลูกค้าก็คือคนที่ให้งานคุณ เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องดูแลในสิ่งที่เขาไว้ใจและเชื่อใจคุณ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook