กระทิง พูนผล จะมีใครรู้เรื่อง ‘สตาร์ทอัพ’ ดีไปกว่าเขา

กระทิง พูนผล จะมีใครรู้เรื่อง ‘สตาร์ทอัพ’ ดีไปกว่าเขา

กระทิง พูนผล จะมีใครรู้เรื่อง ‘สตาร์ทอัพ’ ดีไปกว่าเขา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่อง: Arinn
ภาพ: แสงอรุณ จำปาวัน

เขานอนวันละ 4 ชั่วโมง ไม่ใช่เขานอนไม่หลับ แต่เขาทำงานหนักสมชื่อ ‘กระทิง’
ปี 2555 เขาก่อตั้งโรงเรียนบ่มเพาะสตาร์ทอัพไทยในชื่อ Disrupt University
ปี 2558 ก่อตั้งกองทุน 500 TukTuks เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

ทุกวันนี้วงจรชีวิตของเขาก็ประมาณว่าสอนสตาร์ทอัพไทยรุ่นใหม่ๆ พอจบคอร์สแล้วก็พาสตาร์ทอัพที่น่าสนใจไปเจอนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มีพาไปออกสื่อ พร้อมๆ กับ 500 TukTuks ก็ลงทุนในสตาร์ทอัพเหล่านี้บ้าง ส่วนตัวชีวิตเขาเองนอกจากเรื่องเหล่านี้ ก็มีถูกเชิญไปพูดตามงานสตาร์ทอัพ ออกสื่อให้สัมภาษณ์บ้าง

เขาทำทั้งหมดนี้เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า สตาร์ทอัพ อีโค ซิสเต็มส์ ของเมืองไทยให้แข็งแกร่ง ถามเกี่ยวกับเรื่องสตาร์ทอัพ บอกได้เลยว่าคุณมาถามคนชื่อกระทิง พูนผล รับรองไม่ผิดหวัง เพราะเขารู้ดีกว่าใคร สมฉายา ‘Godfather of Thai Tech Startup’

ช่วงนี้ดูเหมือนหันไปทางไหนก็เจอแต่สตาร์ทอัพเต็มไปหมด เราอยากให้คุณอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยตอนนี้
ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ คือเราทำกันมาตั้งแต่ปี 2555 เป็นเหมือนการหยอดเม็ดบัวเข้าไปใต้น้ำ ใช้เวลา 4 ปีในการทำให้เม็ดบัวโผล่พ้นน้ำ สร้างสตาร์ทอัพ อีโค ซิสเต็มส์ ช่วงนี้มันเลยเทคออฟ ปีที่แล้วสตาร์ทอัพไทยมีการลงทุน 60 ล้านเหรียญ (ประมาณ 2,100 ล้านบาท) พอปี 2559 มันก็พิสูจน์แล้วว่าสตาร์ทอัพมาจริงๆ มีสัญญาณที่ดีหลายอย่าง แค่ครึ่งปีแรกสตาร์ทอัพไทยลงทุนไปแล้ว 100 ล้านเหรียญ (ประมาณ 3,500 ล้านบาท) เราเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้สตาร์ทอัพไทยน่าจะระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญ (ประมาณ 7,000 ล้านบาท) จะเห็นเลยว่าจำนวนเงินที่ระดมได้เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกปี ฉะนั้นมันโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจำนวน คุณภาพ และเงินที่ระดมทุนได้ ไหนจะมีข่าวดีเรื่อง Exit อีก

Exit คืออะไร
หมายความว่าสตาร์ทอัพสามารถขายบริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือขายให้บริษัทอื่นๆ เช่น Wongnai ระดมทุนได้จาก Invent ซึ่งเป็นดีลที่ใหญ่มาก หรืออย่าง Omise ที่ 500 TukTuks เข้าไปลงทุน แล้วระดมทุนต่อเนื่องได้ 600 กว่าล้านบาท คือลักษณะของสตาร์ทอัพจะเป็นแบบนี้ ตอนแรกมีโปรดักต์ มีทีม พอเริ่มมีลูกค้า ก็ระดมทุนเข้าไป สร้างการเติบโตซึ่งจะโตเป็นสิบๆ เท่าต่อปี แล้วมูลค่าบริษัทก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งความเป็นไปได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเงินทุนจากนักลงทุนภายนอกและโมเดลธุรกิจ

ถามตรงๆ เงินพวกนี้มาจากไหน
นักลงทุนในสตาร์ทอัพมีสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือ Angel Investor หรือนักลงทุนเทวดา และกลุ่มที่สองคือนักลงทุนมืออาชีพ ก็แบ่งเป็น Corporate และ Venture Capital ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบหลัง คือนักลงทุนร่วมทุน ปกติสตาร์ทอัพยังไม่มีรายได้ในตอนแรก เช่นมีแอพตัวหนึ่ง มีคนใช้หลักหมื่นหลักแสนคน แต่ไม่มีรายได้ คุณไปกู้ธนาคาร เขาไม่ให้กู้อยู่แล้ว ฉะนั้นแหล่งเงินทุนของสตาร์ทอัพคือการร่วมลงทุนจาก Venture Capital คือการให้เงินและเข้ามาถือหุ้น ถ้าสตาร์ทอัพเจ๊ง นักลงทุนก็เจ๊งไปด้วย เป็นการลงทุนร่วมทุนและร่วมเสี่ยง นับว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสตาร์ทอัพ อีโค ซิสเต็มส์ ซึ่งถ้าไม่มีตรงนี้ สตาร์ทอัพจะไม่โตเลยเพราะไม่มีใครกล้าให้เงินกับพวกเขา คราวนี้พอมันโตขึ้นก็ก่อให้เกิดวงจรป้อนกลับเชิงบวก สตาร์ทอัพยิ่งโตมากขึ้น นักลงทุนก็จับตามอง ยิ่งขายบริษัทได้ ยิ่งสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน นักลงทุนก็ไหลเข้ามาเรื่อยๆ

จากเด็กต่างจังหวัดได้ไปเรียนที่สแตนฟอร์ด แถมได้ทำงานในซิลิคอนแวลลีย์กับบริษัทอย่าง Google จนมาเปิดโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพในเมืองไทย คุณคิดว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้คุณก้าวมาได้ไกลถึงขนาดนี้
ง่ายมากเลยครับมันคือแพชชั่นที่เกิดจากครอบครัว คือคุณพ่อผมทำโครงการพัฒนาที่ดิน ปกติเขาไม่เคยอยู่บ้านเลยตลอด 20-30 ปี กลับบ้านปีละครั้งสองครั้ง พัฒนาที่ดินตามชายแดน ถางป่ารกชัฏ สร้างโรงเรียน สร้างบ้าน สร้างเกษตรกรรม สร้างชุมชนให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง เขาทำด้วยอุดมการณ์ จากคนชายขอบสามารถสร้างชีวิตสร้างครอบครัวขึ้นมาเองได้ แล้วบ้านผมไม่ได้รวย บ้านหลังเล็กๆ มีเด็กผู้ใหญ่อยู่กันเป็นสิบคน ผมเป็นคนจังหวัดกำแพงเพชร สิ่งที่เรามองเป็นเรื่องอุดมการณ์ การเปลี่ยนแปลง ทำอย่างไรให้โลกดีขึ้น

อย่างคุณแม่ผมเป็นโรคหอบหืด เคยหยุดหายใจ 7 ครั้งในชีวิต มีครั้งหนึ่งหยุดหายใจไปเกือบ 1 นาที ตามกฎหมายคือเสียชีวิตไปแล้ว ตัวเขียวทั้งตัว ต้องเสียบสายออกซิเจนเข้าไปถึงก้านปอดเพื่อให้ออกซิเจนเข้าโดยตรง ตอนนั้นคือเขาละเมอขอมีชีวิตอยู่ต่อ ซึ่งทุกวันนี้แม่ผมก็ชอบเล่าเรื่องนี้ให้ฟังด้วยความภูมิใจว่า เอาชนะได้แม้กระทั่งความตาย ฉะนั้นลูกก็ต้องเอาชนะปัญหาได้ทุกอย่าง เป็นพลังที่ได้จากคุณแม่ ชื่อกระทิงคือการขวิดเอาชนะทุกอย่าง เพราะตอนเกิดผมตัวเล็กมาก ต้องใช้คีมคีบหัวออกมา แล้วเป็นเด็กในตู้อบ

ทำไมถึงต้องก่อตั้ง Disrupt University เพื่อบ่มเพราะสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ๆ
วิธีการสร้างสตาร์ทอัพ อีโค ซิสเต็มส์ ที่ดีที่สุดคือการสร้างผู้ประกอบการ การสร้างคน นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาสู่เมืองไทย และสร้างอนาคตของประเทศ เวลาผมสอนเขา ผมก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาตั้งใจไหมเวลาเรียน สอนตั้งแต่หาไอเดีย แปลงไอเดียเป็นผลิตภัณฑ์ โมเดลธุรกิจและระดมทุนกับนักลงทุน ทั้งหมดนี้เป็นการประเมินตัวผู้ก่อตั้งไปในตัว
ผมเอาประสบการณ์จากซิลิคอนแวลลีย์มาสอนเด็กไทย เปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2555 ทำมา 12 รุ่น จบมาแล้ว 620 คน สิ้นปีนี้ครบ 700 คน มีนักเรียนระดมทุนได้ 700 ล้านบาท และมีมูลค่าบริษัทรวมกัน 80 ล้านเหรียญหรือประมาณ 2,800 ล้านบาท สิ้นปี 2017 เราจะมีนักเรียน 1,000 คน

แล้วกองทุน 500 TukTuks ล่ะ เกิดขึ้นได้อย่างไร
ช่วงปี 2557 ผมเคยพานักลงทุนจากซิลิคอนแวลลีย์นั่งเครื่องบินเหมาลำมาประเทศไทย พาไปเจอสตาร์ทอัพไทยเจ๋งๆ แต่เขาไม่สนใจเลย พอปี 2558 กลายเป็นคนละเรื่อง คนละประเทศ พวกเขาสนใจกันมาก ช่วงเดือนกรกฎาคมปีนั้น ผมเลยตั้งกองทุน 500 TukTuks ระดมทุมไป 10 ล้านเหรียญ (ประมาณ 350 ล้านบาท) ประมาณปีเดียวจาก 10 ล้านเหรียญกลายเป็น 15 ล้านเหรียญ (ประมาณ 500 กว่าล้านบาท) เราลงทุนไปแล้ว 23 สตาร์ทอัพ แล้วสองตัวแรกๆ อย่าง Claim Di (Mobile Application สำหรับการเคลมประกัน) เขาโตขึ้นมา 15 เท่าในหนึ่งปี และ Omise (Payment Gateway) ระดมทุนได้ 600 กว่าล้านบาท อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงบริษัทที่ก่อตั้งได้แค่ 2 ปี นี่แหละโมเดลของสตาร์ทอัพ แต่มันก็มีความเสี่ยงมากเหมือนกัน คือสตาร์ทอัพที่สำเร็จมีไม่ถึง 5% สตาร์ทอัพที่ผมลงทุนทั้ง 23 ตัว บอกเลยว่าครึ่งหนึ่งเจ๊งแน่นอน แต่ตัวที่สำเร็จมันโตขึ้นอย่างต่ำ 10-100 เท่า ต้องบอกว่า Venture Capital เป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงที่สุด แต่ผลตอบแทนสูงสุด เมื่อเทียบกับ Hedge Fund และสูงกว่า Private Equity

มีใครร่วมลงทุนในกองทุนนี้บ้าง
มีต๊อบ เถ้าแก่น้อย, โยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ เจ้าของดับเบิ้ลเอ, กรณ์ จาติกวณิช, วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ เจ้าของบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น และมีนักลงทุนญี่ปุ่นที่ลงทุนกับเรา หลายคนเราตัดสินใจไม่รับเพราะไม่เหมาะกับการลงทุนแบบนี้ เนื่องจากเกมของสตาร์ทอัพมันมีความเสี่ยงสูง เราเลยต้องการนักลงทุนที่เข้าใจมาช่วยลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม

อย่างการเป็น Venture Capital เราถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่นักลงทุนในเมืองไทยไม่เข้าใจ เขาคิดว่าต้องถือหุ้นอย่างต่ำ 60% ต้องเป็น Majority ด้วยซ้ำ แต่สำหรับสตาร์ทอัพ ผมถือหุ้นส่วนน้อย เกมของสตาร์ทอัพคือผู้ก่อตั้งและผู้บริหารต้องถือหุ้นส่วนใหญ่ จะได้มีแรงในการทำงาน เพราะหลักการทำงานของสตาร์ทอัพคือ ‘งานควาย รายได้ไม่ดี แต่มีอนาคต’

สตาร์ทอัพผมบางคนลาออกจากงานประจำเงินเดือนสองสามแสนบาท มาทำเองเงินเดือนแค่สองสามหมื่นบาท แต่เขาได้หุ้นคือไปรวยในอนาคต ไปรวยกับความสำเร็จ ถ้าเมื่อไหร่ผู้ก่อตั้งถือหุ้นส่วนน้อย ก็ไม่ต่างจากลูกจ้าง เราต้องให้เขามีความกระหายที่จะทำให้สำเร็จ เงินเดือนพออยู่ได้

ดังนั้น นี่คือโมเดลของ Venture Capital คือเข้าไปลงทุน ถือหุ้นส่วนน้อย และให้เงินเพื่อเร่งการเติบโตแบบก้าวกระโดด สร้างมูลค่าด้วยกัน เจ๊งก็เจ๊งด้วยกัน ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน แต่ต้องทำงานหนักกับลดเงินเดือนตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย เพราะเอสเอ็มอีใช้เงินจากการกู้ธนาคาร แต่สตาร์ทอัพสิ่งที่ใช้ค้ำประกัน คือตัวผู้ก่อตั้งและ Insure Property มันเป็นสิ่งใหม่มากในสังคมไทย ขั้นต่อไปต้องเติบโตแบบสวยงาม ส่วนสิ่งที่ต้องระวังในปีหน้าต้องไม่ให้เป็นฟองสบู่ ไม่ควรมีเงินเยอะเกินไปในสตาร์ทอัพ

ไม่ควรมีเงินเยอะเกินไป?
ไม่ดีครับ ควรมีแต่พอดี ถ้าสตาร์ทอัพอันหนึ่งมีนักลงทุนมาแย่งกัน 4-5 คน เกิดมูลค่าสินทรัพย์สูงเกินไป เมื่อเทียบกับพื้นฐานทางธุรกิจที่ไม่เหมาะสม ตอนนี้เมืองไทยยังไม่เกิด แต่เริ่มมีสัญญาณเล็กๆ ที่สตาร์ทอัพไม่ควรระดมทุนได้
ไมล์สโตนส์แรกของสตาร์ทอัพไทยไปถึงแล้ว คือระดมทุนทั้งประเทศได้ร้อยล้านเหรียญ ส่วนไมล์สโตนส์ที่สองคือมีมูลค่าบริษัทถึง 300 ล้านเหรียญหรือราวหนึ่งหมื่นกว่าล้านบาท ตอนนี้เรายังไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็นยูนิคอร์นเลย คือเกินหนึ่งพันล้านเหรียญ ซึ่งเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียมีแล้ว ที่ผมคาดหวังไว้คือจะมีสตาร์ทอัพไทยมูลค่า 300 ล้านเหรียญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และถัดไปคือ 500 ล้านเหรียญและ 1,000 ล้านเหรียญในอีกห้าปีข้างหน้า
“ผมพยายามสร้างสตาร์ทอัพไทยที่เหมือนไลน์ อินสตาแกรม เพื่อพิสูจน์ว่าเราสามารถสร้างสตาร์ทอัพไปแข่งขันระดับโลกได้ แล้วเป็นดิจิตอลแบรนด์ที่คนพูดถึงและคนใช้กันทั่วโลก”

ภาพลักษณ์ของสตาร์ทอัพไทยดูเหมือนคนที่ไปนั่งทำงานในร้านกาแฟ หรือตาม Co-Working Space เปิดโน้ตบุ๊กสักตัว สั่งกาแฟสักแก้ว นั่งทำงานสบายๆ เอาเข้าจริงแล้วมันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
ไม่ใช่เลยครับ คุณทำใจได้ไหมที่เงินเดือนสองสามแสน งานสบายรายได้ดี ออกจากคอมฟอร์ตโซนมาทำสตาร์ทอัพที่เงินเดือนน้อยมากๆ คุณพร้อมไหมที่จะเอาชีวิตในอีก 10 ปีข้างหน้ามาบีบอัดเหลือ 5 ปี แล้วอัตราความสำเร็จที่เป็นยูนิคอร์นน้อยกว่า 1% สตาร์ทอัพที่มีมูลค่าร้อยล้านเหรียญมีแค่ 4% ส่วนเจ๊งทันทีในหนึ่งปีมีถึง 50% คุณฟังตัวเลขแบบนี้แล้วอยากทำอีกหรือเปล่า

บอกเลยว่าตารางการทำงานของสตาร์ทอัพคือ ‘9/11/6’ หมายความว่าทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม และทำ 6 วันต่อสัปดาห์ คุณพร้อมที่จะทำแบบนี้หรือเปล่า ทุกวินาทีต้องคิดว่าจะทำให้ธุรกิจของคุณรอดได้อย่างไร สตาร์ทอัพก่อนจะเป็นยูนิคอร์นต้องเป็นแมลงสาบ คำว่าอัพมันอัพ 10% แต่เวลาดาวน์นี่ 90% ถ้าคุณทำเพราะหวังรวย บอกเลยว่าไม่ใช่ การวัดผลตอบแทนการทำสตาร์ทอัพเพื่อเทียบกับความเสี่ยง พอๆ กับพนักงานบริษัทด้วยซ้ำ

แบบนี้เราเป็นมนุษย์เงินเดือนก็คงสบายกว่า
ผมว่าสตาร์ทอัพตอบโจทย์หลายอย่าง โตอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณประสบความสำเร็จนี่มันสุดๆ นะ อย่างเควิน ซิสตรอม (ผู้ก่อตั้งอินสตาแกรม) ตอนทำงานที่ Google ด้วยกัน เลเวลเขาต่ำกว่าผมอยู่สองเลเวล ตอนแรกเขาทำเป็นโมบายเว็บไซต์ซึ่งมันไม่เวิร์ก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นอินสตาแกรม สุดท้ายมีผู้ใช้ 400 ล้านคน แล้วอายุสามสิบต้นๆ แต่คุณเปลี่ยนแปลงโลก มูลค่าบริษัท 1 พันล้านยูเอสดอลลาร์คือครั้งหนึ่งในชีวิต ใช้เวลาไม่ถึง 5 ปี แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานบริษัทใน 5 ปีมันทำไม่ได้หรอก

อีกอย่างเป็นเรื่องของการเรียนรู้และความท้าทาย ถ้าทำสตาร์ทอัพคุณจะถูกกดดัน เพราะมันโตขึ้นสิบเท่าต่อปี การบริหารองค์กรจากมีพนักงาน 10 คนเติบโตมาเป็น 200 คนภายในหนึ่งปี บริษัทใหญ่ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้ เรียกว่าเป็น Personal Growth . Challenge, Impact และเปลี่ยนโลก

ว่ากันว่าคุณคือ ‘Godfather of Thai Tech Startup’ คำกล่าวนี้เกินจริงไหม
ผมว่าเป็นความหมายในทางที่ดี เราเป็นคนหนึ่งที่ช่วยสร้างสตาร์ทอัพ อีโค ซิสเต็มส์ ของเมืองไทยขึ้นมาจากศูนย์ เป็นบทบาทหน้าที่และความไว้วางใจ ดังนั้นผมว่ามาด้วยความรับผิดชอบ จากคนในวงการที่เชื่อมั่นในตัวเรา พาให้ก้าวกระโดด สร้างสตาร์ทอัพไทยให้ไปไกลต่างประเทศ กลายเป็นยูนิคอร์น และสร้างสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่มีมูลค่าบริษัทเต็มไปหมด เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และการศึกษา นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกวันนี้ผมนอน 4 ชั่วโมง พาสตาร์ทอัพไปเจอนักลงทุน ไปออกสื่อ มันมาด้วยความรับผิดชอบ แต่ก็ดีใจ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook