“อ้น – สราวุธ” การเดินทางที่เป็นสุข…ด้วยการใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา!

“อ้น – สราวุธ” การเดินทางที่เป็นสุข…ด้วยการใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา!

“อ้น – สราวุธ”  การเดินทางที่เป็นสุข…ด้วยการใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากเด็กลูกครึ่งที่เติบโตมาในฐานะที่ไม่สู้ดีนัก มีชีวิตในวัยเด็กที่ไม่สวยหรู ไม่เคยแม้แต่มีโอกาสไปเดินสยามเหมือนอย่างเด็กทั่วๆไป เพราะไม่มีเสื้อผ้าสวยๆจะใส่   “อ้น”  เริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยอายุ 20 ปี  จากการรับบทตัวประกอบและพัฒนาฝีมือจนเป็นที่ยอมรับ จนขึ้นชั้นถึงขั้นระดับพระเอก และเป็นที่รู้จักโด่งดังในละครเรื่อง “ฉลุย”

นับแต่นั้นมาชีวิตของเขาโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาแล้วถึง 20 ปี งานในวงการบันเทิงล้วนแล้วแต่ผ่านมือเขามาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น  พิธีกร  นักแสดง  ดีเจ  นักร้อง  นับว่าเป็นคนบันเทิงที่มีฝีมือเก่งรอบด้าน แต่ด้วยบุคลิกและนิสัยส่วนตัวแล้วทำให้หลายๆคนมองว่าเขาเป็นหนุ่มติสท์  มักจะทำอะไรไม่เหมือนใคร จึงไม่ค่อยเห็นเขาออกงานหรือเป็นทำตัวให้เป็นกระแสข่าวเท่าไหร่นัก

ด้วยเรื่องโลกส่วนตัวของ อ้น เองที่รักธรรมชาติ เข้าถึงแก่นของธรรมะ ที่ทำให้เขาได้เจอทางออกที่สงบ และเป็นที่พึ่งในยามท้อแท้ ซึ่งเขาได้บอกกับเราว่าชีวิตในวงการบันเทิงนี้เปรียบตัวเองเป็นดั่งนักเดินทาง ที่เดินทางมาไกลมากจากวันที่ไม่มีอะไรเลย.….ซึ่งในวันนี้เราจะเดินทางไปรู้จักตัวตนและโลกของ “สราวุธ พุทธาร มาตรทอง”

คุณมีวิธีการอย่างไร ให้เข้าถึงบทบาทในการแสดง

เวลาที่เรารับโจทย์ให้แสดงว่าเราต้องเล่นเป็นอะไรก็ลองดูว่าตัวละครของเรา มันห่างจากตัวเราในเรื่องไหนๆบ้างและมีส่วนไหนบ้างที่เราต้องเติม อย่างล่าสุดพูดถึง “ละครเรื่องเงาเสน่หา” การทำงานการรับผิดชอบพวกนี้เราเข้าใจ  แต่ว่าการทำงานสายการบินเราไม่เคย   เพราะนั้นมันจะมีเรื่องราวคำพูดเกี่ยวกับระบบธุรกิจสายการบินต่างๆโน้นนี่นั่น  พวกนี้ต้องท่อง เพราะตัวละครตัวนี้มีความมั่นใจสูง  เพราะฉะนั้นการพรีเซ้น หรือการพูดจาในฉากมันต้องสบายและก็คล่องเหมือนรู้จริง

เมื่อเราเข้าใจข้างในหัวใจเขาแล้ว  เราจะรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องดีล กับสถานการณ์หรือฉากต่างๆ ทำเพื่ออะไร มันจึงทำให้แต่ละฉากมันเกิดขึ้นในซีน  เมื่อเราหาความหมายหัวใจของแก่นเขาเจอแล้ว มันจะพาให้เราไปอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆมีความแตกต่างกัน โดยที่มีแก่นเดียวกัน   

ในเรื่องนี้มันจะมีเรื่องของสภาวะทางจิตด้วยก็ต้องศึกษาโดยการดูงานต่างประเทศดูวิธีการแสดงด้วย และหาวิธีการที่จะปล่อยมันออกไป  แต่สุดท้ายแล้วการมีผู้กำกับที่ชัดเจน และผู้กำกับเรื่องนี้คือ พี่โด่ง (องอาจ สิงห์ลำพอง) เขียนบทเอง เขาก็จะรู้ว่าต้องการอะไร  มันทำให้เราง่ายที่จะแสดงมากขึ้น  การทำงานแสดงหรืองานละครจะเสียเวลาไม่ได้จะต้องเข้าถึงบทบาทให้เร็วที่สุด และดีที่สุดในเวลาจำกัด

“ละครเรื่องเงาเสน่หา” เครียดมากจนคุณต้องกินยากล่อมประสาท เป็นเพราะสาเหตุอะไร

ใช่ๆ คือ ตัวละครเรื่องนี้ไม่ได้เป็นพระเอก แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เล่นเป็นตัวร้าย ตัวละครตัวนี้ไม่ค่อยมีให้เราเห็นในวงการบันเทิงครับ  ในบ้านเราไม่ค่อยมี คือส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เป็นพระเอกก็เป็นตัวร้ายไปเลย  แต่ตัวละครตัวนี้เขามีความต้องการของเขา แต่ระหว่างทางเขาต้องเลือก ซึ่งแรงกดดันที่มาเกิดขึ้นระหว่างทางมันทำให้เขาเลือกถูกบ้าง  ผิดบ้าง  

ทีนี้พอมันมีเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์   เกี่ยวกับการดีลในสถานการณ์พื้นเพตัวละครก็เหมือนกับแตกๆหักๆมากเลย มันก็เลยเป็นเรื่องของความกดดันของที่ตัวละครต้องได้รับ ซึ่งมันก็ยากมาก มีทั้ง Thriller และมีทั้ง Drama มีฆาตกรรมเกิดขึ้น หลากหลายอย่างแล้วเวลาถ่าย เราไม่ได้ถ่ายตัวแต่ต้นจนจบไป บางทีมีกระโดดสลับไปมา มันเป็นเรื่องไม่ไกล แต่ว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจเรื่องของชีวิต เรื่องของความถูกผิด เรื่องของการแก้แค้นเอาคืน คำมั่นสัญญาอะไรสักอย่าง

เพราะฉะนั้นพอเราใช้สมาธิกับฉากต่างๆ พอเลิกกอง ผมก็อยากเลิกนะแต่พอกลับถึงบ้าน กลับไปแล้วอารมณ์ที่มันถูกใช้ มันเหมือนเครื่องจักรที่มันหมุนอยู่ บางทีมันไม่ได้หยุดกึกแล้วเลิก บางทีมันมีอารมณ์ค้างไป มันทำให้เรานอนไม่หลับครับ แล้วพอนอนไม่หลับวันรุ่งขึ้นต้องถ่ายอีกแต่เช้า มันก็ต้องพึ่งต้องช่วย พึ่งยากล่อมประสาทอะไรพวกนี้ เพื่อช่วยให้เราคลายลงมาหลับง่ายขึ้นแล้วก็วันรุ่งขึ้นก็ทำงานต่อเราก็จะผ่านไป เพราะฉะนั้นผมเลยต้องอยู่กับยากล่อมประสาทสักพักใหญ่ๆ

แสดงว่าละครก็มีผลต่อสภาพจิตใจเหมือนกัน

มีครับ มันเหมือนปฏิเสธไม่ได้ว่าการเป็นนักแสดงบทบาทที่เราได้รับ จะมีผลต่อสภาพจิตใจเรา ถ้าเกิดว่าเราได้รับบทที่มันสนุกสนานร่าเริงก็จะแฮปปี้เราก็จะสดชื่นหน่อยในช่วงนั้น  แต่ถ้าช่วงไหนบทบาทมันเข้มมันลึกลับซับซ้อนมันก็จะมีผลต่อสภาวะทางจิตใจเราไปด้วยเหมือนกันนิดนึง ซึ่งมันเลยเป็นเหตุผลให้ผมต้องใช้วิธีการเปลี่ยนจากการใช้ยากล่อมประสาทเป็นการกินเสาวรสก่อนนอน 5 ลูก และก็ใส่หูฟังเปิดธรรมะฟังจนหลับไปใช้วิธีนี้ เพราะว่าไม่อยากกินยาที่บ้านก็เป็นห่วง ถึงแม้เราจะเลือกยาที่ดีแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีสารตกค้างหรือเปล่า ก็ห่วงตัวเองนะแต่ว่าเราต้องทำงาน

ในเรื่องต้องมีเลิฟซีนกับสาวๆ ด้วยรู้สึกอย่างไรบ้าง  

เลิฟซีนเรื่องนี้ไม่เยอะ ก็มีนะครับแต่ไม่ได้เยอะมากเรื่องตัวแก่นของเรื่องแล้ว เรื่องนี้จะไม่เหมือนกับเรื่องที่ผ่านๆมา เพราะว่าเลิฟซีนต้องมีบ้างเพราะเป็นเรื่องราวของคนที่โตแล้วมีความรัก  แต่เลิฟซีนของเรื่องนี้เป็นอะไรที่  ผมรู้สึกสบายใจมากเพราะผู้กำกับต้องการช็อตแค่นี้  เราเล่นเป็นช็อตๆ เช่นก้มลงหากันแล้วเข้าข้างๆหู คัด!  แล้วก็เอามือลูบที่ต้นขา คัด! หรือว่าต้องการแค่นี้มูฟมาแล้ว คัด! เพื่อช่วยนางเอก ช่วยผู้หญิงเค้า ผมก็ไม่อยากเล่นเลิฟซีนเยอะหรอกครับ

จริงๆแล้วเราสามารถให้คนดูรู้สึกถึงมันได้โดยที่เราไม่ต้องทำมากมาย  ถ้าเกิดว่าการแสดงนั้นนำเสนอได้อย่างดีถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องเล่นเยอะหรอกมันเปลืองตัว   เพราะฉะนั้นผู้กำกับหรือว่าทีมงานเองพี่โด่ง  พี่เบิร์ด ก็ต้องการจะเซฟน้องๆ ก่อนที่เราจะเล่นก็จะคุยกันเอาช็อตเท่าที่เราต้องการจริงๆเท่านั้น ผู้หญิงก็สบายใจ เพราะการเล่นฉากเลิฟซีนผมไม่ได้แฮปปี้นักหรอกนะ 

ฉากเลิฟซีนจริงๆไม่ต่างจากฉากแอ็คชั่น ฉากบู๊นะ เพราะมันก็ต้องมันกังวลเรื่องคิวว่าเราจะต่อยกันพลาด  ฉากเลิฟซีนก็เหมือนกัน ควรจะเข้าใจกันให้ตรงที่สุดแล้วภาพต้องการแค่ไหนถึงจะโอเค  พอเราเข้าใจกัน เราก็เล่นเทคเดียวผ่านไม่มีใครต้องเปลืองตัว งานก็ออกมาดี

ที่ผ่านมาคุณรับละครไม่บ่อยมากนัก  อะไรคือมาตรฐานในการเลือกรับงานแสดงแต่ละครั้ง

ด้วยความที่ พอเราโตขึ้นบทก็จะยากขึ้นๆ  พอบทยากขึ้นเราก็ต้องใช้สมาธิกับมันมากแล้วก็ต้องให้เวลากับการแสดง คิวมันก็จะเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดบทมันยากดูเยอะ เราจะรับหลายเรื่องในเวลาเดียวกันเราจะพังครับ  นั่นเป็นหัวใจที่หนึ่งที่ว่าเรารับมากไม่ได้   และที่สองคือ งานเราอยากทำอยู่แล้วการมีงานก็เป็นการมีเงิน แต่ถ้าเกิดเสนอบทมาแล้วเราไม่รู้สึกอะไรกับตัวละครเลย ไม่ได้รู้สึกแบบอ่านแล้วก็ อืม! ไม่เป็นไร เราก็รู้สึกว่าเราเอาเวลากับพลังที่เราจะใช้ไปเล่นบทที่เรารู้สึกว่าอันนี้อยากนำเสนอ   และเราก็เล่นมาหลายบทแล้วอยากนำเสนออะไรที่มันใหม่ๆหรือว่าเรื่องใหม่ๆคาแรคเตอร์ใหม่ๆที่เราไม่เคยเล่น เราก็จะมองหาแนวนั้น

เราก็โตในระดับหนึ่ง เราก็ต้องมองหาอะไรที่มันท้าทายที่มันทำให้เราต้องฝึกฝนตัวเอง ต้องทุ่มเท เราชอบงานยากมั้งครับ ก็เลยรู้สึกว่าพองานยากมันมาถึงเรา อยากเล่นจังเลย  อะไรที่ได้รับการเสนอให้ได้รับบทดีๆและเป็นบทยาก ถ้าจะปล่อยบทนี้ไปก็ต้องเสียดายแน่ๆเลย บทก็เลยเป็นบทที่ยากๆๆขึ้นก็สนุกดี

เวลาที่คุณอยู่หน้าจอเรามักจะสัมผัสได้ถึงการทำงานที่ใช้อารมณ์เป็นส่วนผสมหลัก แล้วชีวิตคุณละดำเนินแบบใช้อารมณ์หรือเหตุผลเป็นหลัก

ชีวิตจริงแล้วผมแล้วคนเฉยๆ คืองานผมจะมองเห็นได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างเข้มข้น ที่ใช้อารมณ์เยอะคนดูก็จะเข้าใจว่าใช้อารมณ์เยอะ  มีทั้งแอ็คชั่น มีทั้งดราม่า มีทุกอย่างเป็นงานแนวๆนั้น แต่ตัวจริงของอ้น แฟนๆที่ติดตามใน IG จะเข้าใจ เพราะอ้นไม่ได้เล่น Facebook  มีแค่  IG  อย่างเดียว เพราะฉะนั้นแฟนๆจะรู้จักอ้นจริงๆว่าอ้นเป็นยังไง

อยู่บ้านอ้นเป็นคนที่ชิวมากครับแล้วก็รีแล็กซ์ สโลว์มาก อยู่บ้านก็จะเป็นแบบปลุกต้นไม้ ทำสวน อยู่กับสัตว์ อยู่กับหมา อยู่กับแมว อยู่กับนก ไปเที่ยวพักผ่อนทะเลชิวๆ อ้นจะเป็นคนแนวนั้น แนวเฉยๆ ยิ้มๆสบายๆ พอถึงเวลาทำงานเราก็ชอบทำงานที่มันยาก เพราะเรารู้สึกว่างานยากมันทำให้เราเก่งขึ้น เราก็อยากเก่ง เราก็อยากฝึกฝนตัวเองไป สำหรับที่นึกไม่ออกก็ไปตามผมได้ใน IG : aonsarawut_sky  ครับ

ถ้าจุดสูงสุดของชีวิตดารานักแสดงคือ ดวงดาวบนท้องฟ้า  สำหรับคุณคิดว่าตอนนี้ชีวิตตัวเองอยู่ตรงจุดไหน

ไม่รู้ เพราะว่าวิธีการเข้ามาในวงการของอ้น ไม่ได้เข้ามาแบบเป็นศิลปินแล้วดังเปรี้ยงออกอัลบั้มอย่างนั้น  อ้นมาแบบเป็นตัวประกอบ เริ่มจากการเป็นตัวประกอบได้เงินวันละ 250 บาท  แล้วอ้นก็ค่อยๆกระเถิบบทขึ้นมาเป็นในกลุ่มเพื่อนๆนักเรียน แล้วค่อยๆมาเป็นบทพระเอก   แต่พอเริ่มเป็นบทพระเอกปุ๊บเราก็รักษามาตรฐานของพระเอกไว้ เพื่อพัฒนาตัวเองให้มันดีขึ้นๆ เพราะว่าอ้นไม่เคยมีอะไรที่แบบว่า ปัง! ขนาดนั้น มันมีแต่งานที่คนยอมรับมากๆในหลายๆจุด  การที่ได้เล่นละครฉลุยแล้วคนรู้จักมาก ก็เป็นการเปิดตัวที่ดีของผม แต่ว่าก่อนมาเป็นฉลุยผมเล่นเรื่องอื่นมาก่อนและผมก็เล่นเป็นตัวประกอบมาก่อน เพราะฉะนั้นผมจะค่อนข้างเห็นค่าของการทำงานเราไม่ได้มาง่าย   ไม่ใช่อยู่ดีๆก็ถูกปั้นเป็นพระเอกไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ  

และตอนที่ผมเป็นศิลปินก็จะไม่มีค่าย  พอไม่มีค่ายปุ๊บก็จะไม่มีแฟนคลับ ค่อยถือป้ายผมไม่มีแบบนั้นครับ  เพราะฉะนั้นทุกๆอย่างที่มันเกิดมาเป็นอ้นจนทุกวันนี้ได้   มันเกิดจากการทุ่มเทเท่านั้นเลย   ถามว่าทุกวันนี้อยู่จุดไหนสำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยมีจุดที่เปรี้ยงสุดๆผมไม่เคยมีจุดนั้นก็ต้องยอมรับจริงๆ

แต่มีหลายๆจุดที่แฟนๆให้การยอมรับกับงานที่เราทำ มันเป็นการรักษามาตรฐานและพัฒนาตัวเองมากกว่า   เพราะฉะนั้นเวลาที่คนมองผมแบรนด์ที่ผมพยายามจะสร้างออกไปก็คือเชื่อถือได้ สิ่งที่เขาได้จากเรา คือเราไม่ได้รับงานด้วยการโกย ผมถึงไม่ได้มีงานเยอะ แต่ผมอยากได้เงินนะ อยากเลี้ยงตัวเอง แต่รู้สึกว่าผมรักแฟนๆของผม ผมอยากให้เขารู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องเปิด เสียเวลาเปิดมาดู อ้น สราวุธ แล้ว เขาต้องรู้ว่าอันนี้อ้นเลือกแล้ว ถ้าอ้นไม่เลือก อ้นไม่ทำ

ก็ถือว่ามาได้ไกลมากเรียกว่าเป็นระยะทางดีกว่า ผมไม่เรียกตัวเองว่าอยู่บนฟ้า ผมเรียกตัวเองว่าเป็นนักเดินทาง แล้วผมว่าผมเดินทางมาไกลมากจากวันที่ผมไม่มีอะไรเลย และผมก็สร้างมันให้กับตัวเองและครอบครัวผมจนผมเป็นผมถึงทุกวันนี้

ถ้าคุณเป็นนักเดินทาง  ตอนนี้คุณใกล้ถึงปลายทางหรือยัง

ยังไม่เห็นปลายทางเลย  คือ ผมจะใช้เวลากับชีวิตเป็นระยะๆครับ แล้วก็ ณ ตอนนี้ผมยืนอยู่อย่างที่ผมบอก  แต่ถ้าถามผมว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงไหนผมตอบได้   แต่ถ้าตอบว่าข้างหน้าเป็นอะไรผมจะไม่รู้เพราะผมรู้สึกว่าอนาคตเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะบังอาจไปรู้ได้ครับ   รู้แต่ว่าถ้าถามผมว่าเมื่อก่อนเป็นยังไงผมจะตอบได้ชัดเจนและผมก็จะจำมัน  แต่อนาคตผมไม่บังอาจไปตอบว่าผมจะเป็นยังไง คิดว่าผมจะดังไปตลอดชีวิตผมไม่คิด หรือเกิดสมมุติว่าจะต้องเล่นละครไปอีก 10 ปี ผมก็ไม่รู้

บางทีผมก็อยากจะตอบว่าผมไม่อยากทำงานแล้ว แต่ผมจะรู้ได้ไง  บางทีอาจมีงานอะไรที่แบบส่งมาแล้ว โอ๊ย! อยากเล่นมากก็ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมตอบได้อย่างหนึ่งคือ  ผมเข้ามาในวงการบันเทิงเพราะผมรักในศิลปะ แล้วผมก็รักการแสดง แต่หลายๆครั้งผมรู้สึกว่าผมไม่เหมาะกับงานวงการบันเทิงเลย เพราะว่าตัวตนของผม ผมชอบอยู่สงบ ไม่ชอบยุ่งกับใคร ไม่ชอบแบบเฮฮา แก๊งค์ก๊วน ไม่ชอบไปปาร์ตี้คนดัง ไม่ชอบออกข่าว ไม่ชอบเป็นกระแส ด้วยนิสัยของผม

แต่ผมชอบทำงานมาก ผมเลยรู้สึกว่าผมมีหลายครั้งมากเลยที่ผมไปปรึกษาผู้ใหญ่ว่าผมไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะผมรู้สึกว่าคงไม่เหมาะกับวงการนี้  แต่มันก็ชอบจะมีงานอะไรที่ส่งมาแล้วเราก็อยากทำมากเลยๆ  มันก็เลยเห็นผมยังอยู่ตรงนี้ เพราะว่าผมอยากทำงาน

คุณบอกว่าสามารถบอกถึงตัวเองในอดีตตอนที่เข้ามาในวงการใหม่ๆได้  ถ้าย้อนกลันไปได้คุณอยากบอกอะไรกับ “อ้น สราวุธ” คนนั้น

ผมอยากบอกกับ อ้น สราวุธ คนนั้นว่า….อย่าเสียความมั่นใจถ้าคุณจะไม่เหมือนคนอื่น อย่าท้อแท้กับความทุ่มเทถ้าจะโดนใครเขาขำเอา และก็จะบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงอดทน และก็จะกลับไปบอกอีกคำนึงว่า…..“อย่าประมาทกับชีวิต” แต่คำสุดท้ายที่อยากจะบอกก็คือ  ไม่ว่าคุณจะระวังขนาดไหนในชีวิตหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสอนให้คุณเข้าใจว่าชีวิตชุกโชนคืออะไร  เพราะฉะนั้นผมมีช่วงที่ผมผิดพลาดผมไม่ได้ภูมิใจกับความผิดพลาด  มีช่วงที่ผมเสียใจมากๆผมไม่อยากกลับไป แต่ถามว่าผมเป็นผมอย่างทุกวันนี้ได้เพราะอะไร  ก็เพราะความผิดพลาดเหล่านั้น  เพราะฉะนั้นผมรักตัวเองในวันนี้ 

คิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณในขณะนี้

ตอนนี้สำหรับอ้นแล้ว เวลาที่อ้นอธิษฐานหรือไหว้พระ  อ้นมักจะขอพรให้ยังมีกำลังที่จะดูแลตนเอง  ยังมีกำลังที่จะดูแลคนที่อ้นรักอยู่   ครอบครัวหรือผู้ที่มีพระคุณ และยังมีกำลังทำงานให้มีเงินเหลือเก็บจนสามารถแจกจ่ายแบ่งปันได้อย่างสบายใจ  ผมต้องการ 3 อย่างนี้ เพราะว่าเราต้องดูแลทำมาหากินในชีวิต ใช่เพื่อตัวเอง แล้วคนที่เรารักผู้มีพระคุณของเรา ก็อยากให้เขามีความสุข และเราอยากมีเงินแบบว่าสมมุติผมเจอคนที่ไม่มีตังค์ผมอยากหยิบตังค์ในกระเป๋าไปให้พันนึงแล้วผมไม่ต้องรู้สึกเบียดเบียนตัวเอง แล้วเห็นเขามีของกิน  เราสบายใจ เราไม่ต้องรู้จักกันก็ได้  ผมอยากทำอย่างนั้นได้ ผมอธิษฐานขอพระแบบนี้แต่สุดท้ายก็บอกท่านว่า  ถ้าหมดหน้าที่ผมแล้วก็ให้ท่านเอาไปได้เลย นี่คือเรื่องจริง

อะไรที่ทำให้คุณความสุขมากที่สุด และอะไรที่ทำให้ทุกข์มากที่สุด

สิ่งที่ทำให้มีความสุขก็คือสิ่งที่ขอพรไปเมื่อกี้แล้วก็ได้ตามนั้น   ความสุขก็คือ มีงานทำ  ได้ทำงานที่รักมีเงินเลี้ยงตัวเองและให้คนที่ตัวเองรัก และก็มีพอที่จะแจกจ่ายแบ่งปัน  ชีวิตมันก็อยู่ได้อย่างสบายใจแล้ว สุขกว่านี้นึกไม่ออกเพราะชีวิตก็เท่านี้แหล่ะ   เคยทุกข์ที่สุดตอนที่ทำให้คนที่เรารักเสียใจและคิดว่านั่นคือความทุกข์ที่สุดแล้ว  เราเสียใจเพราะตัวเองไม่ว่าเรื่องอะไรในชีวิตก็แล้วแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่  แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเราเห็นคนที่เรารักต้องร้องไห้หรือเสียใจ  ผมว่านั่นทุกข์ที่สุดแล้ว ผมไม่อยากมีอย่างนั่นอีกแล้ว

เวลาที่เจอปัญหา อุปสรรค เรื่องทุกข์ใจ  อะไรที่ช่วยทำให้คุณพ้นจากทุกข์

พระครับ แต่ว่าที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือพระพุทธรูปที่บ้าน  ถ้าเกิดผมไม่มีตรงนั้น ผมตายไปแล้วครับ  คิดจะฆ่าตัวตายไปแล้ว และก็มันมีปัญหาใหญ่ๆอย่างที่บอก  เราเห็นคนที่เรารักเป็นทุกข์  เราไม่ชอบที่สุด  เพราะว่าด้วยธรรมชาติของผมแล้ว  ผมชอบเห็นคนรอบๆข้างมีความสุข  ทีนี้ถ้าคนรอบๆข้างเสียใจครอบครัวหรือคนที่รักด้วย ผมก็มานั่งคิด  มันไหว รู้ว่าต้องอดทน แต่ว่าถ้าไม่มีพระพุทธเจ้านะป่านนี้คงไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วครับ

คุณมีความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้าง

ธรรมะเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผมครับ  จริงๆผมมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่  2  อย่าง ก็คือ พระธรรมของพระพุทธเจ้า กับ ในหลวง แต่สำหรับผมแล้วในกรณีนี้เหมือนกัน  ในหลวงสำหรับผมแล้วก็คือ พระพุทธเจ้า  แม้ตัวท่านจะไม่อยู่แต่คำสอนของความสว่างต่างๆยังอยู่   เพราะฉะนั้นนั้นจึงเป็นแก่นให้เราได้ยึดเกาะเอาไว้  ถ้าไม่มีรูปแบบชีวิตที่ในหลวงเคยสอนเราถึงวิธีการดำเนินชีวิตต่างๆที่พ่อเคยสอนเรา หรือถ้าไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า  ก็ไม่มีผมเหมือนกัน เพราะว่าผมคงอยู่ไม่ไหวหรอก ผมยังอยู่ตรงนี้ได้เพราะมี  2  สิ่งนี้ยึดเหนี่ยว

เรื่องความรักของ “อ้น สราวุธ”

ความรักจริงๆเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยได้คุยกับใคร  เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ได้มองหาตรงนี้แล้ว  ผมเลิกคิดว่านั้นคือเรื่องใหญ่ มีช่วงวัยหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า ตามหาความรัก  อยากได้ความรักดีๆ โน้นนี่นั้น  พอมันเจ็บ มันมีเรื่องให้เราเจ็บไปช่วงใหญ่ของชีวิตเลยครับ  เป็นช่วงที่ปั่นป่วนมาก ก็เฮิร์ทมาก  มันเลยรู้สึกว่าพอชีวิตมันเจ็บ  มันก็ไม่เอา ตอนนี้ก็เป็นช่วงที่เราไม่ได้ปิดกั้นอะไร อยู่สบายๆถ้าจะมีใครมาให้เราเรียนรู้  ก็เรียนรู้ แต่ก็ไม่ได้ต้องการที่สุดตอนนี้

 ตอนนี้ก็คือคุณ “โสด”

ครับ

 "อ้น สราวุธ" กับมุมมองความรักที่เปลี่ยนไป

เมื่อก่อนตามหานะ เป็นคนที่ตามหาความรัก อยากมีความรัก มีสเปค  มีโน้นนี่นั่น  ตอนเข้าวงการใหม่ๆก็ถูกถามอะไรแบบนั้น แต่พอมาถึงจุดๆหนึ่งก็รู้สึกว่าความรักก็เหมือนกับเราตามหาเพื่อนสักคนหนึ่ง  แน่นอนสเปคมันถ้าได้ตามนั้นมันก็ดีอ่ะนะ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเหนือกว่าคำว่าสเปคแล้ว การได้ใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนหนึ่งถ้ามันเจอคนที่ใช่ ถึงสเปคมันไม่ใช่ แต่คนนั้นอยู่ด้วยแล้วใจมันสงบ

มนุษย์เราจริงๆแล้วเราตามหาคนที่เราจะเอาใจไปวางไว้กับเขาได้อย่างสงบ จบ  แต่เราไม่ได้คิดถึงตรงนี้ซะส่วนใหญ่  เราชอบคิดว่า หล่อไหม สวยไหม เมื่อเราตามหาเปลือกเราจะเจอเปลือก ความจริงมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยกเว้นว่าคุณโคตรโชคดีเลย คุณได้อย่างที่คุณอยากได้เลยอ่ะ แล้วนิสัยเขาก็ดีมาก เวลาคุณอยู่ใกล้แล้วโคตรมีความสุข แต่จะมีกี่คนที่จะสมหวังแบบนั้นซึ่งน้อยมาก   เพราะฉะนั้นมนุษย์ทุกคนผู้หญิงผู้ชายผมว่าทุกคนมองหาใครอีกคนหนึ่งที่เขาจะเอาหัวใจไปวางไว้ใกล้ๆแล้วสงบไปนานๆ

ชีวิตในวงการบันเทิงตลอด 20 ปี คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง

ก็จะคิดถึง “อาต๋อย ไตรภพ” เลยครับ ตอนที่ผมเข้ามาในวงการใหม่ๆ อาต๋อยเคยเขียนคำสั้นๆให้คำหนึ่งตอนเรียนหนังสือ ผมขอลายเซ็นส์อาต๋อยครับ อาต๋อยเขียนว่า…... “อ้นเป็นคน  คนธรรมดาเข้าไว้  ใจ เป็นสุข” ผมว่านั่นคือแก่นการมีชีวิตของผม แต่แก่นการทำงานของผมคือการเป็นนักแสดงใช่ไหม ผมก็จะยึดแก่นของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ….นักแสดงก็เหมือนพระสงฆ์เราแสดงธรรมผ่านชีวิตตัวละคร นี่คือแก่นการทำงานและการเลือกบทของผม

คุณพบเห็นสัจธรรมอะไรบ้างตลอด 20 ปีที่ผ่านมาในวงการบันเทิง

ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นไปได้และอาจจะดีกว่าที่เราคิดจนเราต้องร้องไห้ว่ามันจริงหรอ หรือสิ่งที่เราหวังไว้ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นก็อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น  เมื่อไรก็ตามที่เราทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำมันให้สุดหัวใจเลยแล้ววางมัน เหมือนตอนนี้ละครเงาเสน่หา ผมรักมันมากนะ รักมากจริงๆ

ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่ในวงการบันเทิงแล้วผมจะรู้สึกว่าละครเรื่องนี้เหมือนลูกของผม  ผมปั้นมันด้วยความรักทั้งหมดแม้ว่ามันจะเหนื่อยยากสำหรับผม มีกระบวนการชีวิตที่พังบ้างบางช่วง แต่ผมจะภูมิใจกับสิ่งที่ผมได้ทำไป มากกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะผมให้สุดแล้วเท่าที่ผมมีในวันนี้เพราะฉะนั้นละครแต่ละเรื่องผมจะทำมันแบบนั้น  ทำมันให้สุดเท่าที่ผมจะทำให้ได้ กี่เทคกี่ครั้งดึกดื่นมืดค่ำยังไงอยากได้อะไรบอกมา เพราะผมจะไม่มีวันได้กลับมาแก้ไขอีก

แล้วก็ศาสนาสอนว่าเมื่อเราปลูกต้นไม้ที่ดีเราก็จะได้ต้นไม้ที่ดีแต่เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้อยู่ชื่นชมต้นไม้ ต้นนั้นกว่ามันจะโตไหมเพราะชีวิตมันไม่แน่นอน รักงานทุ่มเทที่สุด  รักมันมากแต่วางไว้แล้ว วางไว้ให้คุณได้ชื่นชมแล้ว วันหนึ่งถ้าผมแก่ตัว ผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ หรือผมไม่อยู่แล้วมันก็จะเป็นงานที่คุณเปิดเจอได้ใน Youtube ก็นั่นไงพี่คนที่ชื่อพี่อ้น เพราะนั้นเป็นงานของอ้น แต่อ้นไม่อยู่แล้ว เหมือนศิลปินหรือดาราหลายๆคนที่เขาไม่อยู่แล้ว แต่ ณ วันนั้นเขาได้วางสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้คุณแล้ว

ขอ 3 คำ ให้กับวงการบันเทิง

ที่  สุด  แล้ว

คุณวางเป้าหมายในวงการบันเทิงไว้อย่างไรบ้างในอนาคต

ไม่รู้ เมื่อก่อนอาจตอบว่าจะเป็นเพราะคนชอบมาถามว่าในอนาคตจะเป็นผู้จัดไหม เป็นผู้กำกับหรือเปล่าเพราะทำงานนี้มาเยอะ ผู้กำกับโน้นนี่นั่น ไม่รู้จริงๆนะ  ถ้าตอบด้วยความซื่อสัตย์  เราไม่รู้ว่าเก่งพอที่จะกำกับได้ขนาดนั้นไหม ยิ่งเห็นพี่โด่ง (ผู้กำกับ) ทำแล้วก็รู้สึกชื่นชมมากว่า พี่โด่งเก่งจัง  จะเป็นผู้จัดไหมไม่รู้  เกิดอนาคตจะเจอใครวันดีคืนดีเดินเข้ามาอ้นมาทำงานกันไหม อาจจะได้เป็น อันนี้ไม่รู้  ตอนนี้ผมไม่รู้อนาคตจริงๆผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมมีละครออกเรื่องนี้ช่วยดูหน่อยเถอะ เพราะผมรักมันจริงๆนะ ผมไม่รู้จะพูดคำไหนมากไปกว่านั้นอีกแล้ว แต่อนาคตของผม ผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าอนาคตของผมหลายๆแว๊บในชีวิตของผม ผมรู้สึกว่าผมอาจจะไม่เหมาะกับวงการนี้หรือเปล่า หรือพอรึยังกับตรงนี้  แล้วผมอยากไปไหนต่อตอนนี้มันเหมือนเป็นช่วงรอยต่อของผมมากเลยครับ

บางทีผมรู้สึกว่าอยากไปไกลๆอยากอยู่ที่สงบ โดยที่ไม่ต้องต่อสู้กับอะไรอีก ไม่ต้องคาดหวังไม่ต้องทุ่มเท แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนั้นอยู่ไหนมันก็ต้องมีความทุ่มเทในหลายๆสิ่ง อย่างที่บอกแหล่ะเราอยู่ตรงนี้เพราะว่าเราอยากทำงาน แต่นอกเหนือจากงานเรารู้สึกว่าไม่ได้อินกับวงการบันเทิง แปลกไหม รู้สึกว่าให้ทำอะไรทำให้สุด แต่พอทำเสร็จแล้วขอกลับบ้าน ขอแบบเงียบๆไม่อยากไปลั้นลา คือไม่ได้อยากใช้ชีวิตแบบดาราที่เขาใช้กัน รู้สึกไม่อยากอยู่อย่างนั้น ผมเลยตอบอนาคตไม่ได้

ถ้ามีเด็กรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาในวงการบันเทิง และอยากเป็นนักแสดงที่เก่งแบบ “อ้น สราวุธ”

ขั้นแรกคงต้องบอกว่าขอบคุณนะถ้าเกิดจะมองถึงขนาดนั้น  อ้นไม่ได้เก่งอะไรมากมาย  แค่รู้สึกว่าอ้นไม่เก่งก็เลยอยากเรียนรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วอย่าหยุดที่จะเรียนรู้  ถ้าคุณอยากเก่งคุณต้องคิดว่าคุณไม่เก่ง  แต่คุณสามารถชื่นชมตัวเองได้นะ  คุณไม่มีทางจะเป็นเหมือนผมได้หรอก  แล้วคุณก็จะเป็นเหมือนใครไม่ได้ด้วย  คุณก็จะเป็นคุณที่เก่งในแบบคุณ

แต่ถ้ามีมุมดีๆที่ผมทำออกไปแล้วถ้าคุณได้เห็น แล้วคุณจะได้เอาไว้เป็นกำลังใจ เหมือนกับผมที่มีจากหลายๆคนที่ผมมองเห็นเหมือนกันผู้หลักผู้ใหญ่  ผมก็รู้สึกว่าถือเป็นแนวทางที่รู้สึกว่าเอาเป็นแรงบันดาลใจดีกว่า   แต่อย่าไปอยากเก่งแบบใคร ไม่มีใครจะเป็นแบบใครได้เลย  ก็ขอให้อดทนและเพียรพยายาม  อย่าหลง  อย่าหลงว่าคุณเป็นดาวบนท้องฟ้า วงการนี้พยายามกล่อมให้คุณรู้สึกว่าเป็นแบบนั้น

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณหลงไปกับมันคำกล่อมเหล่านั้น  คุณจะทำงานอย่างไม่มีความสุข  แล้วเมื่อไหร่ที่หลุดออกมาจากขบวนการของความหลงคุณจะพัง  ก็จะกลับมาที่คำสอนของ อาต๋อย ไตรภพ สุดท้ายคุณก็จะค้นพบว่า…เป็นคนๆธรรมดาเข้าไว้  ใจเป็นสุข และตอนนี้ผมมีความสุขเพราะการที่ผมเป็นคนธรรมดา  สิ่งที่ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่คือความหวัง  แต่การค้นหาหรือรักษา “ความหวัง” ให้คงอยู่ต้องใช้ศรัทธาที่แข็งแรง  ผมว่าเท่านี้ก็เป็นโจทย์ยากของเราทุกคนแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook