“ต้น นฤบดินทร์” ความสำเร็จที่มาจากความพยายาม

“ต้น นฤบดินทร์” ความสำเร็จที่มาจากความพยายาม

“ต้น นฤบดินทร์” ความสำเร็จที่มาจากความพยายาม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักนักฟุตบอลสุดหล่อขวัญใจสาวๆ “ต้น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม” แบ็กขวาจอมขยันของสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ดสโมสรแนวหน้าของเมืองไทย

กว่าจะได้มายืน ณ จุดนี้เขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย เพียรพยามเติมเต็มความฝันด้วยความมานะอดทน ซึ่งผลตอบแทนก็คุ้มค่า เส้นทางความสำเร็จของเขาเริ่มต้นจากจุดไหน เหตุใดสาวๆ จึงหลงใหลผู้ชายคนนี้ และใครคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเป็นกำลังใจให้เสมอมา ต้น นฤบดินทร์ เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดกับ Sanook! Men

คุณชอบฟุตบอลมาตั้งแต่ตอนไหน
“ตอนเด็กผมเรียนอยู่โรงเรียนแถวบ้าน อายุประมาณ10ขวบ เห็นเพื่อนเข้าไปซ้อมฟุตบอลในเมืองอยุธยา จึงขอพ่อไปซ้อมกับเค้าด้วย และไปอยู่ที่โรงเรียนยอแซฟอยุธยาเพราะใกล้สนามซ้อม จากนั้นก็ไปคัดตัวนักฟุตบอลที่กรุงเทพคริสเตียนแล้วก็ติด แต่ผมเลือกอัสสัมชัญ ธนบุรี เพราะว่ามันใกล้บ้าน จากนั้นก็ไปคัดทีมชาติแล้วก็ติดตั้งแต่รุ่นอายุ 12ปี 13ปี 14ปี 15ปี 16ปี แล้วก็ติดมาเรื่อยๆ จนประมาณ ม.4 ผมบอกพ่อว่าอยากจริงจังเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แล้วพ่อผมก็รู้จักผู้ใหญ่ในอยุธยาเอฟซีดิวิชั่นสอง เลยให้มาเป็นเด็กฝึกหัดที่นี่ก่อน ซึ่งฟุตบอลดิวิชั่น 2 มันต้องแข็งแรง เหมือนพวกคนแอฟริกา แต่เราตัวเล็ก กระดูกยังไม่ถึง เขาก็ยังไม่เซ็นสัญญาเพราะเรายังเด็ก

จึงไปซ้อมกับทีมเยาวชนตำรวจไทยลีก แต่ผลงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมจึงคิดว่าจะไปคัดตัวที่สโมสรเมืองทองยูไนเต็ด แต่ทางบีอีซี เทโรรู้ข่าว คุณโรเบิร์ต โปร์คูเรอร์เคยไปดูเราเตะฟุตบอลรอบชิงแชมป์ประเทศไทย และเห็นฟอร์มเรา เขาจึงอยากเซ็นสัญญากับผม 3 ปี ให้เงินเดือนสูงมาก ก็เลยตัดสินใจมาอยู่ที่บีอีซีเทโร เพื่อจะได้มีโอกาสลงเล่นสม่ำเสมอ ผมอยู่กับ บีอีซี เทโรได้ลงเล่นตลอด อยู่มาสามปี ทางสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ดก็ยื่นข้อเสนอมาให้ แลกเปลี่ยนตัวผู้เล่นผมกับพี่อดิศักดิ์ สโมสรบุรีรัมย์ จากนั้นก็เลยมาอยู่ที่บุรีรัมย์จนถึงทุกวันนี้”

คุณรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองอยากเป็นนักเตะอาชีพ และมีความฝันอะไรกับการเป็นนักฟุตบอล
“ประมาณอายุ 16ปีผมติดทีมชาติ ผมมีโอกาสไปอังกฤษ ไปแข่งไนกี้ชิงแชมป์โลก ได้ไปดูบรรยากาศแมนยู แมนซิตี้ พอไปดู ผมก็คิดว่าสักวันนึงผมต้องได้เล่นเกมใหญ่แบบนี้ให้ได้ มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นความฝันของผม ที่ทำให้ผมอยากจะทำให้เป็นจริง จากนักเตะตัวเล็กๆ คนนึง สามารถไปเล่นเกมใหญ่ๆได้”

กว่าจะติดทีมชาติก็นานเหมือนกัน คุณเคยรู้สึกเบื่อและท้อแท้บ้างไหม
“ไม่เบื่อนะ ผมไม่เคยเบื่อฟุตบอลเลย มันเป็นสิ่งที่ผมรัก มันเป็นสิ่งที่เลี้ยงผมและครอบครัวผม ผมรักมัน”

คุณได้อะไรจากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
“อยู่ในสนามเรื่องแรก สุขภาพ แต่นอกสนามเราได้สังคม เราได้เพื่อน ได้งาน นอกเหนือเวลาที่ผมเล่นฟุตบอล ถ้าผมมีเวลาว่าง ก็จะมีงานถ่ายแบบ ถ่ายนิตยสาร ถ่ายโฆษณาแต่ละครยังไม่มี ผมว่าจุดๆนี้เป็นรายได้เสริม แต่เราก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็น ไม่ใช่พรุ่งนี้เราแข่งบอล วันนี้เราไปถ่ายแบบ ถ้าผมทำได้ไม่ดี ก็จะโดนตำหนิได้”

ถ้าให้นิยามคำว่าฟุตบอล สำหรับคุณ “ฟุตบอล” คืออะไร
“ฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม ผมว่าฟุตบอลไม่ใช่กีฬาที่เล่นคนเดียว ถ้าแพ้ก็แพ้ด้วยกัน ชนะก็ชนะด้วยกัน ทุกๆคนมีความหมายสำหรับทีม ถ้าผู้รักษาประตูพลาดเราก็แพ้ทั้งทีม ไม่ต้องโทษใคร เราแพ้แล้วเราอย่าโทษใคร มาช่วยกันแก้ไขให้มันดีขึ้นดีกว่า ฟุตบอลสำหรับผมคือความสามัคคี”

คุณคิดอย่างไรที่ตอนนี้ นักฟุตบอลมีแฟนคลับ มีคนคอยตามให้กำลังใจ
“ก็ดีใจนะและก็ขอบคุณแฟนคลับทุกคน ถ้าผมไม่มีแฟนคลับ ผมคงไม่มีทุกวันนี้ เวลาที่เราล้ม เวลาที่เราเล่นไม่ดี แฟนคลับก็คอยส่งกำลังใจมาให้ ไม่เป็นไรนะพี่ต้น เอาใหม่ ต้นสู้ๆ เราได้ยิน ได้อ่าน โอ้โห! มันทำให้เรามีกำลังใจ วันไหนที่เราเล่นดี ก็จะมีคำชมว่า วันนี้เล่นดีมาก ถ้าเราทำพลาดเราก็ต้องนำกลับมาแก้ไข”

คุณคิดว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพไปอีกนานแค่ไหน อยากจะทำอย่างอื่นไหม
“สำหรับฟุตบอลผมว่าอายุ35ขึ้นไปมันก็เริ่มยาก ถ้ามีเรื่องในวงการบันเทิงสนใจ ผมก็ยินดี หรือตอนนี้หลังจากที่ผมเล่นฟุตบอล ผมก็ยินดีที่จะเข้าวงการ”

สำหรับคุณอะไรคือเป้าหมายสูงสุดของการเป็นนักฟุตบอล
“ไปบอลโลกครับ พาทีมชาติไทยไปบอลโลก ผมว่าทุกคนในประเทศไทยก็อยากไปบอลโลกสักครั้งนึง”

ความสำเร็จที่มีในวันนี้ ใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง
“คุณพ่อสำคัญมากๆ มีส่วนเยอะมากๆ อยากขอบคุณพ่อและครอบครัว ถ้าลูกชอบกีฬา ไม่จำเป็นต้องเป็นฟุตบอล พ่อสนับสนุนหมด เพราะมันดีต่อตัวลูก คือ ลูกไม่ได้ไปทำสิ่งที่ไม่ดี ไปเล่นบอลบางทีคุณแม่ก็กลัวลูกจะเจ็บแข้งเจ็บขา แต่เรารู้จักวิธีเล่นที่ทำให้เราไม่เจ็บตัว แล้วมันก็ทำให้เราแข็งแรงด้วย”

“เอาง่ายๆ เลย บ้านผมจะมีไลน์กรุ๊ป น้องก็จะมาละ สวัสดีทักทาย วันนี้แม่ไปทำบุญเอาบุญมาฝาก อะไรอย่างงี้ แล้วแบบก่อนแข่ง พ่อแม่ก็จะบอกสู้ๆนะ มีสมาธิมากๆ ดูเกมดูผู้ต่อสู้หรือยัง ไม่ประมาทนะ วันนี้เล่นดีๆนะลุก จุดๆนี้มันจะทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น หลังเกมถ้าชนะ พ่อกับแม่ก็จะชมดีมากลูกเล่นดี ถ้าแพ้ก็ไม่เป็นไรลูกกลับไปช่วยกันแก้ไข ครั้งหน้ายังมี”

“คุณพ่อคุณแม่สอนให้ผมมีวินัย ขยัน สิ่งที่ผมคิดและท่องมาตลอดคือ ลำบากก่อน สบายที่หลัง”

ความสำเร็จคงไม่เกิดขึ้นได้ หากขาดความพยายามและนี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ของความมานะอดทน แม้จะแพ้กี่ครั้งก็ต้องสู้ แม้จะล้มกี่ครั้งก็ต้องยืน เหนือสิ่งอื่นใดคือกำลังใจจากครอบครัว หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปความสำเร็จอาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน “ลำบากก่อน-สบายทีหลัง” เป็นวลีเด็ดที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ทุกยุคทุกสมัย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook