เรียนรู้และเข้าใจ "จู๋" อย่างถูกวิธี ผมไม่ได้มีเอาไว้ฉี่อย่างเดียวครับ

เรียนรู้และเข้าใจ "จู๋" อย่างถูกวิธี ผมไม่ได้มีเอาไว้ฉี่อย่างเดียวครับ

เรียนรู้และเข้าใจ "จู๋" อย่างถูกวิธี ผมไม่ได้มีเอาไว้ฉี่อย่างเดียวครับ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย พสุภา ชินวรโสภาค

สวัสดีครับ ผมชื่อ "จู๋" ครับ คนชอบจับคู่ผมกับ "จิ๋ม" แต่ก่อนที่จะจับผมไปคู่กับใคร มารู้จักผมก่อนดีไหมครับ

เมื่อเด็กคนหนึ่งเกิดมา จะมี จู๋ หรือ จิ๋ม เป็นอวัยวะที่ระบุเพศชายหรือหญิงในสูติบัตรหรือใบแจ้งเกิด มี 2 เพศให้เลือกเท่านั้น ซึ่งเป็นเพศสภาพทางกาย คือ ดูตามอวัยวะเพศภายนอกในวันที่ออกมาจากท้องแม่ ถ้าเป็น "จู๋" ก็จะเป็นเด็กชาย และเมื่อโตขึ้นอายุครบ 15 ปี จะถูกเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อจากเด็กชายเป็นนาย ไม่ว่าจะแต่งงาน ไม่แต่งงาน หรือหย่า ก็ยังคงใช้คำนำหน้าว่า "นาย" อยู่ ไม่ต้องเปลี่ยนเหมือนเด็กน้อยมี "จิ๋ม" ที่มีคำนำหน้าชื่อว่า เด็กหญิง นางสาว หรือนาง

และแม้ว่า เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้น และรู้จักตัวเอง เลือกได้ว่าตัวเองเป็นใคร ที่นอกเหนือจากชาย และหญิง แต่ทางกฎหมาย ทางราชการ ก็ยังต้องเป็นตามสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

นั่นเป็นเรื่องผมและจิ๋มกับทางราชการ ก็ให้ทางราชการว่ากันไปครับ

กลับมาเรื่องของเราดีกว่า ผมอยากจะแนะนำคุณให้รู้จักผมมากขึ้น โดยเริ่มจากอธิบายภาพรวมของผมให้เข้าใจกันก่อนนะครับ

ถ้าดูจากภายนอก อวัยวะเพศชาย มี 2 ส่วน คือ จู๋ หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า องคชาต มีรูปร่างเป็นท่อนยาว แกว่งไปมาได้ เป็นทางออกของน้ำบางอย่างในร่างกายผู้ชายนะครับ ตอนเด็กๆ ผมใช้ฉี่อย่างเดียว พอโตขึ้น ก็จะมีน้ำหล่อลื่น และน้ำอสุจิ ออกมาด้วยครับ นอกจากนี้ ผมยังมีอัณฑะ ที่มีรูปร่างเหมือนถุงห้อยๆ 2 ถุง อยู่ด้านหลังผม เป็นที่สร้าง เก็บอสุจิ และผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน อันเป็นฮอร์โมนผู้ชาย ที่ทำให้ผู้ชายมีเสียงห้าว มีหนวด เครา ขนหน้าแข้ง มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เห็นได้ชัดกว่าผู้หญิง ยิ่งถ้าออกกำลังกาย ก็จะมี six pack ได้ง่ายกว่าผู้หญิงด้วย

รอบๆ ผม มีขนด้วยครับ พอผมโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ขนนี้ ก็จะยาว หนา และหยิก มีไว้เพื่อป้องกันการเสียดสีระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และเป็นตัวกรองฝุ่นไม่ให้เข้าไปในจิ๋ม ขณะมีเพศสัมพันธ์ ถ้าขนยาวมาก ก็เล็มๆ ออกได้นะครับ

เนื่องจากผมจะเป็นที่รู้จักมากกว่า อัณฑะ ผมก็จะขอเล่าแต่เรื่องของผมนะครับ


โดยปกติ ส่วนหัวของผมก็จะอยู่ในหมวก หรือหนังหุ้มปลาย พอโตขึ้น หัวของผมก็ใหญ่ขึ้นด้วย ถ้าหัวของผมใหญ่กว่าหมวก หัวผมก็ดันหมวกโผล่ออกมาได้โดยธรรมชาติ เหมือนเต่าโผล่หัวออกมาจากกระดอง แต่ถ้าหมวกใหญ่กว่าหัวของผม ผมก็โผล่หัวออกมาเองไม่ได้ ต้องใช้มือช่วยดึงหมวกให้หัวโผล่ออกมา แต่ถ้าดึงยังไง ก็ดึงไม่ออก ก็ต้องไปถอดหมวกออกครับ ซึ่งนั่นคือ การ "ขริบ" นั่นเอง โดยที่หัวผมตอนหลุดจากหมวกจะเหมือนหมวกของเห็ดครับ

ลองเปรียบเทียบกับส่วนหัวจริงๆ ดูนะครับ ส่วนหัวเรา มีเหงื่อออก มีน้ำมันจากผม มีรังแค อาจจะมีเหาด้วย แล้วถ้าเราใส่หมวกตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ ก็หมักหมมอยู่ในหมวก ไม่มีทางออกไปไหน ทั้งสกปรก ทั้งเหม็น ไม่สบายหัว ถ้าถอดหมวกออกแล้วได้กลิ่น แทบจะอ้วกเลยครับ

หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม จึงกำหนดให้เด็กมุสลิมต้องถอด "หมวก" ออก ด้วยการขริบหนังหุ้มปลาย โดยขริบตั้งแต่เริ่มฝันเปียก เดี๋ยวผมจะเล่าต่อไปนะครับ ว่าฝันอะไร อะไรเปียก ซึ่งการขริบ ก็เพื่อรักษาความสะอาด ไม่ให้มีคราบไคล หรือที่เรียกว่า "ขี้เปียก" ไปตกค้าง หมักหมม ทำให้เกิดคราบ เกิดกลิ่น เป็นแหล่งเชื้อโรค และการขริบยังช่วยลดการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เด็กชายไปถอด "หมวก" ออกกันทุกคนเลยนะครับ ผมก็เลยอยากจะแนะนำให้ลูกผู้ชายทุกคนไปถอดหมวกออกกันครับ โดยไปขริบหนังหุ้มปลายได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่งเลย

"องค์การอนามัยโลก ได้แนะนำให้ขริบ เพราะจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของโรคเอดส์ และส่งเสริมให้มีการขริบในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอดส์ และการขริบมีข้อดีมากมาย เช่น สามารถลดอัตราการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินระบบปัสสาวะ มะเร็งองคชาต และมะเร็งปากมดลูก ที่เกิดจากเชื้อ HPV ที่สะสมในหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย อีกทั้งมีงานวิจัยยืนยันว่าการขริบ ไม่ทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง" (ที่มา http://www.medicalnewstoday.com/releases/129992.php)

ถ้าใครที่โผล่หัวออกจากหมวกได้ และไม่อยากถอดหมวกออกอย่างถาวร ก็ต้องทำความสะอาดดีๆ ขั้นตอนก็ง่ายๆ ครับ รูดหมวกให้ส่วนหัวผมออกมา ใช้น้ำราดหัวผม หรือใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำ ค่อยๆ เช็ด ฟอกด้วยสบู่ธรรมดา ล้างน้ำเปล่าให้สะอาดอีกครั้ง เช็ดให้แห้ง แล้วใส่หมวกกลับเหมือนเดิม การทำความสะอาดง่ายๆ แบบนี้ ควรจะทำทุกวันนะครับ หัวผมจะได้สะอาดไม่มีคราบ ไม่มีกลิ่น และเชื้อโรค

บางครั้ง ผมจะรู้สึกเจ็บหัว เป็นเพราะหมวกคลุมหัวผมเป็นหนังที่บางมากๆ เมื่อมีการเสียดสี หรือได้รับการกระแทก อาจจะทำให้หัวผมโนได้ บางครั้งก็เหมือนมีเม็ดผดขึ้น พอบีบก็จะมีไขมันขาวๆ ออกมา เหมือนสิวเลยครับ แต่ไม่ใช่หรอกครับ เป็นต่อมไขมันชนิดหนึ่ง ถ้าไม่มีอาการแสบ คัน อักเสบ ลุกลาม หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีต้องไปหาหมอนะครับ เพราะอาจจะไม่ใช่เม็ดไขมัน แต่เป็นตุ่มจากเชื้อรา เริม หรือโลนก็ได้ โดยหมอจะรักษาให้หาย ไม่ต้องทนเจ็บ ทนปวด อักเสบกลายเป็นโรคอื่นให้เจ็บหัวผมอีกต่อไป

บริเวณผิวของผมจะมีสีคล้ำกว่าผิวหนังบริเวณอื่นของร่างกาย แม้ว่าจะอยู่ในร่มผ้า ไม่โดนแดดก็ตาม เป็นเพราะการเสียดสีของผิวหนังอาจทำให้สีของผมคล้ำขึ้นได้ ซึ่งไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใดนะครับ แล้วก็ไม่ได้เป็นมะเร็งผิวหนังด้วย

อีกอย่าง เวลาผมแข็งตัว ตัวผมจะไม่ตรงเป็นไม้บรรทัดนะครับ ผมไม่ใช่ ท. ทหาร อดทน ที่สะพายปืนยืนหลังตรง ตัวผมจะงอๆ เหมือนกล้วยหอมที่งอ แต่ถ้าผมตัวงอ แบบหักศอก ตั้งฉาก 90 องศานี่ถือเป็นเรื่องไม่ปกติแล้วนะครับ อาจจะมีอะไรผิดปกติข้างใน พาผมไปหาหมอเลยนะครับนั่น

สำหรับส่วนสูง และรอบตัวผม
ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนอื่นได้ ของใครก็ของคนนั้น คนเรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ ไม่ต้องไปแคร์ใคร ใครจะใหญ่ จะเล็ก จะอ้วน จะผอม ก็ช่างเขา เราพอใจในสิ่งที่เรามีดีกว่าครับ

อย่างไรก็ดี ผมจะโตขึ้น ตามอายุที่เพิ่มขึ้น จนถึงวัยรุ่นตอนปลาย อายุประมาณ 22 - 23 ปี ผมก็จะหยุดโต และไม่ว่าจะมียาที่โฆษณาว่าทำให้ผมยาวขึ้น หรือใหญ่ขึ้นได้ อย่าไปหลงเชื่อนะครับ เป็นไปไม่ได้ ไม่จริงเลย เพราะไม่มีรายงานทางการแพทย์ใดๆ ในโลกนี้ ยืนยันว่า ยากิน ฉีด ทา นวด หรือฝังมุก จะทำให้ผมใหญ่ขึ้นอีกได้ ถ้าเชื่อและทำตาม จะเป็นการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าเกิดการอักเสบ เน่า อาจจะต้องตัดผมทิ้งได้ เสียดายแย่เลยครับ

เมื่อผมเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น น้ำที่ออกจากผม นอกจากฉี่แล้ว ก็มีน้ำหล่อลื่น และน้ำอสุจิ เพิ่มมาด้วย แต่ออกมาไม่พร้อมกันนะครับ น้ำหล่อลื่นจะออกมาตอนมีอารมณ์ทางเพศ เพื่อเตรียมพร้อมในการสอดใส่ ส่วนน้ำอสุจิจะออกมาตอนถึงจุดสุดยอด แล้วผมก็จะ "ฝันเปียก" ด้วยครับ ผมเคยพูดถึงฝันเปียกมาแล้ว ที่ว่า เด็กมุสลิม จะขริบเมื่อเริ่มฝันเปียก ซึ่งฝันเปียก คือ การหลั่งน้ำอสุจิตอนนอนหลับ เป็นสัญญาณว่า ผมเป็นหนุ่มแล้ว และถ้ามีเพศสัมพันธ์กับจิ๋มที่มีประจำเดือนแล้ว โดยไม่ป้องกัน ก็จะมีลูกได้

เมื่อมีอารมณ์ทางเพศ ตัวผมจะแข็ง ถ้าไม่มีใครให้ผมสอดใส่ ก็ใช้มือช่วยตัวเองครับ เรียกว่า "ชักว่าว" ซึ่งเป็นคำที่เด็กวัยรุ่นใช้ค้นหามากที่สุดใน www.teenpath.net ชุมชนแห่งการเรียนรู้เพศศึกษา เมื่อปลายปี 2554 (ข่าวจาก MatichonOnlinehttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327216108&grpid=03&catid=03) แต่การช่วยตัวเองโดยทำแรงๆ อาจจะทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ทำให้รู้สึกแสบ ขัด เวลาฉี่ และปวดบริเวณเอวได้

ถ้าผมจะมีอะไรกับจิ๋ม หรือคนที่มีจู๋ (มีทางตูดนะครับ ไม่ใช่เอาจู๋มาพันกัน) ก็เป็นเรื่องปกติครับ เพศสัมพันธ์มีได้ และมีกับใครก็ได้ หมายถึงเพศเดียวกัน หรือต่างเพศ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ และไม่ต้องมีอายุมากำหนด แต่ผมอยากให้ป้องกันผมหน่อยนะครับ และเป็นการป้องกันคู่ด้วย ซึ่งการป้องกันที่ดีที่สุด คือ ใช้ถุงยางอนามัย ที่ป้องกันได้ทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการท้อง แต่ต้องใส่ถุงยางอนามัยให้ถูกต้อง ถูกขนาดด้วยนะครับ ใส่ให้ถูกด้าน ไล่อากาศออก ไม่ใช้ถุงยางเสื่อม หมดอายุ หรือใช้ซ้ำ ถุงยาง 1 อัน ใช้ได้ 1 ครั้งเท่านั้นนะครับ

ถ้าต้องใช้สารหล่อลื่น โดยเฉพาะเวลาเอาผมเข้าไปทางตูด เพราะตูดไม่มีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ ก็ต้องใช้สารหล่อลื่นชนิดน้ำ หรือที่รู้จักว่า "เค-วาย เจล" ซึ่งจะต่างจากเจลชนิดน้ำมัน หรือปิโตรเคมี อย่างวาสลีน โลชั่น หรือออยล์ เพราะถ้าเราใช้เจลชนิดน้ำมัน จะทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพ และอาจแตกได้ง่ายเมื่อมีการเสียดสี

ถ้าใช้ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นไม่ถูกต้อง จะทำให้ถุงยางแตก รั่ว หรือหลุดได้ ก็จะทำให้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือท้องได้นะครับ

เรื่องแบบนี้ ทำด้วยกัน ก็ต้องรับผิดชอบด้วยกันครับ ถ้าไม่ป้องกัน ผู้ชายอาจจะโชคดีกว่า ที่ไม่ต้องท้อง แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะไม่ติดโรค (อันนี้คิดแบบเห็นแก่ตัวนิดนึงนะครับ)

สมัยนี้ ถุงยางอนามัยแจกฟรีก็มีครับ ที่โรงพยาบาลรัฐ หรือสำนักงานสาธารณสุขทั่วประเทศ จะหาซื้อก็ง่าย มีหลายแบบ หลายกลิ่น ให้เลือก ร้านค้าสะดวกซื้อก็มีขายทุกร้าน แต่อาจจะไม่มีขายในโรงเรียน ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ เด็กวัยรุ่นสมัยนี้โตเร็วกว่าสมัยก่อน ด้วยสรีระร่างกาย สิ่งแวดล้อม สื่อรอบตัว เด็กจะมีอะไรกับใคร เมื่อไหร่ ใครจะไปห้ามได้ละครับ สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำได้และควรทำ คือ สอนให้เด็กรู้จักการป้องกัน สอนให้เด็กรักตัวเอง ดูแลตัวเองดีๆ จะได้ไม่ติดโรค และไม่ท้องในวัยเรียน


ผมว่า ใครๆ ก็อยากใช้ผมไปนานๆ ซึ่งจะใช้ได้นานๆ ก็ต้องดูแลผมให้ดีนะครับ ต้องรักษาความสะอาด ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ถ้าเป็นโรค ก็ต้องไปหาหมอเพื่อรักษาให้ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามากินเอง แค่นี้ ก็พอแล้ว ง่ายๆ ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ



ดูแลผมดีๆ นะครับ เพื่อคนที่คุณรัก และตัวคุณเอง


รักนะ.... จุ๊บุ จุ๊บุ

จู๋ครับผม!

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook