เปิดปาก “บัวขาว" ทำไมต้องทุ่มสุดตัว-เททั้งหัวใจให้บท "ทองดีฟันขาว"

เปิดปาก “บัวขาว" ทำไมต้องทุ่มสุดตัว-เททั้งหัวใจให้บท "ทองดีฟันขาว"

เปิดปาก “บัวขาว" ทำไมต้องทุ่มสุดตัว-เททั้งหัวใจให้บท "ทองดีฟันขาว"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"เขาโดนม้าลากไปบนพื้นทราย สู้กับแดดในองศาที่ทำให้ผิดหนังไม่ใช่แค่ดำ แต่ไหม้" ทำไมต้องทุ่มตัว เททั้งหัวใจกับบท "ทองดี ฟันขาว" ขนาดนั้น เรามีคำตอบที่นี่

ทำไมทองดีจึง “ฟันขาว”?
"สวัสดีครับ ผม “บัวขาว บัญชาเมฆ” เรื่องนี้เป็นหนังที่ผมรับบทนำเต็มตัวเรื่องแรกครับ กับบทบาท-คาแรคเตอร์ “จ้อย” หรือ “ทองดี” จะเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก แต่ก็มีอารมณ์ขัน เขาจะชื่นชอบในเรื่องหมัดมวยเป็นชีวิตจิตใจ ไม่หาเรื่องใครก่อน แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่องก็จะไม่ยอมเช่นกัน ทองดีเป็นนักสู้มีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อในการเรียนรู้และฝึกฝนในวิชามวยต่างๆ จนโชคชะตาและความสามารถทำให้เขาได้เป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน ทุกคนในสมัยนั้นจะชอบเคี้ยวหมากกันก็เลยทำให้ฟันดำ ในส่วนของทองดีจะเป็นคนไม่ชอบกินหมากเคี้ยวหมาก ฟันก็จะขาว เลยได้ฉายาว่า “ทองดีฟันขาว” ตามชื่อเรื่อง"

 บัวขาวเปิดใจว่าก่อนมาแสดงบทนี้ เขาไม่ค่อยรู้จักประวัตินายทองดีมากสักเท่าไหร่ รู้แค่พื้นๆ ตอนสมัยเรียน แต่พอได้รับบทก็เริ่มศึกษาว่าความเป็นมา นายทองดีมาจากไหน จ้อยมาจากไหน พระยาพิชัยมาจากไหน พระยาพิชัยเป็นอะไรกับพระเจ้าตาก อยู่เมืองไหน ต่อสู้แบบไหน ก็รู้จักมากขึ้น

 "พอได้รู้ประวัติ ตอนเล่นเราก็รู้สึกอยู่ข้างในว่าคล้ายๆ เรา คล้ายๆ สิ่งที่เราเป็นมา สิ่งที่เราเคยคิด พอมันเหมือนที่เราคิด เราก็มีกำลังใจในการเดินต่อ ตัวผมก็เดินทางไปเห็นตรงไหนที่เค้ามีนักมวยก็ไปซ้อมที่ค่ายนั้น จนกระทั่งไปซ้อมที่วัดที่เค้ามีค่ายมวยในวัดจนมีวิชาแข็งแกร่งขึ้นมา ก็คล้ายๆ กับเราพอเปรียบเทียบขึ้นมา ที่เดินทางไปตามที่ต่างๆ ตามต่างจังหวัดที่ทำให้เราเรียนรู้วิชาตรงนี้มาได้ ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างกำลังใจ สร้างประวัติ หรือสร้างความคิดให้เราต้องทำแบบนี้ แสดงแบบนี้ เราต้องมีใจแบบนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราแสดงเรื่องนี้ได้ด้วยครับ" 

บัวขาวสารภาพว่า จริงๆ แล้วคาแรคเตอร์ในเรื่องแรกนี้ก็เข้ากับสไตล์ของเขา ซึ่งเป็นสไตล์การต่อสู้เสียส่วนใหญ่ ซึ่งต้องใช้แอคติ้งกับบุคลิกหน้าตาอีกนิดหน่อย แต่จะมาขัดกันตรงการสื่อคำพูด "เราแบบลิ้นใหญ่ พูดไม่ค่อยคล่อง และบทมันเป็นการพูดสไตล์ย้อนยุค ก็ทำให้ลืมหรือว่าต้องคิดอยู่ตลอดเวลา และก็อาจจะพะวง กลัวผิดอะไรอย่างนี้ แล้วพูดเสร็จก็มาต่อสู้ ก็อาจจะมีเกร็งพอสมควร ตอนแรกๆ ก็จะมีครูมาสอนเรื่องแอคติ้งรวมถึงการพูดการจา การพูดในระยะห่าง ระยะใกล้ เราพูดเหมือนคุยกันแบบไหน ครูก็มาสอนที่ค่ายมวยเลย แล้วก็แอคติ้งพูดไล่เสียง ก็รู้สึกว่าตรงนี้ช่วยได้มาก"


 
ประหลาดใจมั้ยที่ชีวิตบัวขาวกับทองดีคล้ายกัน?
ประหลาดใจมากครับ พอได้ศึกษาเรียนรู้ประวัติมากขึ้นก็รู้สึกประทับใจ ก็ดีใจกับตัวเองที่ได้รับบทนี้ ได้รับเกียรติเป็นอย่างดีที่ได้มาเล่นเรื่องนี้ ภูมิใจมากครับ อย่างหนึ่งก็คือคล้ายๆ ชีวิตผมด้วย อีกอย่างก็เป็นประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อความถูกต้องอย่างแท้จริง เหมือนเป็นฮีโร่ของชาติ แล้วก็เป็นฮีโร่ของหลายๆ คนที่ต่อต้านสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องด้วยครับ


 
ผู้กำกับบอกว่าถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่บัวขาวก็จะไม่ทำ?
บอกตรงๆ ว่า ผมก็ไม่เข้าใจ ตอนนั้นพี่บิณฑ์เค้าก็ไปคุยกับผู้จัดการก่อนแล้ว ผจก.ก็มาคุยกับผม จริงๆ ตอนนั้นนั้นผมยังไม่พร้อมเท่าไหร่ ปฏิเสธไปสองสามครั้ง แต่แกก็ยังตื๊อไปหาบ่อยที่ค่าย แกก็บอกว่ามีความฝันว่าต้องเป็นบัวขาว ถ้าไม่เป็นบัวขาวไม่ได้ ผมไม่อยากรับเล่นแล้ว ผมไม่เอาแล้ว ผมจะชกมวย อย่ามายุ่งกับผมเลย ผมพูดตัดไปเลย ไม่อยากจะเล่น ไม่อยากจะรับอะไรอย่างนี้ แกก็ตื๊อขอให้เล่นให้พี่เถอะ พี่อยากจะทำเรื่องนี้จริงๆ สามครั้ง ครั้งที่สี่ผมก็บอกให้เอาบทเอาประวัติอะไรต่างๆ มาดู แล้วก็ปรึกษากับทีมงาน ก็เลยลองดู ก็คุยรายละเอียดต่างๆ ว่าจะอะไรยังไง ก็เลยรับปากเล่นเรื่องนี้

 

ตอนแรกเห็นว่ายังไม่อยากเล่นเพราะ?
"ไม่ใช่เฉพาะพี่บิณฑ์ที่มาถาม เรื่องอื่นก็มาถาม ผมปฏิเสธไปหมดเลยทั้งหนังทั้งละครหลายๆ เรื่องก็มา แต่ผมปฏิเสธไปหมดเลย แต่ละเรื่องก็น่าสนใจเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากเล่น ผมอยากชกมวย ผมอยากมีอิสระ มีเวลาเป็นของตัวเอง ก็เลยไม่อยากรับ ตอนที่พี่บิณฑ์ติดต่อมาก็ยังไม่กล้ารับปาก เพราะผมไม่ถนัดในเรื่องการแสดงเท่าไหร่ แต่พอได้คุยว่าเป็นหนังอะไร เรื่องราวยังไง ผมก็รู้สึกตื่นเต้นและสนใจมากขึ้น เพราะผมกับทองดีมีส่วนคล้ายๆ กันทั้งชีวิตส่วนตัว และความรักในเรื่องหมัดมวยด้วย"

 
 
คุณโดนม้าลากครั้งแรกในชีวิต?
"ครับ ฉากนี้ต้องเจอทั้งกับไฟ การสู้กับม้า และการถูกมัดลากไปบนดินอย่างทะลักทุเลมากครับ ทองดีโดนจับมัดมือโดนม้าลากไปกับพื้นทราย ฉากนี้ถ่ายกันยาวนานมาก ถ่ายกันได้แผล ได้เลือด ได้เหงื่อ ได้ไฟลวกกันมันเละเทะ ตั้งแต่ดูหนังดูอะไรมาก็เพิ่งโดนกับตัวเองวันนี้ เพิ่งได้ปะทะ ได้เผชิญกับตัวเองว่าฉากแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันต้องใช้ระยะเวลา มันต้องได้จริงๆ พอเสร็จก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับที่เราลงทุน เราก็ตั้งใจทำจริงและเล่นจริง ก็คิดว่าฉากนี้ก็จะเป็นฉากที่จะได้จดจำไว้ว่า หนังมันก็ไม่เบาเลย พอเห็นภาพที่ตัดออกมาให้คนดูได้สนุกได้ตื้นเต้น เราก็รู้สึกดีนะครับ

จริงๆการต่อยมวยมันก็แค่เจ็บแค่ช้ำ โดนเตะโดนศอกโดนหมัดธรรมดา แต่พอมาเล่นหนัง การเข้าฉากก็อาจมีการพลาด การต้องลงทุนต้องเล่นสมจริง การโดนลากกับพื้น โดนม้าถีบ กระโดดตกม้าต่างๆ โดนเสียดสี รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แตกต่างกับการชกมวยอย่างสิ้นเชิง แต่มันก็รู้สึกคุ้มค่ากับการที่เราได้ลงทุนลงแรงแสดงสุดความตั้งใจ และความสามารถในการเล่นเรื่องนี้ครับ"

ฉากเปรียบมวย...ที่ไม่ใช่แค่ตัวดำ แต่ผิวไหม้ 
"ฉากนี้เป็นฉากไคล์แมกซ์ของเรื่องเลยครับ เป็นสนามประลองมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จัดขึ้นหน้าพระที่นั่งพระเจ้าตาก เพื่อหานักมวยที่แข็งแกร่งที่สุด มียอดฝีมือทางมวยทุกที่มารวมตัวกันเพื่อประชันความสามารถกันอย่างล้นสนาม บอกตรงๆ ว่าฉากเปรียบมวยนี้ โอ้โห...ไม่รู้ว่าจะดำยังไง เรียกว่าไหม้เลยดีกว่า วันนั้นถ่ายกันทั้งวันที่กาญจนบุรี กลางเขาแบบว่าร้อนเปรี้ยง เดือนเมษา-พฤษภาก่อนหน้าฝนมันจะร้อนอยู่แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรมาร้อนนะครับ ต้นไม้หลบร่มก็ไม่ค่อยมี เขาก็ทำฉากใหญ่เป็นไม้ล้อมหมดเลย ไม่มีอะไรบัง เป็นกลางลานที่เราต้องมาประลองต่อยมวยกันที่นั่น รู้สึกว่ามันต้องใช้คนเยอะ แล้วก็ใช้ม้า ใช้แอคติ้ง ท่ามวยแต่ละอย่าง มีการไหว้ครูที่เราก็ต้องเคารพพระเจ้าตาก แล้วก็มีฉากซับซ้อน วันนั้นทั้งวัน บางคนยืนจนเท้าพอง ต้องเอาให้เสร็จให้ได้วันนั้น ผมก็ประทับใจที่ทำได้เสร็จในวันนั้น เห็นความทุ่มเทของทุกคนทั้งนักแสดง ทีมงานทุกฝ่าย หรือแม้กระทั่งเอ็กซ์ตร้าที่มาฉากยืนล้อมดู ยืนตบมือ ยืนร้องเชียร์ ก็รู้สึกว่าเค้ามีความร่วมมือให้เป็นอย่างดีเลยครับ ยิ่งใหญ่มากครับฉากนี้ ต้องไปดูกัน"

"อยากให้ทุกคนมาดู ในเรื่องนี้ทั้งผม ผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานทุกคนก็ตั้งใจเต็มที่ อยากจะให้คนที่มาดูได้ทั้งความสนุกของหนังและเอกลักษณ์ของมวยไทย ได้ทั้งข้อคิดที่นำไปใช้ในชีวิตจริงๆ ได้ครับ" บัวขาว กล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook