ชีวิตใหม่ใต้แสงแห่งธรรม “ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร”

ชีวิตใหม่ใต้แสงแห่งธรรม “ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร”

ชีวิตใหม่ใต้แสงแห่งธรรม “ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากเด็กหนุ่มเกเรที่คิดว่าตนเองกับศาสนาห่างไกลกันมากแต่แล้ววันหนึ่งพุทธศาสนากลับทำให้ชีวิตของ ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร เปลี่ยนไปตลอดกาล

ต่อเล่าถึงชีวิตก่อนที่จะพบธรรมว่า

“ผมมีพี่น้องรวมผมด้วย 3 คน ผมเป็นคนเล็ก คุณพ่อคุณแม่วางแผนชีวิตให้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ท่านไม่เคยปล่อย จนผมคิดว่าชีวิตมีข้อจำกัดมากเกินไป อยากพังข้อจำกัดที่มีอยู่ให้หมดไป พอขึ้นมัธยมต้น ผมเริ่มแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมา และสังเกตว่าเวลาที่เป็นแบบนี้ ทุกคนจะกลัว ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ใช้กำลัง เมื่อเห็นว่าคนอื่นกลัวความเกรี้ยวกราด ผมจึงคิดว่านี่คืออาวุธที่เราใช้ได้ จากนั้นก็เริ่มอารมณ์ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ก้าวร้าวขึ้น แล้วก็ติดเพื่อนมาก รักเพื่อนมาก มีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน”

ช่วงวัยเลือดร้อน คุณพ่อคุณแม่เคยพูดเรื่องบวชกับเขา แต่เขาคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องไกลตัว

“คุณพ่อคุณแม่เคยถึงกับจ้างให้ผมบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ตอนนั้นความคิดของผมคือ ชีวิตนี้คนอย่างกูไม่มีทางบวชแน่นอนและไม่ได้อยากเข้าไปคลุกคลีกับศาสนาแม้สักนิด”

เขายังคงเป็นเด็กเกเรต่อไปเรื่อย ๆ แต่แล้ววันหนึ่งก็กลับหันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ด้วยตัวเอง

“ตอนผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในคืนหนึ่งอยู่ ๆ ผมก็อยากบวช ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าต้องบวช พอตัดสินใจแน่วแน่ไม่ลาเรียนด้วย จึงบอกคุณพ่อคุณแม่ แล้วไปบวชที่วัดห้วยน้ำโจน จังหวัดพิจิตร”

 

ต่อเล่าถึงช่วงเวลาครั้งสำคัญของชีวิตว่า

“วันแรกผมคิดถึงบ้าน มันเป็นการจากบ้านมาไกลในแบบที่ไม่ใช่การไปเที่ยวต่างจังหวัด และวัดนี้เป็นวัดที่ห่างไกลความเจริญ ไม่มีทำวัตรเย็น เพราะพระ เณร ต้องช่วยกันทำงานกวาดพื้น เช็ดถู เก็บกิ่งไม้เพื่อก่อกองไฟ เพราะไฟฟ้ามีจำกัด

“ตอนบิณฑบาต ทางที่ผมต้องเดินเป็นดินลูกรัง มีกรวดหินเต็มไปหมด พอออกเดินไปเรื่อย ๆ เท้าสัมผัสกับหินแหลม ๆตลอดทาง ผมเจ็บทุกย่างก้าว และในขณะที่ความเจ็บปวดกำลังเล่นงาน ภาพในหัวของผมภาพที่เรากำลังชกต่อยกับคนอื่น คนที่เรามีปัญหาด้วยเขาต้องเจ็บแค่ไหน แค่ผมต้องเดินเหยียบหินแหลม ๆ แบบนี้ด้วยระยะทางที่ยาวไกล ผมก็เจ็บจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

“ระหว่างอยู่ที่วัด ผมได้อยู่กับตัวเองจริง ๆ ผมกวาดฝุ่นที่พื้นกระเบื้อง พยายามกวาดออกไปข้างนอก แต่พอกวาดไปแล้วลมก็ตีกลับเข้ามาอีก ผมกวาดไปอีก ลมก็ตีกลับมาที่เดิม ผมคิดได้ตอนนั้นเลยว่าการที่มีคนมาทำอะไรเรา แล้วเราโต้ตอบเขาก็จะต้องโต้ตอบกลับมา มันคือธรรมชาติ

“จากนั้นผมเริ่มปวดหัว เหมือนภายในหัวของผมเป็นม้วนฟิล์มที่กำลังฉายหนังเราเห็นพฤติกรรมไม่ดีของตัวเองทั้งหมด ทุกเหตุการณ์ที่ทำไม่ดีกับใครบ้าง มันไหลเข้ามาไม่หยุด ผมเริ่มเจ็บปวดกับสิ่งที่ทำทุกความเจ็บเริ่มทิ่มแทงผมมากขึ้น ๆ ผมไม่สามารถห้ามความคิดได้ จนผมรู้สึกว่าเราจะไหวไหม ทำไมเจ็บปวดขนาดนี้ นอกจากพฤติกรรมเกเรชกต่อย ผมคิดถึงพ่อแม่คราวนี้ผมรู้สึกเหมือนโดนมีดแทง ทุกครั้งที่ท่านบอกให้ตั้งใจสอบ ตัดภาพกลับมา คือเราสอบตก แล้วก็เห็นภาพที่คุณพ่อคุณแม่ทำดีกับเราทุกอย่าง แต่เรากลับทำพฤติกรรมไม่ดีกับท่าน ผมรู้สึกผิดมาก แต่ก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกหรือความคิดได้

“ผ่านไปหลายวัน เมื่อผมห้ามความคิดไม่ได้ ผมก็ไม่ห้าม อยากคิดก็คิดไป ผมแค่เห็นความคิด แล้วผมก็นิ่งขึ้นได้เองแล้วก็นิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่า ทำไมเราเย็นจังเลย อยู่ ๆ ก็นิ่งได้ พอครบ 7 วัน คราวนี้ผมเปลี่ยน หน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่ร้อนมาก ๆ กลายเป็นคนที่เย็นลงจริง ๆ”

หลังจากสึก ชีวิตต่อเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“พอผมกลับไปโรงเรียน ผมโดนกลุ่มคู่อริล้อมไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงสู้ยิบตาแต่สิ่งที่ผมทำคือ ยืนก้มหน้า แล้วพูดว่าขอโทษว่ะ พอทำแบบนี้เขาก็ไม่ทำร้ายเราต่างคนต่างแยกย้ายกันไป หรือแม้กระทั่งการฆ่าสัตว์ ช่วงที่ถ่ายเรื่อง โอเนกาทีฟ ผมจำได้ดีว่า ตอนที่ยุงมากัด ผมไม่กล้าตบสักตัว ใช้วิธีหยิบและโยนออกไป ผมรู้สึกว่า ผมไม่อยากเบียดเบียนชีวิตใคร อยากอยู่อย่างสบายใจ นอกจากนี้ผมก็ไปขอแผ่นพับบทสวดมนต์จากคุณพ่อคุณแม่ พอได้มาผมสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็นถ่ายละครดึกแค่ไหนก็ต้องกลับมาสวดมนต์ก่อนนอน สวดทุกวันไม่มีวันหยุด เวลาสวดมนต์มันดีกับใจของผมจริง ๆ”

ธรรมะสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง ๆ เพราะต่อทิ้งท้ายไว้ว่า

“ถ้าผมไม่เจอธรรมะ ชีวิตผมคงแย่และคงเจอกับคำว่าสายเกินไปที่จะกลับตัวอย่างแน่นอน”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook