ระบบเผาผลาญพังทำยังไงดี!!!

ระบบเผาผลาญพังทำยังไงดี!!!

ระบบเผาผลาญพังทำยังไงดี!!!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ก่อนที่จะตอบ ต้องขออ้างอิงข้อมูลเชิงวิชาการเพื่อให้เราได้วิเคราะห์ตัวเองคร่าวๆ ว่าร่างของเราพังถึงขั้นไหนกัน เพราะความพังแต่ละระดับก็มีวิธีการจัดการต่างกันไป เวลาที่เราพูดถึงระบบเผาผลาญพังกันอย่างแพร่หลาย พังกันมากมายอย่างกับโรคติดต่อ ประหนึ่งว่าร่างกายเป็นสินค้าจีนแดงที่พังกันง่ายๆ โดยส่วนมากมักมีอาการคล้ายกันคือ

ในเชิงวิชาการแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
Metabolic Compensation ระดับชดเชย
Metabolic Resistance ระดับต่อต้าน
Metabolic Damage ระดับพังพินาศ

โดยผมจะบอกสาเหตุ-อาการ-วิธีแก้ไขไว้ในแต่ละระดับนะครับ

1. Metabolic Compensation ระดับชดเชย

เกิดจาก การควบคุมอาหารแบบผิดวิธี จำกัดแคลอรี่ที่น้อยกว่าที่ควรได้รับ รวมถึงการขาดสารอาหาร โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรทที่เป็นแหล่งพลังงานหลักในการใช้ชีวิต อย่างต่อเนื่องยาวนาน (มากกว่า 2-3 เดือนขึ้นไป) โดยอาจเกิดจากการอดเองหรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาลดความอ้วน

ในช่วงแรกร่างกายจะใช้วิธีการนำไขมันสะสมและไกลโคเจนจากกล้ามเนื้อมาใช้งาน ซึ่งเป็นกลไกที่มีเพื่อใช้ชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อให้เรามีชีวิตรอด จึงทำให้น้ำหนักและไขมันลดลงมาได้ จึงทำคนส่วนใหญ่นึกว่าเป็นการลดความอ้วนแบบถูกวิธี เลยใช้วิธีนี้เป็นระยะเวลายาวนาน จนร่างกายเกิดความเครียดสะสม

ตรงนี้ให้ลองนึกภาพตาม แหล่งพลังงานสำคัญคือคาร์โบไฮเดรตจำกัดและพลังงานโดยรวมได้มาน้อย แหล่งพลังงานสะสมเดิมก็ร่อยหรอลงทุกวี่วัน ร่างกายเลยปรับตัวว่านี่ไม่ใช้การขาดอาหารชั่วคราว แต่เป็นเรื่องถาวรแล้ว

อาการ ร่างกายปรับโหมดเข้าสู่ภาวะเตรียมจำศีล คือการสะสมไขมันไว้ป้องกันว่าเดี๋ยวไม่มีอะไรจะกินจะได้มีแหล่งพลังงานสำรองไว้ใช้งาน ปรับตัวให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ไม่อยากอาหาร น้ำหนักและสัดส่วนที่เคยลดลงจึงไม่ลงต่อ แถมอาจมีการดีดกลับ และมีไขมันสะสมที่เพิ่มขึ้น เป็นการชดเชยพฤติกรรมการอดอาหาร

วิธีแก้ไข กลับมาควบคุมอาหารแบบถูกวิธี กินกระจายหลายๆมื้อ เลือกทานตามคุณภาพของสารอาหาร ให้อ่านวิธีคุมอาหารที่ถูกต้องจาก http://pantip.com/topic/35662498
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทั้งการเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อชดเชยกล้ามเนื้อที่เสียไปและเบิร์นอย่างต่อเนื่อง กินเยอะ (แบบมีคุณภาพ)+เล่นเยอะ
ในระดับนี้สามารถทำได้เลย เปลี่ยนได้เลย ไม่ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด เดี๋ยวร่างกายเรียนรู้ว่าเรามีพฤติกรรมใหม่ร่างกายก็ค่อยๆ ปรับมาได้เอง

2. Metabolic Resistance ระดับต่อต้าน

เกิดจาก พฤติกรรมต่อเนื่องจากการที่ควบคุมอาหารแบบผิดๆ โดยการอดอาหารและตัดคาร์โบไฮเดรต เป็นระยะเวลายาวนานแล้วน้ำหนักก็ยังไม่ลงสักที เริ่มกังวลและเครียดมากขึ้น เลยยิ่งพยายามออกกำลังกายให้หนักหน่วงขึ้น วิธีการไหนที่เค้าว่าเผาผลาญได้มากก็ไปทำ จะเริ่มค้นคว้าหากระบวนการทฤษฎีที่ล้ำลึกขึ้นเพื่อที่จะช่วยให้รับพลังงานให้น้อยที่สุดและร่างกายเผาผลาญได้สูงสุดเพื่อจะหลอกร่างกายหนักกว่าเดิม จนทำให้ร่างกายเครียดมากขึ้น
(คำว่าร่างกายเครียด ไม่ใช่เรามีความเครียดแบบเครียดงาน เครียดความรัก แต่เป็นความตึงเครียดของกลไกของร่างกาย)

อาการ ร่างกายเริ่มกลัวเราตายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพลังงานก็ไม่มี สารอาหารก็ขาดแคลน แต่เรายังตะบี้ตะบันใช้พลังงานอย่างหักโหม ระหว่างวันจึงไม่มีเรี่ยวมีแรง เหนื่อยหน่าย ซึมเศร้าง สมองไม่แล่น รู้สึกร่างกายต้องการความสดชื่น ต้องกินน้ำหวาน ของหวาน และทำให้เรากินแหลกตบะแตกได้ง่ายๆ แต่ตกกลางคืนจะรู้สึกกระวนกระวาย คึกคัก นอนหลับยาก

วิธีแก้ไข ใครที่มีพฤติกรรมอย่างที่ว่ามาและมีอาการประมาณนี้แล้ว สิ่งที่ควรทำคือปรับการใช้พลังงานและการรับพลังงานให้สอดคล้องกัน ซึ่งแน่นอนว่าเราเคยกินน้อยอยู่ ก็ให้เริ่มต้นจาก กินน้อย-เล่นเบา สัก 2-3 สัปดาห์ แล้วไปกินมาก-เล่นมาก อีก 2-3 สัปดาห์ แล้วก็กลับมาใหม่จนร่างกายเริ่มปรับตัวได้ แล้วค่อยไปสู่การควบคุมอาหารและออกกำลังกายปกติ
ระหว่างนี้ให้เลิกคิดคำว่า ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ไปก่อนเลย เพราะนี่คือโหมดฟื้นฟูตัวเอง
กินน้อย-กินมาก ให้สังเกตร่างกาย คือให้กินแบบกระจายมื้อ เลือกสารอาหารที่ดี แล้วกินให้พออิ่มแล้วหยุด ถ้ารู้สึกไม่อยากอาหารเลยให้กินกลุ่มโปรตีนที่ย่อยง่ายเช่น ปลา ไข่ เต้าหู้ เวย์ นม ประกอบกับคาร์โบไฮเดรทที่ดีเล็กน้อยในแต่ละมื้อ เพื่อฟื้นฟูซ่องแซมตัวเอง
เล่นเบา คือออกกำลังกายที่ไม่ตึงเครียดหักโหม อาจใช้วิธีการเดิน เล่นโยคะ ไทชิ รีแลกซ์สุขภาพจิตไปในตัว
เล่นหนัก คือออกกำลังกายแบบปกติคือการเวทและเบิร์น แต่ไม่ใช่การโหมหนักแบบเอาเป็นเอาตาย

3. Metabolic Damage ระดับพังพินาศ

เกิดจาก คนที่ผ่านขั้นที่ 2 มาแล้ว กินน้อยเล่นหนักมาเป็นปีๆ ก็แล้วแต่ยังไม่ได้ดั่งใจ ก็ยิ่งโหมทำเพิ่มขึ้นด้วยความเครียดความกดดัน ที่ว่ากินน้อยแล้วจะยิ่งกินแบบแมวดมจนถึงระดับไม่กินเลยเป็นวันๆ เห็นอะไรก็กลัวอ้วนไปหมด ออกกำลังกายก็แทบจะสิ้นใจกะเอาให้ตายกันไปข้างนึง

อาการ ชีวิตไร้เรี่ยวแรง ผิวแห้งกร้าน ผมร่วงแห้งกร้าน หน้าตาหม่นหมองเหมือนโดนของ นอนไม่หลับ Heart Rate ขึ้นสูง กระวนกระวายใจ ระบบย่อยพัง ท้องอืด ท้องเฟ้อ กรดไหลย้อน ท้องเสีย ระบบฮอร์โมนจะรวน ผู้หญิงประจำเดือนจะมาไม่ปกติ ผู้ชายจะเซ็กเสื่อม ปิกะจู้ไม่ทำงาน

วิธีแก้ไข อาการเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ผมแนะนำว่าควรไปพบแพทย์ทั้งทางกายภาพเพื่อตรวจร่างกาย เช็คระดับฮอร์โมนต่างๆ และควรไปหาจิตแพทย์ด้วย เนื่องจากเราฝังใจกับการลดความอ้วนมากเกิดไปแบบสะสมมาเป็นเวลายาวนาน

จะเห็นว่า เวลาพูดถึงระบบเผาผลาญพังของคนทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่ไม่มีใครไปถึงระดับที่ 3 ที่ระบบเผาผลาญพังอย่างแท้จริงสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะยอมแพ้ยกธงขาว ปล่อยให้อ้วนต่อไปตั้งแต่ระยะที่ 1 ไปจนถึงระยะที่ 2 กันไปก่อนแล้ว
หรือถึงแม้จะเข้ามาในระยะที่ 1 ก็จะยังไม่เข้าระยะที่ 2 แบบต่อเนื่องยาวนานเท่าไหร่ เพราะมันหนักหนาสาหัสมากกับการกินน้อยแต่ออกกำลังกายหนักหน่วง ผมจึงมักแนะนำหลายคนว่าระบบเผาผลาญมันยังไม่พังหรอกครับ มันยังดีอยู่มากๆ ด้วย เพราะมันยังตอบสนองไปตามพฤติกรรมที่เราทำ เพียงแต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร กลับคิดแค่ว่ากินน้อยออกกำลังกายเยอะก็ควรผอม ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ดังนั้นแค่เราเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเดี๋ยวร่างกายมันก็เปลี่ยนตามเองและเป็นข่าวดี!!!

เท่าที่ผมเจอทั้งในกระทู้พันทิปหรือที่สอบถามเข้ามา รวมถึงการสังเกตตัวเองในการลดความอ้วนที่ผ่านๆมาแล้วไม่สำเร็จ ผมและคนส่วนมากมักยังไม่เริ่มเข้าสู่ระดับที่ 1 ด้วยซ้ำ ซึ่งในระดับนี้ไม่มีในงานวิชาการรองรับแต่อย่างใด เป็นระยะที่ผมคิดขึ้นเอง เรียกว่า

“Mano Metabolic Damage มโนว่าระบบเผาผลาญพัง”

เกิดจาก ร้อยวันพันปีมีพฤติกรรมการกินที่เหลวแหลก กินกระจายไม่ควบคุม รวมถึงขี้เกียจสุดๆ ไม่เคยออกกำลังกายแค่คิดว่าต้องออกกำลังกายก็เหนื่อยแล้ว หวังพึ่งตัวช่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาลดความอ้วน อาหารเสริม จะจ่ายเท่าไหร่ไม่ว่าขออย่าได้ให้ขยับตัวเป็นพอ

ตอนกินให้อ้วนขุนกันมาเป็นปีๆ แต่พออยากผอมกลับอยากผอมแบบเสกได้ในวันสองวัน ใจร้อนอยากได้ผลลัพธ์เร็วๆ เลยเริ่มควบคุมอาหารแบบผิดวิธี อดๆ อยากๆ ตบะแตกง่ายๆ ออกกำลังกายแบบหนักๆจะได้ลดเร็วๆ เน้นเบิร์นเป็นหลัก เพราะอยากเผาผลาญไขมันเยอะๆ

อาการ ร่างกายยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แต่อยากกินนั่นกินนี่ตามพฤติกรรมเดิม ออกกำลังกายก็เหนื่อยเกินไป เมื่อก่อนไม่อยากออกกำลังกายอยู่แล้ว พอไปทำอะไรเหนื่อยๆหักโหมยิ่งไม่อยากไปเพราะเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองแบบสุดขั้ว

ส่วนมากเลยทำสักอาทิตย์ 2 อาทิตย์ พอไม่เปลี่ยนแปลงอะไรก็เริ่มหาแพะเพื่อที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ซึ่งแพะที่ดีที่สุดคือ ระบบเผาผลาญพัง!!! จะพังเพราะอ้วนเกินไป พังเพราะแก่แล้ว พังเพราะเคยกินอาหารเสริมลดความอ้วนมาก่อน ล้วนเป็นเป็นแพะที่ยกมาอ้างทั้งสิ้น เพราะไม่อย่างงั้นคนอ้วนเป็นร้อยๆกิโล เค้าก็ต้องไม่มีใครลดได้ คนแก่มากๆ 50-60 ขึ้น ก็ต้องอ้วนกันทุกคน

วิธีแก้ไข ทำความเข้าใจว่าการลดความอ้วนแบบถูกวิธีต้องใช้เวลา มันคือผลจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตแบบสะสม เป็นผลจากไลฟ์สไตล์ของเรา และผลการลดความอ้วนไม่ได้ลดแบบเป็นเส้นตรงในลักษณะที่ว่า แบบอยากลด 20 กิโลใน 5 เดือนเลยต้องลดให้ได้เดือนละ 4 กิโล แต่ในช่วงแรกประมาณ 1-2 เดือน ถ้าเราไม่อ้วนเป็นร้อยกิโล เราจะยังไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนัก

โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายแบบเวทและเบิร์นไปด้วยจะยิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงน้อย ดีไม่ดีน้ำหนักกับขนาดตัวอาจเพิ่มด้วยซ้ำ อย่างตัวผมเองช่วงเดือนแรกยังทรงๆ พอเข้าเดือนที่ 2 ถึงเริ่มเห็นรอย 6 แพคคู่แรกแบบจางๆ หลังจาก เดือนที่ 3 ถึงค่อยๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ถ้าเราใช้วิธีการที่ถูกต้องแล้ว เราแค่ลงมือทำไปเรื่อยๆแบบไม่เครียด ทำให้เป็นไลฟ์สไตล์เพื่อที่จะทำได้อย่างต่อเนื่องและอย่าไปเปรียบเทียบสรีระกับใครเพราะแต่ละคนมีกรรมพันธุ์ต่างกัน โครงสร้างร่างกายต่างกัน ขอให้เรารูปร่างดีแบบสุขภาพดี มีความสุขดีกว่าครับ

ขอขอบคุณบทความจาก : facebook.com/123change

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook