โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ วันนี้เขาไม่บูชาความรักเช่นนั้นอีกแล้ว

โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ วันนี้เขาไม่บูชาความรักเช่นนั้นอีกแล้ว

โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ วันนี้เขาไม่บูชาความรักเช่นนั้นอีกแล้ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จริงๆ ก็ใช่ว่าผลงานของเขาไม่โดดเด่น แต่เหตุที่ผู้คนมักจดจำแต่เรื่องส่วนตัวของ ‘โตโน่’ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ได้มากกว่าเรื่องงาน ก็เพราะคนไทยโปรดปรานการเสพ ‘ข่าวร้ายของคนอื่น’ และอีกเหตุผลหนึ่งมาจากตัวตนของภาคินเอง... เราจะพูดไงดี ฉายา ‘ซุปตาร์บ้านนอก’ ไม่ได้ได้มาแค่เพราะเขาเป็นชาวขอนแก่นและพูดเหน่อ แต่นี่คือชายหนุ่มผู้บูชาความรักในนิยามที่คลาสสิกที่สุดของคำว่า ‘ความรัก’ เมื่อเขารัก เขาตามจีบ เขาสักชื่อเธอ เขาทุ่มเทและแสดงออก ชีวิตและจิตใจเขามอบให้เธอ (กะอีแค่เปลี่ยนศาสนา ปัดโธ่ ทำไมจะไม่) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันเร็วไป ช่างโง่เขลา เสียงานเสียการ แล้ววันหนึ่งเขาจะต้องเสียใจ ซึ่งวันนั้นก็ได้เดินทางมาถึง และมันก็ผ่านไปแล้ว ภาคินยังอยู่ดี ยังมีชื่อเสียง ยังคงเป็นคนตรงๆ ยังคงพูดเหน่อ (น่าเอ็นดู... ขอย้ำ!) เพียงแค่วันนี้เขาไม่บูชาความรักเช่นนั้นอีกแล้ว

ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ หรือ ‘โตโน่’ มีเชื้อจีน 50 เปอร์เซ็นต์

แต่หน้าตาเหมือนมีอยู่เต็มร้อย จึงเป็นเหตุผลให้เราเลือกมาถ่ายทำกันที่เยาวราชในคอนเซ็ปต์เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ท่ามกลางบรรยากาศแบบต้นตำรับแท้ๆ เราเข้าไปถ่ายในร้านตัดผมและในบ่อนการพนัน ภาคินตัวจริงห่างไกลจากคำว่าเจ้าพ่อ แต่พูดได้ว่าเขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่อ่อนต่อโลกสีเทา “ขอไม่อธิบายมากไปกว่านี้นะฮะ มันไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี” เห็นได้ชัดว่าเขาระวังคำพูดมากขึ้น มรสุมข่าวฉาวคงมีผลต่อบุคลิกภาพของเขาไม่มากก็น้อย

“อาม่าผมเป็นคนจีนแท้ แต่แม่เป็นไทยอีสาน ผมโตมากับครอบครัวที่เลี้ยงแบบอีสานครับ โตมาด้วยส้มตำข้าวเหนียว” เขาเว้นช่วงสักพัก “และไม้เรียว” วันนี้ทั้งภาคินและแม่ได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นคู่แม่ลูกหวานชื่น เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ยืนยันว่าการเลี้ยงลูกด้วยไม้เรียวสไตล์ไทย ถ้าทำด้วยความรักความเอ็นดูก็ไม่ได้ทำลายสายใยความผูกพันแต่ประการใด “โอ๊ย แม่ผมตีเยอะ บ้านผมเป็น ‘บ้านตีลูก’ เพราะเป็นบ้านสวนด้วย มีต้นมะยมหลายต้น เลยโดนก้านมะยมประจำครับ แต่ก็มีโดนไม้แขวนเสื้อบ้าง”

กระนั้นเขาก็มั่นใจว่าเขาไม่ใช่เด็กเกเรเกินปกติ “ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนเรียบร้อยนะครับผมว่า แต่เพิ่งจะมาซนจริงๆ คือตอนที่คุณพ่อเสีย ผมประมาณ 9 ขวบ พ่อเป็นเส้นเลือดใหญ่แตกในสมอง พอพ่อตายมันก็เหมือนกับ... คือเมื่อก่อนเราจะเชื่อฟังพ่อ นึกออกไหมครับ ไม่กลัวแม่ คราวนี้พอไม่มีพ่อแล้ว เราก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำอะไรตามความคิดของตัวเอง ทำให้มีทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง เวลาไม่ดีแม่ก็ต้องหนักใจไป”

“คุณอยู่ขอนแก่นถึงอายุเท่าไหร่”

“18 ครับ”

“ความทรงจำไหนที่คิดถึงที่สุด” เขาคิดนาน “ผมคิดถึงเพื่อน คิดถึงสังคมที่... ความรับผิดชอบไม่ได้สูงเหมือนทุกวันนี้ เอาแค่ตัวเองให้รอด แค่ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของคนอื่น จะรวยจะจนแต่ก็ไม่ได้ไปขอใครกิน มันสบายกว่าเยอะ เป็นเราได้เต็มที่”

หลังจากที่พ่อเสีย ครอบครัวขาดเสาหลัก ท่ามกลางสภาพหนี้เกือบ 20 ล้านเพราะเป็นยุคฟองสบู่แตกพอดี แม่ไม่เคยขอให้เขาต้องออกมาทำงาน แต่เขารู้ด้วยตัวเองว่าเขาไม่ควรขอเงินแม่ และด้วยเหตุผลนั้นเขาจึงทำงาน และทำมาตั้งแต่เด็ก “อาชีพแรกคือขายของเก่า เอาพวกเทป ของเล่นเก่าไปขายครับ โตมาสักหน่อยก็ปั่นจักรยานแจกโบรชัวร์ได้วันละ 250 เอาไปเสียบตามที่ปัดน้ำฝนรถยนต์ อะไรอย่างนี้ครับ ผมมีพ่อเป็นแบบอย่าง ก็เลยอยากเป็นผู้นำ อยากดูแลแม่ได้ เลยพยายามทำทุกอย่างให้ได้เงินมา”

เดาได้เลยว่ารายได้พิเศษจากเด็กที่ยังเรียนไม่จบไม่พอใช้หนี้ 20 ล้านแน่ แม่ของเขาจึงทยอยขายสมบัติ ขายทุกอย่างที่มีเพื่อใช้หนี้ จนในที่สุดก็ขายบ้าน นี่เป็นนิยายคลาสสิกที่เกิดขึ้นจริงกับครอบครัวไทยจำนวนมากในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง “แต่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องเศร้าอะไรแบบนั้น เราเสียใจที่พ่อตายมากกว่าที่จะมาแบบว่า โอ๊ย ทำไมบ้านต้องจน อะไรอย่างนี้ เพราะว่าละแวกบ้านเรามันก็เป็นละแวกคนหาเช้ากินค่ำกันทุกคน หลังบ้านผมก็เป็นสลัม ซอยที่ผมอยู่ก็เต็มไปด้วยโต๊ะบอล เต็มไปด้วยบาคาร่า ผมเห็นคนเสียบ้านเสียรถมาไม่รู้เท่าไหร่”

“ตอนนั้นคุณไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้าย?”

“จุดที่เราอยู่มันไม่ได้เลวร้าย” ภาคินพยายามคิดหาคำพูด “ในความคิดเรานะ คือขอแค่มีสตางค์จ่ายค่าน้ำค่าไฟ มันก็อยู่ได้แล้ว เราไม่ได้คิดว่าจะต้องอยากได้ของแพงๆ คือไม่เหมือนกับสังคมที่ผมอยู่ในปัจจุบันนี้ครับ สังคมที่ผมอยู่ทุกวันนี้ ค่ากระเป๋าใบเดียวผมก็อยู่ได้ทั้งปีแล้ว”

แน่นอนว่ารายได้ของภาคินในวันนี้ห่างไกลจากวันที่เขายังตระเวนแจกโบรชัวร์หลายร้อยเท่า เขาขับบีเอ็มดับเบิลยู ยี่ห้อเดิมแต่คันใหม่ และเพิ่งถอยบิ๊กไบค์คันหล่อ Zero Engineering ซึ่งเขายิ้มกวนๆ แล้วพูดเสริมต่อว่า “นั่งได้แค่คนเดียวด้วย” แล้วจะให้สก๊อยนั่งไหน เราถาม เขายิ้มแล้วตอบสั้นๆ “ไม่มี”

ภาคินเป็นผู้ชายประเภทที่ผู้ชายด้วยกันจะคิดว่าไอ้นี่แม่งน่าหมั่นไส้ วีรกรรมทำเพื่อรักในอดีตของเขาเป็นสิ่งที่หลายคนฝันอยากทำแต่ไม่กล้าทำ เพราะกลัวถูกหาว่าหน้าโง่ แต่ภาคินไม่กลัว เขายอมโง่ เมื่อเขาตัดสินใจเป็นโสด นางเอกสาวกรีดข้อมือและพยายามกินยาฆ่าตัวตาย ผ่านไปสักพักนางเอกสาวอีกคนก็โปรยผ้าเช็ดหน้ารอวันจะได้เป็นแฟนเขา แต่แล้วก็ต้องเงิบไป เพราะเขาอยากเป็นแค่เพื่อน ไม่นานต่อมาเขาก็มีสาวเพลย์บอยโคตรเซ็กซี่เป็นเพื่อนคุย แต่อาตี๋ก็ยังไม่ยอมรับใครเป็นแฟน ด้วยเหตุผลว่า ‘ไม่พร้อม’... มันน่าไหมล่ะ

“ถ้าผมจะรักใครอีกเหรอ... จริงๆ ความรักยังคงเหมือนเดิมนะ ความรักไม่ได้เปลี่ยนไป ผมยังคงคิดว่าความรักมันยิ่งใหญ่ เพียงแต่... นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาทำทุกอย่างเพื่อความรัก”

นิสัยนิ่งคิดแล้วค่อยพูดของภาคิน

ทำให้จังหวะในการสนทนาของเราแตกต่างจากการสัมภาษณ์คนดังทั่วไป จะว่ามันเนือยๆ ก็ไม่เชิง จะว่ามันน่าเบื่อก็ยิ่งไม่ใช่ ภาคินไม่ใช่ซุปตาร์ประเภทที่พยายามพูดให้น้อยเพราะขี้เกียจพูด เพียงแต่เขาคิดกับทุกคำตอบมาก มากซะจนเกือบจะกลายเป็นความเครียด ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าเขาจะเครียด ชีวิตรักที่จบลงอย่างสะบักสะบอมของเขาเป็นน้ำจิ้มยามเช้าสำหรับคอดราม่าชาวไทยอย่างต่อเนื่องหลายเดือน สยามประเทศแทบจะแบ่งแยกแตกเป็นสองฝ่ายคือทีมเขาและทีมเธอ ซึ่งทั้งสองทีมก็ไม่ได้มีใครรู้ดีไปกว่ากัน ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น แต่คนไทยก็เสพเรื่องส่วนตัวของพวกเขาเป็นความบันเทิงอย่างอิ่มหนำ เราไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันไหม แต่เราอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงชอบเรียกตัวเองว่า ‘ปีศาจ’

“มันคงเป็นเพราะว่าผมรู้สึกอึดอัด”

“เรื่องอะไร”

“อึดอัดที่โดนมอง โดนเพ่งเล็ง โดนตีความไปต่างๆ นานา เหมือนกับ... ชีวิตผมมันมีไว้ให้ใครตีความก็ได้ ตีความดีก็ดีไป ตีความเลวก็เลวไป ผมก็เลยมีความรู้สึกว่า เออ ผมก็เป็นของผมแบบนี้ละกัน แล้วแต่คนจะมอง จะมองผมเป็นปีศาจก็ได้ ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมชอบคำนี้ เลยกลายเป็นเรียกติดปาก กลายเป็นฉายาไป
“สังคมไทยไม่ค่อยถนัดในการพูดถึงผลงาน เวลามีคอนเสิร์ตมา เขาจะไม่พูดว่าบนเวทีโคตรมันอย่างไร แต่สังคมจะไปพูดว่าผม...” ภาคินเงียบไปอีก เราเดาว่าเขาคงกำลังคิดถึงเรื่องที่ถอดเสื้อเล่นคอนเสิร์ตวันแม่ แล้วถูก ‘ชาวเน็ต’ จวกว่าไม่เหมาะสม (เพราะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระราชินีอยู่ด้านหลัง) แต่เหมือนเขาเปลี่ยนใจ

“สังคมจะสนใจว่าวันนี้ผมไปกินข้าวกับใคร กินอะไร กินที่ไหน... คือผมว่าถ้าเราจะมองว่าสังคมมันโหดร้าย มันก็โหดร้าย แต่ผมพยายามทำความเข้าใจมันมากกว่าครับ สิ่งที่เรามองว่าเป็นลบ เช่น เราไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปได้ เรื่องเล็กของเราสามารถเป็นเรื่องใหญ่ได้ อะไรที่คนอื่นทำได้ เราทำไม่ได้ นี่คือข้อลบ แต่กลับกันเรามีโอกาสทำให้อีกกี่คนเขามีความสุขมาก และมีโอกาสดีๆ เข้ามามากในชีวิต ผมต้องพยายามมองแง่ดีไว้ครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแรงทำงาน เพราะเวลากำลังใจหมดมันก็เพิ่มได้ไงครับ ผมเสียใจได้ไม่นานเพราะว่าเราต้องทำงานต่อ ถ้าผมอ่อนแอ แล้วแม่ผมล่ะ วงผมล่ะ คนที่ผมต้องดูแลมีกี่คน คนที่ผมต้องรับผิดชอบ แฟนคลับที่ตามผมมาหกปีคอยให้กำลังใจ อยู่ออสเตรเลียก็ยังซื้อตั๋วเครื่องบินมาดู แล้วผมต้องมาท้อกับแค่ขี้ปากคนเหรอครับ”

เราทดลองค้นคำในกูเกิล แล้วก็เห็นตัวเลขที่น่าเห็นใจ
โตโน่ + แพท (อดีตคู่จิ้น) ผลการค้นหา = 3,190,000
โตโน่ + เมกัส (คนคุยปัจจุบัน) ผลการค้นหา = 2,430,000
โตโน่ + บีเอ็ม (รถเจ้าปัญหา) ผลการค้นหา = 1,930,000
โตโน่ + แตงโม (แฟนเก่า) ผลการค้นหา = 801,000
Tono & The Dust (วงดนตรี) ผลการค้นหา = 421,000

เมื่อเดือนกันยายน ภาคินจัดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อหารายได้ไปปลูกต้นพะยูงที่จังหวัดอุดรธานี โดยหวังให้เป็นป่าพะยูงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คุณจะลองกูเกิลชื่อเขากับคำว่าพะยูงดูก็ได้ คุณจะพบว่ามีคนสนใจเรื่องดีๆ นี้อย่างจริงจังตั้ง 5 เว็บไซต์แน่ะ! ผลการค้นหาอื่นที่ขึ้นมาอีกรัวๆ เป็นการโฟกัสข่าวรักๆ ใคร่ๆ ของเขา โดยพ่วงเรื่องปลูกป่าพะยูงให้เป็นติ่งอยู่ท้ายข่าว เรายอมมอบพื้นที่ให้เขาพูดถึงสิ่งที่เขาอยากพูดจริงๆ บ้าง

“ดนตรีกับผมเหรอ ตอนเด็กๆ ผมเล่นไม่เก่ง ร้องก็ร้องไม่เก่งครับ พ่อผมชอบฟังคาราบาว เปิดอัสนี-วสันต์ เปิดไมโคร เราก็ชอบฟัง โห เท่ เวลาฟังเพลงก็จะนึกตามว่าเราเป็นคนในเพลงคนนั้นหรือเปล่า คิดถึงผู้หญิงที่เราชอบ แบบวัยรุ่นน่ะครับ ตอนเด็กมีแค่นั้น พอโตขึ้นมา วันที่เรารู้สึกเลยว่ามีความสุขคือวันที่ได้มาร้องกับวงครับ เป็นวงของมหาวิทยาลัย วันนั้นนักร้องของมหาวิทยาลัยป่วย ผมไปเตะบอล แล้วไม่มีนักร้อง ผมเลยไปร้องเพลง ‘ยาพิษ’ ของบอดี้สแลม จากนั้นชีวิตก็เล่นดนตรี อยู่กับวง มีความสุขครับ ไม่รู้สึกเหนื่อยกับมัน ทั้งที่ร้องทั้งคืนได้แค่ 300-350 นอนก็ดึก ต้องตื่นเช้ามาเรียน ตอนเย็นขายนม ตอนกลางคืนเล่นดนตรีอีก”

“นอกจากขายของเก่า ขี่จักรยานแจกโบรชัวร์แล้ว คุณยังขายนมด้วย?”

“ใช่ๆ เปิดร้านนมที่ใต้หอพักครับ ขายนม ขนมปังปิ้ง อ้อ แล้วก็เคยทำตู้เติมเงินอีกอย่าง ผมซื้อตู้เติมเงินมือถือต่อจากคุณลุง เป็นธุรกิจเล็กๆ มีอยู่ 5-6 เครื่อง แต่ผมเป็นคนไม่ทำงานประจำเลย ตู้เติมเงินมือถือมันไม่กวนเวลาผม เวลาว่างผมก็ไปเล่นดนตรี ครบกำหนดผมก็มาเอาเงินในตู้เติมเงินเข้าซิม นั่นแหละครับ ชีวิตผมเมื่อก่อน”

ส่วนชีวิตในปัจจุบัน วงดนตรี Tono & The Dust ของเขาได้รับเชิญไปทัวร์ยุโรปปลายปีนี้ และต่อด้วยอเมริกาในปีหน้า ภาคินย้ำเสมอว่าทุกวันนี้เขามาไกลเกินฝัน เด็กหนุ่มห้าคนกับดนตรีร็อกคือส่วนผสมชั้นดีของความคลั่งไคล้ พวกเขาเป็นเจ้าแห่งการถอดเสื้อบนเวทีและปาข้าวของให้แฟนๆ “จะมองว่าฟุ่มเฟือยก็ฟุ่มเฟือยนะครับ แต่ที่ผมซื้อบ่อยและหมดเงินไปกับมันเยอะ คือผมชอบซื้อของมาโยนแจกคนเวลาเล่นคอนเสิร์ต ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา เป็นเสื้อ ซึ่งแต่ละอย่างมันไม่ใช่หลักร้อยนะครับ หลายพัน บางอย่างเป็นหมื่น แว่นก็ของแท้ เสื้อก็ของแท้ เพราะผมอยากให้คนรู้สึกว่าตัวเองได้ของดีไป...” เขาหยุด แต่เหมือนยังพูดไม่จบ

“ไม่รู้สิ ผมสะใจ”

เรื่อง: แป้งร่ำ
ภาพ: ธาดา วารีช
Fashion Editor: Pop Kampol

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook