Journey of Discovery / สิ่งที่ค้นพบระหว่างการเดินทางของ 'ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ'

Journey of Discovery / สิ่งที่ค้นพบระหว่างการเดินทางของ 'ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ'

Journey of Discovery / สิ่งที่ค้นพบระหว่างการเดินทางของ 'ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“นี่เป็นรายการแรกที่ผมหวนคืนจอในฐานะผู้ดำเนินรายการอีกครั้ง” 

'ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ' บอกกับเราอย่างนั้น เพราะเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 7 ปี นับจากรายการจันทร์พันดาว เขาก็ไม่เคยเป็นพิธีกรรายการไหนอีกเลย กระทั่งมาเจอส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างการเป็นนักแสดงและพิธีกรที่รายการ Journey The Series มอบให้ 

การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Journey The Series Season 4 เป็นอีกหนึ่งการค้นพบของนักแสดงชายแถวหน้า เขาพบว่านี่เป็นความท้าทายให้เขาก้าวออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เพื่อจุดไฟ และพิสูจน์ประสิทธิภาพของตัวเองอีกครั้ง ทั้งการเดินทางในครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้เขาทำความรู้จักกับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองมากขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น การเดินทางเที่ยวท่องมาตลอดกว่า 4 ทศวรรษ ก็ทำให้เขาได้พบคำตอบที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต

เขาค้นพบว่า บ้าน และครอบครัว คือปลายทางที่เขาอยากไปหาเป็นที่สุด 

 

การท่องเที่ยวแบบไหน ที่สะท้อนตัวตนในแบบคุณ
ณัฐวุฒิ : ผมเป็นคนไม่ชอบช้อปปิ้ง ผมชอบท่องเที่ยวในพื้นที่ศิลปวัฒนธรรม กึ่งๆ จะสโลว์ไลฟ์ด้วยซ้ำ ถ้าไปเที่ยวจริงๆ ผมจะไม่ชอบเที่ยว 3 วัน แต่จะไปนานๆ 2 สัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็มี คือผมชอบฟีลลิ่งฝรั่งเวลาเขาไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วเขาไปอยู่นานๆ เพื่อซึมซับความเป็นอยู่หรือวัฒนธรรมแบบนั้นมา ผมชอบที่จะไปอยู่ในโลกที่ไม่ได้หวือหวานักหนา ให้ได้กลิ่นบ้านๆ อาจเพราะตัวผมเป็นคนต่างจังหวัดด้วยมั้ง เลยชอบบรรยากาศแบบนี้ 

มีการตั้งเป้าไว้ไหมว่า แต่ละปีต้องออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างน้อยสักกี่ทริป

ณัฐวุฒิ : ทริปเดียวก็พอ แค่ช่วงปีใหม่ เพราะผมเป็นคนทำงานเยอะมาก แต่ช่วงปีใหม่จะของดไว้ ไปใช้เวลาฉลองกับครอบครัว ที่เมืองนอกบ้าง เมืองไทยบ้าง อย่างปีใหม่ที่ผ่านมา ผมอยู่เชียงราย พาครอบครัวไปพักผ่อนแบบเงียบๆ สบายๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกกับเมืองไทยว่า โอ้ ! เมืองไทยสบายจัง ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง ได้กินในสิ่งที่ตัวเองอยากกินทั้งนั้นเลย

คุณได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนอังกฤษ การเดินทางไปเรียนต่อในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่ออกเดินทางไกลคนเดียวเลยหรือเปล่า แล้วมันเปิดโลกให้คุณแค่ไหน

ณัฐวุฒิ : เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตเลย ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกด้วย ต้องบอกว่าชีวิตของผมไม่ค่อยได้อยู่ใกล้พ่อใกล้แม่เท่าไหร่ พอเรียนมหาวิทยาลัยก็ย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ เราไปอยู่ในฐานะของนักเรียนไทยที่ต้องไปทำงานด้วย จึงเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะ ได้สัมผัสอีกวิถีหนึ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ต้องใช้แรงกาย แรงใจ ในการอดทนต่อสู้อย่างมาก เพื่ออยู่ในประเทศที่ไม่ใช่แผ่นดินแม่ของเรา ความเอื้ออำนวยทางด้านทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ได้มีมาก การใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น ผมต้องทำงานในระดับรากหญ้า ทั้ง ตัดหญ้า ล้างจาน ตกแต่งต้นไม้ ล้างโอ่ง ขนเตียง เก็บขี้หมา ทำมาหมดแล้ว ผมถึงมีความเข้าใจคนในทุกระดับ ซึ่งมันเป็นภูมิอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้ แต่จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบภาพที่ผมเป็นนักเรียน-นอกเท่าไหร่นะ ผมชอบภาพที่ผมเป็นคนเพชรบุรีมากกว่า ผมรู้สึกว่ามนุษย์ทุกคนมีที่มาที่ไป แล้วที่มาที่ไปของผมคือเพชรบุรี ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราจะนึกถึงแหล่งกำเนิดของเราเสมอ อังกฤษเป็นเพียงจุดแวะหนึ่งในชีวิตของผม ถามว่าประทับใจไหมก็ประทับใจ มันมีทั้งเรื่องดีที่สุด และเลวร้ายที่สุดอยู่ที่นั่น

 จำได้ไหมว่าทริปแรกในความทรงจำของชีวิต เกิดขึ้นที่ไหน

ณัฐวุฒิ : น้ำตกคลองลาน จ.กำแพงเพชร จำได้ว่าไปตอนยังเด็กๆ มีญาติพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกันไปด้วย ที่จำแม่นเพราะเราเป็นคนเดียวที่ต้องเล่นน้ำในแอ่งน้ำเล็กๆ (หัวเราะ) ในขณะที่คนอื่นกระโดดน้ำตกกันตู้ม ๆ ! ด้วยความที่แม่ห่วงเลยทำได้แค่เล่นในแอ่งน้ำ แล้วเราก็ต้องลอยคออยู่ ประทับใจมาก (ลากเสียงยาวแล้วหัวเราะ) 

 

แล้วเคยเจอประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจากการท่องเที่ยวไหม

ณัฐวุฒิ : เคยนะ ที่ญี่ปุ่น ผมเรียกมันว่า ‘ทริปฟูจิ’ ตอนนั้นจัดทริปไปกันเองกับเพื่อน ผมต้องเป็นคนวางแผนทุกอย่าง เหมือนหัวหน้าทัวร์ เพราะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษแข็งเลย แล้วทุกคนก็รีเควสท์กันมาว่าจะไปฟูจิ ถามว่าผมรู้ไหมว่าฟูจิไปยังไง (หัวเราะ) ผมก็ไม่รู้ไง คือมันมีขั้นตอนเยอะ แล้วผมต้องทำคนเดียวต้องดูแผนที่ หาที่ซื้อตั๋ว พาขึ้นรถ มีลงสถานีผิดด้วย อู้หู! เหนื่อยมากกว่าจะถึงฟูจิ พอพาไปชิมอาหารแล้วไม่อร่อย ก็บ่นเราอีก เอ้า ! เราก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ทริปนั้นโหดมาก แต่เราก็ได้ทำ
ในสิ่งที่อยากทำหมดเลยนะ แล้วมันก็เป็นทริปที่ขำและสนุกสุดๆผมเชื่อว่าการเดินทางแบบนี้มันเป็นการเดินทางที่ทำให้เรายิ้มออกเมื่อได้คิดถึงมันเสมอ 

ทริปในฝันของคุณ อยากให้เกิดขึ้นที่ไหน

ณัฐวุฒิ : ผมได้ทริปในฝันมาแล้วครับ ผมไปมัลดีฟส์มา เป็นทริปในฝันที่ผมอยากไปจริงๆ มันคือสวรรค์ชัดๆ เลย ผมเห็นทะเลในต่างประเทศมาเยอะนะ บอกเลยว่าทะเลที่สวยที่สุดคือ ทะเลเมืองไทย ที่มีต้มยำกุ้ง มีลาบส้มตำให้กินอยู่ริมชายหาด มันเอนจอยมาก เมืองนอกไม่มีอย่างนี้หรอก บางทีทรายก็เป็นเม็ดกรวดใหญ่ๆ ทรายบ้านเราละเอียดสุดแล้ว แต่พอไปมัลดีฟส์ยอมรับเลยว่า มัลดีฟส์สวยอลังการจริง ถ้ามีโอกาสจะไปอีก

คิดยังไงหากมีคนบอกว่า ก็ใช่นี่ คุณไปเที่ยวเก็บประสบการณ์ได้ เพราะเงินในบัญชีธนาคารของคุณเอื้ออำนวย

ณัฐวุฒิ : ก็ถูกของเขา เป็นเรื่องปกตินะ มันอยู่ที่ว่าเรากำลังพูดเรื่องเที่ยวหรือกำลังพูดเรื่องเงิน ผมมองว่าการไปเที่ยวคือการไปหาประสบการณ์ เวลาไปเที่ยวกลับมาถึงบ้าน มันก็จะเป็นแค่ประสบการณ์หน้าหนึ่ง แค่นั้นเอง แล้วอีกวันเราก็จะหาประสบ-
การณ์ใหม่ๆ ของเราต่อไป คนที่มีประสบการณ์เยอะๆ ก็เหมือนคนที่เปิดสมอง เปิดโลกให้กว้างขึ้น เปิดวิถี เปิดความคิด แล้วการเดินทางจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเขาเองได้เรียนรู้ว่า อยากเป็นคนยังไงเขาจะมีวิธีการมองโลกนี้ยังไง

สำหรับผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงเช่นคุณ รายการ Journey The Series ท้าทายความสามารถของคุณมากน้อยแค่ไหน

ณัฐวุฒิ : ตั้งแต่ที่ได้คุยกับโปรดิวเซอร์ ผมก็รู้สึกสนใจ อยากทำ เพราะเขาไม่ต้องการให้เรามาในมาดของผู้ดำเนินรายการ แต่อยากให้เป็นละคร มีสคริปต์ มันอาจดูง่ายสำหรับเรา เพราะเราเป็นนักแสดงอยู่แล้ว แต่มันยากตรงไหนรู้ไหมมันยากตรงที่เราต้องไปผสมกับจียอน (ซอจียอน) และติช่า (กันติมา ชุมมะ) ซึ่งจียอนมีทักษะในการอิมโพรไวซ์สูงมาก ส่วนติช่าคือความสดใหม่ เราต้องดีลกับน้องทั้ง 2 คนให้ลงตัว มันจึงไม่สามารถเป็นสคริปต์ 100% ได้ ต้องหาจุดตรงกลางให้พอดี

 

ผู้ชมจะได้อะไรจากการชม Journey The Series ซีซั่นนี้บ้าง

ณัฐวุฒิ : อย่างแรกเลยคือ ผู้ชมจะมีความสุข ดูแล้วหัวเราะ ดูแล้วยิ้ม เรามี จียอน เป็นเหมือนดาบที่ทรงพลัง และมี ติช่า ซึ่งเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น ตื่นเต้นกับทุกสิ่งอย่างมาก มันเลยเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ผมมองว่าเป้าหมายของรายการไม่ได้อยากให้คนเรียนรู้กับสถานที่ท่องเที่ยวนักหนาหรอก เขาต้องการให้คนดูมีความสุขกับที่ที่เราไปเที่ยว เพราะเราไปเที่ยวเพื่อหัวเราะ เพื่อยิ้ม เพื่อความสุข ชื่อของสถานที่ ภาพถ่าย เรื่องราวเป็นแค่ส่วนประกอบ แต่ความสุขในใจต่างหากคือเรื่องใหญ่ 

แล้วตัวคุณล่ะ ได้อะไรจากรายการนี้บ้าง

ณัฐวุฒิ : อันที่จริงผมไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวเยอะ ผมเดินทางจากการทำงานเยอะ อาชีพนักแสดงมีข้อได้เปรียบตรงนี้ เราไปเกือบทั่วประเทศ แต่เราไม่เคยได้ไปเที่ยวเลยนะ เพราะเราต้องจุ่มตัวอยู่กับงาน ดังนั้นเราถึงเห็นโอกาสที่จะได้ท่องเที่ยวจริงๆ จากรายการนี้ มันช่วยเปิดโลกอีกแบบหนึ่งได้ ซึ่งผมคิดว่าคนดูก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกับผม การมาทำรายการนี้ทำให้ผมได้ออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เราได้ออกจากพื้นที่งานแสดงของเรามาทำงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็เป็นการกระตุ้นพลังงานอย่างหนึ่ง ให้ต่อมกระตือรือร้นยังคงทำงาน

ในฐานะที่รายการ Journey The Series เป็นรายการท่องเที่ยวเมืองไทย คิดว่าการที่มีรายการท่องเที่ยวแนวนี้เกิดขึ้น จะช่วยกระตุ้นให้คนไทยหันมาหลงรักการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้มากขึ้นไหม

ณัฐวุฒิ : ผมมองว่าเรารักเมืองไทยกันอยู่แล้วนะ เราไม่พยายามหนีจากสิ่งที่เราเป็นหรอก เพียงแต่ว่าการจะพูดถึงเมืองไทยในมิติที่แตกต่างจากที่เราเคยสัมผัสมันเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งการเดินทางก็เป็นตัวสร้างประสบการณ์ให้เราเห็นว่าญี่ปุ่นมีราเมนที่ไม่ได้ต่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านเราเท่าไหร่ แต่วิธีการที่เขานำเสนอ อย่างเช่น เส้นต้องนวดมาข้ามคืน ซุปต้องเคี่ยวหลายๆ ชั่วโมง วัตถุดิบต้องมาจากที่นั่นที่นี่ ทุกอย่างมีเรื่องราวหมด ซึ่งสิ่งที่สร้างมูลค่าให้ญี่ปุ่นน่าสนใจ ก็คือเรื่องราว
และวิธีการนำเสนอ เป็นสิ่งที่คนไทยเห็นแล้วควรจะนำมาทำในทุกมิติ ให้เมืองไทยดูน่าสนใจ เราอยากเห็นการบอกเล่าถึงเมืองไทยในมิติใหม่ๆ บ้าง อย่าง Journey The Series ก็เป็นวิธีการเล่าถึงรายการท่องเที่ยวที่แตกต่างอีกรูปแบบหนึ่ง

คนไทยที่จะเป็นเจ้าบ้านที่ดีได้ ควรเป็นอย่างไร

ณัฐวุฒิ : ต้องรู้จักเมืองไทยให้มากขึ้นอีก ผมเชื่อว่าแม้แต่ตัวผมเองยังรู้จักเมืองไทยไม่ทั่วเลย ฝรั่งหรือกลุ่มนักท่องเที่ยวเขาอาจรู้จักเมืองไทยมากกว่าเราเสียอีก เพราะมันอยู่ใกล้ตัวไง อะไรที่อยู่ใกล้ตัวมากๆ เราจะมองไม่เห็นหรอก เราเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองบ้างไหมว่าจังหวัดที่เราอยู่มีอะไรบ้าง เราเคยไปยืนมองจริงๆ ไหมว่ามันมีแบบนี้ด้วย ถ้ารู้สึกว่ายังไม่รู้ ลองเริ่มจากค้นหาความเป็นตัวเองดูสิ เพราะจริงๆ แล้วเราก็ยังไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับตัวเราอีกเยอะ ณ วันหนึ่งถ้าคุณค้นหาตัวเองได้มากขึ้นแล้ว คุณก็จะสนุกกับการค้นหาสิ่งรอบตัว บ้านเกิด เพื่อน เมืองไทย ยังมีความสุขอีกเยอะแยะแค่เอื้อมเท่านั้นเอง 

สำหรับคุณแล้ว การเดินทางมีความหมายอย่างไร

ณัฐวุฒิ : ผมเคยพูดไว้ตอนผมบวชว่า การเดินทางของมนุษย์เป็นวงกลม ณ จุดเริ่มต้น คุณจะคิดว่าในหนึ่งชีวิตอยากเดินทางไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ ก็เหมือนเดินทางเป็นรูปครึ่งวงกลม ที่ไปได้กว้างไกลและสูงที่สุดในชีวิตแค่ระยะเส้นผ่านศูนย์กลาง ผมก็ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่ผมจะไปได้ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงาน หรือมุมมองการใช้ชีวิต แต่สุดท้ายแล้ววงกลมอันนี้จะทำให้เราอยากกลับมาสู่จุดเริ่มต้นเสมอ เราอยากเดินทางกลับบ้านเราอยากเดินกลับมาหาครอบครัว 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook