เพราะหัวใจแกร่ง! กฤต วงศาโรจน์ จากอัมพาตครึ่งตัว ก้าวสู่ฟิตเนสไอดอล

เพราะหัวใจแกร่ง! กฤต วงศาโรจน์ จากอัมพาตครึ่งตัว ก้าวสู่ฟิตเนสไอดอล

เพราะหัวใจแกร่ง! กฤต วงศาโรจน์ จากอัมพาตครึ่งตัว ก้าวสู่ฟิตเนสไอดอล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“พรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อนกัน” ประโยคนี้ใช้ดีกับ กฤต วงศาโรจน์ เพราะจากเหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ด้วยวัยเพียง 22 ปี เขาก็เป็นเหมือนวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างดี แต่แล้วจู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จากการประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง หมอปฎิเสธการรักษาเพราะเห็นว่าเขาคงไม่รอด เปลี่ยนโรงพยาบาลมาแล้ว 2 ครั้ง นอนสลบไป 4 เดือน ตื่นมาพร้อมกับรู้ว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งตัว และที่แย่ไปกว่านั้นคือความจำเสื่อม  

เมื่อความทรงจำหายไปประกอบกับร่างกายที่ไม่สมประกอบ แน่นอนว่าชีวิตแต่ละวันผ่านไปไม่ง่ายเลย แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเขาเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พลังของความเชื่อนี่เองที่ทำให้เค้ากลับมาเหมือนเดิมแม้จะไม่ 100% กฤตในวันนี้พกพาความแข็งแกร่ง ฝึกฝนจนได้เข้าไปติด 1 ใน10 จากการแข่งขัน R U Tough Enough? โครงการเฟ้นหาคนแกร่งพันธุ์อึด จัดโดยช่อง KIX นอกจากความแกร่งภายนอกแล้ว เรายังมองเห็นไปถึงความแกร่งในหัวใจของเค้าด้วยเช่นกัน

Q: อยากให้เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้นหน่อยครับ?

A: เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนอยู่ Stamford International University หัวหิน วันนั้นกำลังจะขับรถกลับบ้านที่ราชบุรี มันเป็นช่วงกลางดึกทางก็มืดๆ ประมาณตี 2 ครับ จริงๆ แล้วไม่อยากขับออกมาเลย

Q : แล้วทำไมถึงตัดสินใจขับออกมากลางดึกแบบนั้น?

A: คือตอนนั้นเครียดเรื่องแฟนอ่ะครับ เค้าบอกเลิกผมเลยทำใจไม่ได้

ทำให้เราเฮิร์ตมากๆ เพราะเป็นแฟนคนแรกด้วย รับไม่ได้เลยตอนนั้นมันเหมือนอารมณ์ชั่ววูบก็ขับออกมาเลยประกอบกับช่วงนั้นอดนอนมาหลายวันเลย แล้วจู่ๆ เหมือนวูบไม่รู้ตัวอีกเลยเรียกว่าหลับในเป็นแบบนี้นี่เอง อีกอย่างทางขับจากหัวหินไปราชบุรีมันจะมีต้นไม้เยอะเลยมองไม่ค่อยเห็นทาง ผมคงไปชนต้นใดสักต้นนึงเข้าอย่างจัง

Q: นาทีที่ชนยังรู้สึกตัวมั้ย?

A: ไม่รู้สึกตัวแล้วครับ แม่เล่าว่าผมกระเด็นออกมานอกตัวรถ โดนกระจกบาดที่ตัว รถพังทั้งคัน แล้วมีแต่คนมาถ่ายรูป กว่าจะมีกู้ภัยมาช่วย ผมไปฟื้นที่โรงพยาบาลเลยครับ ตอนที่นอนก็ไม่รู้เรื่องตาลอย แม่บอกว่าเหมือนปลาทูถูกตีหัว แบบชักดิ้นชักงออยู่อย่างนั้น ผมอยู่ห้องไอซียูนานมาก เพราะเลือดคลั่งในสมอง ย้ายโรงพยาบาลไป 4 ครั้ง โรงพยาบาลที่แรกดูแลไม่ค่อยโอเค เหมือนให้เรานอนเป็นผักอยู่อย่างนั้นเห็นคนข้างๆ ตายทีละคนๆ หมอมาบอกเหมือนกันว่าไม่น่ารอด เคสแบบผมไม่มีใครกล้ารักษาเลย หรือถ้ารอดก็ต้องนอนเป็นผัก ขยับตัวไม่ได้ต้องให้อาหารทางสายยาง แต่ทุกคนที่บ้านก็ยังหวังปาฎิหารย์

 Q : หลังจากฟื้นขึ้นมาได้ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง?

A : ตอนที่ฟื้นขึ้นมา อย่างแรกเลยคือขาไม่มีความรู้สึก ขยับตัวไม่ได้ เพราะขาดออกซิเจนไป3 นาที สมองเลยไม่สั่งการและเป็นอัมพาต สมองส่วนที่กระทบแรงสุดคือโซนเกี่ยวกับความทรงจำ ผมจำใครไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เรียกชื่อ สิ่งของก็ผิดหมด อย่างน้ำผมจะเรียกว่าทีวี ตู้เย็น อย่างเสื้อสีอะไร สีดำสีขาวคือผมไม่รู้ว่ามันคือสีอะไร เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง สมองต้องสร้างการเรียนรู้ขึ้นมาใหม่ แม่ก็เสียใจมากนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาบอกผมเหมือนผีเข้าพูดไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่เสียงผม แล้วตรงที่ผมชน มีคนชนกันบ่อยมาก เหมือนแบบจะเอาไปแทนที่หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แม่ไปไหว้เจ้าที่แถวนั้นด้วย ตอนนั้นรักษาแบบไหนก็เอาหมดครับโรงพยาบาลก็ไม่อยู่ก็หันหน้าเข้าวัดอย่างเดียว สมองอีกส่วนที่เสียไปคือโซนความอิ่ม ความหิวก็สั่งการไม่ได้ คือผมจะหิวทั้งวัน กินทั้งวัน กินทุกชั่วโมง กินอิ่มได้ไม่นานก็บอกยังไม่ได้กินข้าวเลย ต้องเดินไปซื้อมาอีก เหมือนคนอัลไซเมอร์ จนแม่ต้องบอกร้านข้าวว่าไม่ต้องขายแล้วนะ คือผมเดินมาซื้อกินทุกสิบนาที

Q: อาการหนักขนาดนี้ ใช้วิธีการรักษายังไงบ้างและใช้เวลาฟื้นตัวนานแค่ไหน?

A: ผมรักษาที่โรงพยาบาลเปาโลเป็นที่สุดท้ายที่คุณหมอเก่งมาก ผ่าตัดสมองดูดเลือดคลั่งในสมองไป 70 เปอร์เซ็นต์หลังจากนั้นก็ใช้หลายวิธีครับ หลักๆหลังจากเริ่มแข็งแรงดีแล้ว คือการกายภาพบำบัดครับ ต้องฝึกเดินหนักกว่าคนอื่นด้วย เพราะผมอยากกลับมาเดินได้เร็วๆ ตอนที่ผมเริ่มขยับตัวได้ก็ปีนออกมาจนร่วงตกพื้นไปหลายครั้ง แม่ก็ต้องหารั้วมากั้น ช่วงนั้นขาขยับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ผมพยายามจะขยับตัวแต่พอไม่ได้ก็หงุดหงิดมากๆ ใช้เวลาทำกายภาพบำบัดประมาณ 1 ปีกว่า ตอนแรกมือผมขยับไม่ได้ก็พยายามกำและแบมือบ่อยๆ ส่วนช่วงขาฝึกตีขาด้วยท่าว่ายน้ำ และเดินบนลู่วิ่งตอนแรกก็เดินเป๋ไปคนละทิศคนละทาง ทุกวันนี้ยังเดินไม่ค่อยตรงจะเดินปัดๆ นิดนึงเป็นผลกระทบมาจากสมอง คนถามว่าเป็นเกย์หรือเปล่าทำไมเดินบิดก้น คือมันไม่ใช่อ่ะครับ อีกอย่างคือผมกินยารักษาต่อเนื่องมา 5 ปี ห้ามขาด เหลืออีก 1 ปีก็จบคอร์สและกินน้ำมันตับปลา 3,000 มิลลิกรัม ช่วยให้สมองกลับมาไวด้วย

Q: จากคนที่เป็นอัมพาตก้าวแรกของการฝึกเดินยากแค่ไหน?

A : พอเริ่มก้าวขาได้ ดีใจมากครับ รู้สึกเหมือนมีความหวังขึ้นมา กว่าที่ผมจะเดินได้มันทรมานสุดๆ ช่วงแรกที่เดินบอกเลยว่าเจ็บมากแต่ละก้าวมันเหมือนมีเข็มมาแทงๆ ตลอดเวลา คำว่าเจ็บร้าวกระดูกมันเป็นแบบนี้เอง ผมยังงงตัวเองว่าทนได้ไง แต่ผมเป็นคนไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ถ้าผมเดินไม่ได้ต่อไปผมจะทำงานอะไรได้ ผมไม่อยากให้พ่อแม่มาเข็นผมไปไหนต่อไหนโดยที่ผมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย

Q : เรียนรู้อะไรบ้างหลังจากจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คิดว่าอะไรทำให้เราผ่านจุดตรงนั้นมาได้?

A : ความเชื่อที่ว่าเราจะไม่ยอมแพ้ครับ ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ตอนวัยรุ่นเราใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง เที่ยวเล่นไปวันๆ อยู่กับเพื่อน ไม่ค่อยสนใจครอบครัว หลังจากเราสูญเสียอิสระภาพไป วันที่เราอยู่คนเดียว รู้เลยว่าใครรักเราบ้าง พ่อแม่ญาติพี่น้องช่วยเหลือเต็มที่ ค่าผ่าตัด ค่ารักษา หมดเป็นล้านๆ ก็ยอม ผมดีใจมากที่มีครอบครัวที่รักเราขนาดนี้ ตอนนี้ผมใช้ชีวิตระวังมากขึ้น ทำอะไรก็ต้องระวังมากขึ้น อยากทำงานเก็บเงินเพื่อดูแลพ่อแม่ ถ้าเป็นสมัยก่อนผมได้หนึ่งแสนบาทคงเอาไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ตอนนี้จะแบ่งให้แม่ครึ่งหนึ่งและเรียนต่อปริญญาโท ผมอยากเป็นตัวแทนบอกผ่านไปถึงคนที่กำลังท้อแท้ว่าอย่าสิ้นหวัง เราเกือบจะลาโลกไปแล้วยังกลับมาได้เลย

Q: อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต จากการที่เราได้ผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตมา

A: ฝากถึงคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิตนะครับ ว่าอย่าไปท้อแท้ เพราะว่าผมเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ผมเคยเดินไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ เคยอัมพาตครึ่งตัว แต่ผมก็ไม่ท้อ จนตัวเองกลับมาได้แต่แค่ไม่  100% เปอร์เซ็นต์  แล้วพวกคุณจะรอให้พ่อแม่มาเข็นรถให้ มาป้อนข้าวป้อนน้ำให้หรอ ผมว่าคุณต้องปรับตัว  ต้องสู้กับชีวิต ใครจะมาดูถูกเราก็ไม่ต้องสนใจ แต่คุณห้ามคิดที่จะดูถูกตัวเอง คนที่ดูถูกตัวเองคือคนแพ้

Q : มาพูดถึงความแกร่งของตัวเองในการเข้าประกวดโครงการ R U Tough Enough หน่อยครับ

A : ผมเล่นฟิตเนสมา 9 ปี แล้วครับ เพราะเป็นนักวิ่ง นักว่ายน้ำมาก่อน บังเอิญไปเห็นโปสเตอร์รับสมัครก็เลยลองเข้ามาดู นี่เป็นการประกวดครั้งแรกในชีวิต และที่ลงสมัครเพราะอยากจะพิสูจน์ว่าคนที่เคยประสบอุบัติเหตุแบบผมก็ยังสามารถกลับมาได้เหมือนเดิม แถมยังแข็งแรงกว่าเดิมด้วย

Q : ทราบมาว่าเคยอ้วนมาก่อน มีวิธีลดน้ำหนักยังไงบ้าง

A : ผมเคยอ้วนสุด น้ำหนัก95 กก. ลดเหลือ 60กก. ภายใน 2 เดือน สืบเนื่องมาจากตอนที่ป่วยกินเยอะมากๆ น้ำหนักเลยพุ่งกระฉูด วิธีลดความอ้วนคือการออกกำลังกายและคุมอาหาร ผมตื่นตอนตี 5 มาวิ่ง 2 ชั่วโมงครับ ตอนเย็นไปว่ายน้ำอีก 2 ชั่วโมง วันไหนเข้าฟิตเนสก็เล่นวันละ 4 ชม. ช่วงนั้นกินแต่ผักกับกล้วยทุกวันเลย มันก็ลดลงเร็วมาก

Q: เตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับรอบ 10 คนสุดท้ายที่กำลังจะประกาศผลผู้ชนะเลิศเร็วๆ นี้แล้ว

A: จัดตารางการฝึกแบบเข้มข้นขึ้นครับ ผมจะเปลี่ยนการคาร์ดิโอสลับกัน คาร์ดิโอมี 2 แบบคือ เดินปรับชัน แล้วก็วิ่งสปีดขึ้นภูเขา ผมจะวิ่งสปีดขึ้นภูเขา 2 นาทีแล้วเดินสลับ 5 รอบ คือรอบนึงประมาณ 2 นาที เทคนิคสำหรับอาหารก่อนเล่นจะจิบน้ำหวานให้เข้าเส้นเลือด กินขนมปังโฮลวีต หลังเล่นถ้าอารมณ์ดีก็จะกินไก่ปั่น เพราะรสชาติมันไม่ค่อยอร่อย ต้องฝีนนิดหนึ่งครับ

Q : ใครคือ Idol ของคุณ?

A : ไอดอลของผม ถ้าเอาด้านความเท่ผมชอบ The Rock ในกลุ่มนักมวยปล้ำเค้ามีกล้ามที่สวยมาก อีกอย่างผมชอบรอยสัก คนมีรอยสักที่กล้ามจะดูมีเสน่ห์มาก ผมเห็นแล้วเลยไปสักบ้างเป็นรูปเสือตรงหัวใจ  ส่วนคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาเล่นกล้ามคือรุ่นพี่ผมเอง เป็นนักเพาะกายทีมชาติ เราอยากตัวใหญ่มีกล้ามแบบนั้นบ้างก็เลยไปเล่นดู การเล่นเป็นคู่มันช่วยกระตุ้นให้เราอยากเอาชนะด้วย ผมเล่นคู่กับเขามา 8 ปี

Q: ความแกร่งในแบบฉบับของคุณเป็นอย่างไร?

A : คิดว่าต้องมีใจที่แข็งแรงก่อน ถึงจะมีร่างกายที่แข็งแรงตามมา เพราะฉะนั้นความแกร่งขึ้นอยู่กับใจก่อนเลยทุกอย่าง ถ้าเรามีใจที่มุ่งมั่นเหมือนกับมีวินัย คือต้องมุ่งไปสู่เป้าหมายของตัวเอง และเราต้องไปถึงจุดนั้นโดยที่ไม่วอกแวกครับ  

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook