“ริท เดอะสตาร์” จากเด็กติดเกม สู่ศิลปินเดอะสตาร์ และว่าที่คุณหมอ

“ริท เดอะสตาร์” จากเด็กติดเกม สู่ศิลปินเดอะสตาร์ และว่าที่คุณหมอ

“ริท เดอะสตาร์” จากเด็กติดเกม สู่ศิลปินเดอะสตาร์ และว่าที่คุณหมอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ริท เดอะสตาร์” หรือเรืองฤทธิ์ ศิริพานิช เป็นศิลปินคนหนึ่งที่มีแฟนคลับรักและเอ็นดูเขาอย่างเหนียวแน่น แม้ผลงานในวงการบันเทิงจะไม่ต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งที่มีกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ทุกคนไม่เคยลืมริท เดอะสตาร์

 ริทเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับกลุ่มวัยรุ่น หรือแม้แต่ศิลปินรุ่นน้อง ทั้งเรียนเก่งจนสอบติดแพทย์ และเป็นที่รักของคนทั่วไป ทั้งหมดนี้เกิดจากการเลือกชีวิตของตัวเองด้วยความมั่นใจ เร็วๆ นี้ริทกำลังจะได้เป็นคุณหมอ กับเส้นทางสู่การเป็นคุณหมอที่คู่ขนานไปกับแวดวงมายา ริทก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไร เพราะเป็นถนนที่หนักและท้าทายทั้งคู่

ชีวิตในวัยเด็กของการเป็นลูกคนกลางเป็นอย่างไรบ้าง
ริทไม่ได้รู้สึกแตกต่าง หรือมีปัญหาอะไรนะ  ริทมีพี่ชาย และก็มีน้อง เวลาอยู่บ้าน เราก็ทำกิจกรรมทุกอย่างด้วยกัน  ไม่ได้รู้สึกต่างไปจากลูกคนอื่น  พ่อแม่เรารักลูกเท่ากันทุกคนครับ พ่อแม่ริทไม่มีใครจบสูง คุณแม่จบ ป.4 คุณพ่อจบ ปวส. และเพิ่งมาต่อปริญญาตรีตอนอายุ 40 ซึ่งถ้าฐานะทางสังคม ฐานะความเป็นอยู่ เราก็ไม่ได้ขาดแคลน ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลย แม้พ่อแม่จะเรียนไม่สูง แต่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรครับ

พ่อแม่ไม่ได้เรียนสูง ท่านปลูกฝังด้านการเรียนเราอย่างไร
ริทคิดว่า สำหรับบ้านที่พ่อแม่เป็นหมอ หรือราชการ เขาจะมีคำแนะนำที่ดีให้กับลูก ส่วนพ่อแม่ริทไม่ได้มีคำแนะนำเรื่องการเรียนให้ ไม่ได้สอนการบ้านริท ไม่ได้พาริทอ่านหนังสือ แต่เขาจะบอกแค่ว่า ให้ริทตั้งใจเรียนนะ ริทได้แค่คำนี้มา สิ่งที่เราทำมาทั้งหมด มันคือเราเองที่ต้องต่อสู้กับมัน  ไม่ได้มีพื้นฐานที่ชนะใคร เรียนสายไหน เราคิดเอง เลือกเอง

ตอนเด็กๆ ติดเกมหนัก
พี่เอาเกมออนไลน์มาลงที่บ้าน พอเราเล่น มันสนุก เล่นกับพี่น้อง ต้องต่อคิวกันเล่น ทำแบบนี้ทุกวัน สลับชั่วโมงกัน ต่อคิวกันเล่นคอมเครื่องเดียว เล่นแล้วมีความสุข เวลาต้องต่อคิวเล่นเกม แรกๆ พ่อแม่ก็ว่านะ ถือไม้เรียวมาตีก็มี แต่การเล่นเกมของริทไม่ได้ทำให้ผลการเรียนมีปัญหา ริทเลยยื่นคำขาดกับแม่เลยว่า ถ้าวันไหนที่ริมเล่นเกมแล้วผลการเรียนตก มีปัญหา ริทจะหยุดเล่นเกมเลย ปรากฏว่าผลการเรียนริทไม่เคยตกเลย มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเกมไม่เกี่ยว ขึ้นอยู่กับว่าเราแบ่งเวลาได้ไหมมากกว่า ริทเล่นเกมตั้งแต่ประถมเลย เข้าวงการก็ยังเล่นอยู่  ริทมองว่าสมมุติมีเวลาว่าง 8 ชั่วโมง ริทไม่อ่านหนังทั้ง 8 ชั่วโมงแน่ๆ มันไม่มีความสุข สมองรับไม่ได้ แต่ถ้าริทอ่านหนังสือ 4 ชั่วโมง แล้วอีก 4 ชั่วโมงเอาไปทำอย่างอื่นที่มีความสุข สมองจะรับรู้ได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ เราแบ่งเวลาไม่ให้หนักเกินไป ไม่ตะบี้ตะบันอ่านหนังสืออย่างเดียว มันต้องทำอย่างอื่นบ้าง ความชอบริทคือการเล่นเกม

เรียนแพทย์ไม่ใช่อาชีพในฝัน
ผลการเรียนตั้งแต่เด็กของริทไม่ได้แย่ อยู่ในขั้นดีมาตลอด พ่อแม่เห็นแวว แล้วความหวังของพ่อแม่คืออยากมีลูกเป็นหมอ ครอบครัวอยากให้ลูกหลานเป็นหมอ เราเหมือนเป็นความหวังของครอบครัว ได้ยินมาตลอดว่าเป็นหมอนะๆ และเราไม่ได้ฝันอยากเป็นอะไรนะแต่ มีความคิดตามแค่ว่า ต้องเป็นหมอๆ

สุดท้ายค้นพบว่าเราอยากเป็นอะไรเมื่อไหร่
พอโตมาเริ่มเรียนเก่ง อยู่ในขั้นชั้นนำ เราก็เชื่อตามความเชื่อที่ว่า เด็กเรียนเก่งต้องเป็นหมอ เราก็เชื่อตาม ก็เลยสอบหมอ พอสอบติดก็เอาเลย โดยไม่ได้คิดว่าเราชอบไหม แต่พวกแรงบันดาลใจ อยากรักษาคนไข้ มามีตอนเรียนหมอแล้ว เพราะเราเห็นอะไรมากขึ้น ได้มาเห็นในสังคมคนไข้ มันเลยค่อยๆ ซึมซับ

เรียนเก่งแต่ไม่มีฝัน มีคำแนะนำให้กับรุ่นน้องไหม
ถ้าริทจะบอกน้องๆ อยากบอกว่าให้เลือกสิ่งที่ตัวเองชอบนะ อย่าเลือกตามที่สังคมบอก ริทอาจจะโชคดี ที่สังคมบอกว่าเด็กเรียนเก่งแล้วมาเป็นหมอนะ แต่พอริทเข้ามาแล้วริทชอบด้วย ไม่ได้ฝืนใจเรา แต่บางคนมันฝืนใจก็มี อย่าให้สังคมตัดสินชีวิตเรา ให้เราตัดสินตัวเองว่าเราชอบอะไร ถ้าคุณเป็นคนเก่งจริง อยู่ในสังคมไหน คุณก็คือคนเก่ง

แล้วความชอบเรื่องการร้องเพลงมีตั้งแต่เด็กไหม
ริทไม่ได้ชอบร้องเพลง ไม่เคยฝัน  เกิดมาในชีวิตไม่คิดว่าจะเป็นนักร้อง มันเป็นความบังเอิญมากกว่า แต่ส่วนตัวเป็นคนชอบดูรายการเดอะสตาร์นะ ดูประจำ มารู้จักตอนปี3 ดูทุกปีเป็นแบบนี้มาตลอด ดูอยู่แค่รายการเดียวที่เป็นการประกวด มันถูกกับความชอบเรา อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนมาชวนไปประกวด เราก็นึกสนุก ไปลอง ต่อแถวเป็นวัน ไม่รู้ด้วยอะไร มันฟลุคมาก จนเข้ารอบมาได้

 

ถือว่าเราเดินมาเกินสิ่งที่มุ่งหวัง
ตอนเข้าไปเป็นตัวแทนรอบ 20 คนสุดท้าย แล้วเขาจะคัดเหลือ 8 คน เราโทรบอกแม่เลย ให้มารับกลับ เพราะคิดว่าเราไม่ใช่ 8 คนนั้นแน่ๆ มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น จึงไม่ได้คาดหวัง พอประกาศผล มีชื่อเราช็อคมาก เราก็เข้ารอบ 8 คน มาแล้วก็เลยทำให้เต็มที่ ทุกอาทิตย์ที่ออกรายการไม่เคยคาดหวังว่าจะอยู่ต่อในรอบไหน จนมาถึงรอบ 2 คนสุดท้ายไม่รู้ว่าเพราะโชค หรือเพราะดวง เราบอกทางพ่อแม่ ทางมหาวิทยาลัยว่าจะดรอปเรียนแค่ปีเดียว แต่พออยู่มาเรื่อยๆ มีผลตอบรับดี คิวงานแน่น เราเลยดรอปเรียนเป็น 2 ปี คิดว่าขอทำงานเต็มที่แค่ 2 ปีเท่านั้นนะ หลังจะนั้นจะกลับมาเรียนต่อ

เราไม่ใช่สายร้องเพลงตั้งแต่เด็ก
เวทีนี้เปลี่ยนชีวิตเรามากเลย เราไม่เคยคิดเลยว่าเรามีความสามารถที่จะมายืนในทีวี เปลี่ยนจากคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก เปลี่ยนจากคนที่ต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ กลายเป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ เปลี่ยนจากเด็กน้อยกะโหลกกะลาให้เป็นแบบอย่างให้คนอื่น

 

การเป็นเดอะสตาร์ ให้บทเรียนอะไรกับริทบ้าง
เปลี่ยนคนธรรมดาให้มีคนรู้จัก เปลี่ยนจากคนที่ต้องให้พ่อแม่ดูแล มาดูแลตัวเองได้ เปลี่ยนจากเด็ก เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบขึ้น เมื่อก่อนริทเรียนหนังสือก็คิดถึงแต่ตัวเอง จะเรียนได้เท่าไหร่ก็เรียนไป แต่ตอนนี้มีหลายคนมองเราเป็นแบบอย่าง เราก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี จะได้มีประโยชน์กับคนวงกว้าง เพราะเขามองเราอยู่

ในช่วงดรอปเรียน เคยมีความคิดไหมว่าไม่อยากไปเรียนต่อ
มีครับ งานในวงการบันเทิง มันสนุกกว่าการเรียนการอ่านหนังสืออยู่แล้ว มันกดดัน พอมาถึงจุดหนึ่ง เราหลงระเริงโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องตื่นไปเรียนเช้า มันมีแต่ความสุข เลยลืมไปว่าหน้าที่เราจริงๆ คือการเรียน จนมีช่วงหนึ่งคิดว่าไม่อยากกลับมาเรียนแล้ว นั่งคิดไปคิดมา จึงคิดได้ว่าจริงๆ มันคือแสงสี ทำให้เราหลง ลืมตัวเอง จนคิดได้ว่ากลับมาเรียนดีกว่า เอาการเรียนเป็นหลัก เลยประกาศหยุดรับงานตั้งแต่ตอนนั้น

 

ดูเป็นคนมองโลกในแง่บวก อามรมณ์ดี ชีวิตเรามีเรื่องกดดันอะไรไหม
ริทไม่ชอบเอาความกดดันมาเป็นจุดยืน เราไม่ใช่คนโลกสวย แต่เลือกจะมองอะไรที่มันดีๆ มากกว่า อะไรที่มันแย่ก็อย่าไปคิดถึงมันมาก อย่าไปตั้งต้นกับคำว่าแย่ เริ่มต้นกับคำว่าดีๆ ดีกว่า  พอมีอะไรกดดันเราเสียใจเราท้อได้ แต่วันหนึ่งมันก็ต้องผ่านไปได้ เราอย่าไปยึดติด จมปลักกับเรื่องไม่ดี

เรียนแพทย์เปิดโอกาสให้เราได้ทำอะไรเป็นครั้งแรกในชีวิตบ้าง
การดูแลคนไข้ มีหลายๆ อย่างที่เราต้องรับผิดชอบในชีวิตคน ความทุกข์ของคนที่เราต้องรับผิดชอบ ก่อนเรียนแพทย์ปีต้นๆ ริทได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่ได้สัมผัสการเรียนในห้องเย็นก่อน  พอจบมาอีกขั้นก็ได้ทำงานในโรงพยาบาลจริง ได้ทำคลอดเอง ได้รักษาคนไข้ ได้ผ่าตัด ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างให้คนไข้ เราก็ไม่คิดว่าเราจะทำได้นะ อย่างการทำคลอด ริทไม่คิดว่าริทจะทำได้ เพราะริทกลัวที่สุดในชีวิต ริทกลัวเลือด กลัวความเจ็บปวด ริทเลยไม่ชอบการทำคลอด และไม่คิดว่าตัวเองทำได้ แต่พอวันหนึ่งมาถึง มันเป็นหน้าที่ของเรา เราคิดว่าทำได้ มันก็ทำได้เอง

 

สิ่งสำคัญของการเป็นแพทย์ของริทคืออะไร
การได้ช่วยชีวิตคน ริทมีความสุขที่สุดตอนช่วยให้เค้าฟื้นมาได้ เราทำให้เค้ารอดได้ มันคือความสุข บางคนวันนี้ยังดีๆ อยู่เลย อยู่ๆ คิดเชื้อ หรือโดนอุบัติเหตุ  ถ้าเราความรู้ไม่พอ เหมือนดับอนาคตเขาไปเลย แต่ถ้าเราศึกษามาดี จากคนที่จะตาย กลับมามีชีวิตใหม่ มันก็ชื่นใจทุกครั้ง

เราต้องเห็นคนเสียชีวิต มีแง่คิดอะไรที่ได้จากความสูญเสียบ้าง
การเป็นแพทย์เห็นคนเสียชีวิตทุกวัน เกิด แก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ถามว่าเราเศร้ากับมันไหม ริทเป็นนะ เศร้า รู้สึกแย่ พอเวลาผ่านไป เราก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้เราทำดี พยายามแค่ไหน คนเราถ้าจะไปมันก็ต้องไป ริทว่ามันเป็นเรื่องอธิบายไม่ได้ คนจะรอดก็รอด บางคนดีๆ อยู่เลยไม่รอดก็คือไม่รอด มันเป็นสัจธรรมที่เราเจอจนชิน หลังๆ รู้สึกว่าการตายเป็นเรื่องธรรมดา ริทคิดว่าเรายื้อทุกคนไม่ได้ บางทีการที่เขาอยู่อาจจะทรมานมากกว่าการที่เขาไปก็ได้ มันเห็นสัจธรรมเยอะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook