เปิดอกล่ำๆ 'มาริโอ้' หล่อด้วยความรับผิดชอบ

เปิดอกล่ำๆ 'มาริโอ้' หล่อด้วยความรับผิดชอบ

เปิดอกล่ำๆ 'มาริโอ้' หล่อด้วยความรับผิดชอบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มาริ​โอ้ เมา​เร่อ นักแสดงหนุ่มวัย 24 ปี แจ้งเกิดแบบเปรี้ยงปร้างจากหนังดัง รัก​แห่ง​สยาม และตลอดเวลาที่ผ่านมา มาริโอ้มีผลงานหนังอย่างต่อเนื่อง ก่อนเซ็นสัญญากับช่อง 3 มีผลงานละครเรตติ้งดีอีกหลายเรื่อง in รวบบทสัมภาษณ์หนุ่มหล่อคนนี้มาให้อ่านกัน


งานละคร​กับหนัง ​​แตก​ต่าง​กันอย่างไร

ผมว่าเป็นการแสดงเหมือนกันเพียงแต่ละครยาวกว่าบทหนังส่วนใหญ่จะหนาสัก 2 นิ้ว เต็มที่เลยนะครับ แต่บทละครมาเป็นตั้งเลยมันสนุกคนละแบบ อันนี้หม่อมสอนผมเมื่อก่อนคนบอกว่าละครต้องเล่นใหญ่ใส่อารมณ์เยอะจนดูเฟก แต่นักแสดงฝีมือดีๆ ไม่ได้เล่นใหญ่ จะเล่นใหญ่ก็ต่อเมื่อต้องใหญ่

อีกอย่างบางคนบอกว่าที่ต้องเล่นใหญ่เพราะทีวีจอเล็ก ต้องเล่นให้คนดูได้เห็นได้ยินแต่อาจารย์ที่สอนการแสดงบอกว่าไม่จำเป็นต้องโฟกัสว่าต้องเล่นใหญ่ให้คนดูรู้ว่าเราทำอะไร คิดอะไร เพราะคนจริงๆ ไม่ได้คิดออกมาเสียงดัง หรือไม่ได้ทำท่ากินน้ำเพื่อให้คนเห็นว่ามันอร่อย คนจริงๆ ไม่ทำแบบนั้น

งานไหนสนุกกว่ากัน

ละครสนุกตรงที่ผมได้อยู่กับทีมงาน เพื่อนๆ นักแสดงนานครับ วันไหนไปกองละครเลยสนุกมาก

ก่อนเข้าวงการมองอาชีพนักแสดงอย่างไร

ผมเริ่มทำงานโฆษณาตั้งแต่อายุย่าง 16 ตอนนี้ผมย่าง 24 ผมเล่นหนังครั้งแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งไม่เคยว่าตัวเองจะเป็นนักแสดงเลยไม่ได้มองคนอาชีพนี้ว่าเป็นยังไง ผมรู้สึกแค่ว่าเจอตัวดารายากจัง ไม่ได้เจอดาราสักคน ถ้าเจอไอดอล เช่น ลุงโน้ต เชิญยิ้ม ผมคงขอถ่ายรูป ชอบเขามาก

แล้ววันนี้รู้สึกอย่างไร

ผมเริ่มทำงานนี้เพราะอยากได้เงิน โดยที่เอาตัวเรานี่แหละลงทุน แล้ววันหนึ่งก็ได้ทำงานโฆษณา ได้เล่นหนัง แรกๆ ผมยังไม่รู้เรื่องการแสดงเลยจนได้เจอหม่อม ทำให้รู้ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เป็นอาชีพที่พิเศษ หม่อมอธิบายว่าลองคิดดูสิ มันเท่ตั้งแต่เราไปทำงานแล้ว คือคนทำงานออฟฟิศต้องมีวันที่ทำงานซ้ำๆ แต่คนทำงานในวงการไม่มีวันไหนที่ทำงานซ้ำกัน เพราะได้เปลี่ยนบทไปเรื่อยๆ

สิ่งที่พิเศษในอาชีพนี้ คือบางคนชีวิตเครียดมาก พอกลับมาบ้านเปิดดูละครแล้วตลก นั่นคือราทำให้เขาได้หัวเราะ มีความสุข ถือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพแล้ว บางคนหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ก็ได้ข้อคิดจากละครหรือหนังที่เราเล่น ผมรู้สึกดีว่างานเรามีคุณค่า มีเกียรติจริงๆ ฉะนั้นนี่จึงเป้นสิ่งที่ผมยึดถือมาตลอด นอกจากเราจะได้สตางค์แล้ว ยังได้ช่วยคนด้วย ยิ่งพอเรามีชื่อเสียงก็สามารถทำอะไรได้มากขึ้น เช่น เราเชิญชวนให้คนทำอะไรดีๆ คนก็อยากช่วย มันพิเศษจริงๆ ครับ

ความคิดเปลี่ยนการใช้ชีวิตเปลี่ยนไหม

เปลี่ยนครับ คือมองอีกด้านหนึ่ง บางทีรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากไปทำงาน อยากนอนสบายๆ แต่พอเรารู้ว่าสิ่งที่ได้รับมอบหมายมันยิ่งใหญ่ประกอบกับเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดว่าถ้าวันไหนตื่นมาแล้วรู้สึกไม่อยากไปกองถ่าย เราจบแล้ว เพราะนักแสดงถ้าไม่มีพลังตั้งแต่ตื่นหกโมงเช้าอาจจะเมาขี้ตาแป๊บนึง ก็เชียร์อัพตัวเองว่า เอ้า วันนี้สนุกอีกแล้ว ไป ไปทำงาน

ผมจะอ่านบทตั้งแต่ตอนกลางคืนเพื่อบิวด์ตัวเองว่า พรุ่งนี้มีอะไรน่าเล่นเยอะเลย อยากไปเล่นให้เขาดู พอตื่นเช้าก็ดันตัวเองให้ไปจะเหนื่อยแค่ไหน เรามองในมุมมองที่หม่อมสอน มันดี มันช่วยคนได้ ผมเล่นทวิตเตอร์กับคนจีน เขาดู ‘สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก’ ดูไป 30 รอบ บอกว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เขา ผมรู้สึกได้ว่ามันมีคุณค่าเหมือนที่หม่อมท่านพูดจริงๆ

วิธีคิดเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน

ถ้าในด้านอาชีพการงาน ผมไม่ได้มองว่าเราต้องไปถึงจุดไหนถึงจะมีความสุข ผมว่าเราต้องทำทุกวันให้มีความสุข เคยได้ยินบางคนบอกว่าต้องทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิตไม่งั้นเดี๋ยวเสียดาย มุมหนึ่งผมว่าก็ถูก แต่บางอย่างเราไม่ต้องสุดโต่งกับชีวิตขนาดนั้น แค่ทำอะไรที่มีความสุขจริงๆ แล้วก็มีสุขภาพที่ดี เพราะต่อให้มีเงินทอง แต่ถ้าสุขภาพแย่ชีวิตก็ไม่เวิร์ก อีกอย่าง อย่าเอาความสุขไปเปรียบเทียบกับเงิน มันไม่ใช่ว่ามีเงินเยอะแล้วจะมีความสุข ถ้าวันหนึ่งเงินที่มีหายไปหมดเราก็ต้องมีความสุขให้ได้

ดังนั้นผมจึงทำทุกวันนี้ให้มีความสุข ถึงแม้ว่าแต่ละวันจะต้องทำงานหนัก แต่ผมก็ทำอย่างมีความสุข เพราะเราได้ทำงานที่ดีต่อคนอื่น และเราก็มีความสุขในสิ่งที่เราทำ นี่คือวิธีคิดของผมครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook