5 คำถามกับ นนท์ - ธนนท์ จำเริญ

5 คำถามกับ นนท์ - ธนนท์ จำเริญ

5 คำถามกับ นนท์ - ธนนท์ จำเริญ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นาทีนี้ใครบ้างไม่รู้จัก 'นนท์-ธนนท์ จำเริญ' หรือ นนท์ เดอะวอยซ์

4 ปีที่แล้วเขาเป็นเด็กหนุ่มวัย 16 ปีที่คว้าแชมป์ เดอะวอยซ์ ซีซั่นแรก จากเด็กหนุ่มหน้าตาบ้านๆ ตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มเต็มตัววัย 20 ที่หล่อเฟี้ยวจนเราต้องขยี้ตา เพราะนึกว่าคนละคน แถมยังพาส่วนสูงเฉียด 190 เซนติเมตร ชิมลางเป็นนายแบบเดินแคตวอล์กที่ไทยหนึ่งครั้งและที่จีนอีกครั้ง สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลฯ ว่านี่ใช่นนท์จริงๆ ล่าสุดเด็กหนุ่มจากภูเก็ต ก็เพิ่งเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากการร้องเพลง หรือเดินแบบ เขาแสดงนำในซีรีย์ท่องเที่ยว Journey The Series และเพื่อพูดคุยกับเขาถึงชีวิตที่ผ่านมาตลอดจนถึงวันนี้ มีอะไรบ้างที่นนท์ เปลี่ยนไป 5 คำตอบ หลังจากนี้น่าจะทำให้เราได้รู้อะไรบางอย่างของเขาเพิ่มเติม

อะไรที่เป็นส่วนสำคัญในการทำให้คุณเติบโตทั้งความคิดและการทำงาน
ธนนท์ : เพราะสิ่งแวดล้อมเลยครับ ผู้คนครับ สอนบ้าง กดดันบ้าง ด่าบ้าง มันดีครับ เป็นสิ่งที่ดี จะให้ทุกอย่างเป็นมิตร แล้วให้เราโตเองเหรอ คงไม่มีเวลาขนาดนั้น ในช่วงยุคผมจะเป็นช่วงศิลปินยุคดาวน์โหลดโซเชียลมีเดียแล้ว ศิลปินมาไวไปไว ครั้งหนึ่งผมเคยไปงานแคมปัสทัวร์ เห็นบอยแบนด์กลุ่มหนึ่งจากค่ายหนึ่งขึ้นโปสเตอร์โปรโมตแล้ว แต่พอไปหน้างานไม่มีแล้ว เพราะเขาบอกว่าวงนี้ไม่พร้อม เรากลับมามองตัวเองเลย แล้วเราพร้อมหรือยังที่เราได้ เวลาไม่สามารถรอให้คนมาพร้อมได้ เพราะฉะนั้นแล้วถ้าอยากได้โอกาส โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเท่านั้น ทุกวันมันคือการทำตัวเองให้พร้อมมากที่สุด ตอนนี้เราอยู่มา 4 ปีแล้ว กลับกัน รุ่นพี่หลายๆ คน ที่เริ่มมาพร้อมเรา บางคนก็ไปทำอย่างอื่นแล้ว บางคนมีครอบครัวแล้ว บางคนต้องทำอาชีพอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองยังแฮปปี้กับการร้องเพลง เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่ได้ทำงานมาถึงตอนนี้ก็ปีที่ 4 กำลังจะเข้าปีที่ 5 และก็ได้อะไรจากมันเยอะด้วย ถ้าเรากลับไปโลกความจริงตอนโน้น เรียนอย่างเดียวหรือทำงานอย่างอื่น เราก็อาจจะไม่ได้โตขนาดนี้ก็ได้ หรือเป็นคนมองอะไรไกลแบบนี้ แต่เราก็อาจจะได้เป็นคนที่ค่อยๆ โตเหมาะสมกับโลกใบนี้ตามช่วงวัย แต่ผมก็รู้สึกว่าแฮปปี้กับการโตแบบก้าวกระโดดแบบนี้มากกว่า

หลังจากมาร่วมงานกับ Journey The Series คุณได้อะไรกลับไป
ธนนท์ : เจอร์นีย์ฯ ศาสตร์ที่ใช้ในการทำงานมันจะไม่เหมือนกับในสตูดิโอหรือโลเกชั่นที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทุกอย่างจะมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก เพราะในเรื่องของการด้นสดหรือว่าการดิ้นรน มันค่อนข้างที่จะหนักหน่วงพอสมควร เช่น เรื่องแสงที่อาจไม่พร้อมให้เรา หรือโลเกชั่นที่ไม่พร้อมให้เรา ก็จะต้องโฟลว์ไปเอง เห็นอะไรตรงหน้าก็ต้องเล่นไปกับมันให้ได้ แล้วด้วยลักษณะของกองถ่ายก็จะเป็นอะไรที่รวดเร็ว ในหนึ่งวันเราทำงานกันเร็วมากเพื่อที่จะไปอีกจังหวัดหนึ่ง ใหม่ทั้งตัวนักแสดงและก็ตัวทีมงาน แต่ว่าพอเข้ากันจริงๆ กลับกลายเป็นทีมงานที่โฟลว์ที่สุดตั้งแต่เราทำงานมา แล้วเป็นความรู้สึกที่อยากร่วมงานอีก เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่เราได้เห็นว่าศาสตร์การแสดงมันยากจริงนะ แต่ก็สนุกด้วย”

4 ปีที่ผ่านมาคุณเรียนรู้อะไรกับอาชีพนักร้องที่คุณรักบ้าง
ธนนท์ : ตอนแรกที่เราขึ้นเวทีจะรู้สึกสนุกมาก แต่ในเรื่องการต่อยอดจะไม่มี เป็นคนที่ก่อนจะขึ้นสเตจจะจริงจัง ทำการบ้านหนัก ในช่วงแรกๆ ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกงอแงบ้าง ด้วยความใหม่บวกกับวัย 16 ซึ่งก็จะมีบางครั้งที่แบบเหนื่อยจังเลย อยากกลับไปเป็นนนท์คนธรรมดา นนท์ที่ร้องเพลงวงดนตรีกับเพื่อนแล้วสนุก มีแต่เรื่องตัวโน้ต ไม่มีตัวเลขตัวเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ว่าพอสักพักหนึ่ง พอเราได้ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของบ้าน ดูแลค่าใช้จ่าย ก็ต้องมองการต่อยอดเป็นหลักสำคัญ เพราะว่าสิ่งที่ลงทุนไปคือ หนึ่ง, ความเป็นสาธารณะของตัวเอง หลายคนบอกว่าอาชีพนี้สบายมากเลยนะ แต่พอทำจริงๆ แล้ว เราขายสิ่งที่มีค่ามากที่สุด สิ่งที่มนุษย์ควรจะมี ก็คือความเป็นส่วนตัวของตัวเอง แต่ก็คือยังมีระยะอยู่นะ ไม่ได้ถึงขนาดนั้น ซึ่งเราเองก็รู้สึกว่า พอโตขึ้น การตัดสินใจในเรื่องการทำงานก็จะมองแบบ Long Term มากกว่า Short Term แต่มองสั้นๆ แล้วมันสนุกมากนะ มันไม่มีเรื่องของวันพรุ่งนี้ มันเละเทะ มันสนุก แต่พอวันรุ่งขึ้นแล้วเราจะต้องสนุกยังไงอีก ก็จะต้องมีเรื่องแพตเทิร์นเข้ามาช่วยด้วย”

ยังทะเลาะกับแม่บ่อยอยู่ไหม
ธนนท์ : (หัวเราะ) ก็ยังทะเลาะกันอยู่นะ ทุกเรื่องครับ แค่ช้อนหายนี่โกรธกันเป็นวัน คือผมจะเป็นคนที่มีปัญหามากถ้าอะไรมันไม่อยู่ที่เดิม มันไม่เป๊ะ (หัวเราะ) คือก็จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแหละครับ แต่ผมเชื่อว่า ถ้าคนสองคนทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อยแปลว่าเขารักกัน ถ้าเขาไม่รักกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องมาใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้ ถูกมั้ย แต่นี่คือเรารู้สึกว่ายิ่งเราได้คุยกัน ทะเลาะไม่ทะเลาะแล้วแต่ แต่มันต้องคุยกัน การแก้ปัญหามันไม่ได้แก้ด้วยการเงียบใส่กัน ถึงแม้เคมีของผมและแม่ค่อนข้างเป็นไปทางคุกรุ่น (หัวเราะ) แต่สุดท้ายเราก็จะแก้ไขกันได้ คือเราคุยกันเพื่อให้เราอยู่กันได้นานมากขึ้นเท่านั้นเอง นั่นคือผลลัพธ์ของการคุยกัน

จริงๆ เราทะเลาะกันทุกวันเลย เพราะชอบคุยกันเสียงดัง เราเป็นคนใต้ด้วย แต่ยิ่งคุยมากเรายิ่งเห็นปัญหา ยิ่งเข้าใจกัน ต่างคนก็ต่างช่วยกันแก้ ผมก็มีบางจุดที่มองไม่เห็นเอง เหมือนคนเรา เราก็มองไม่เห็นหรอกว่ามีอะไรเลอะคิ้วเลอะผมเรา จนกว่าเราจะมองกระจกหรือมีคนมาบอก ฉะนั้นแล้วเราโชคดีมากที่เรามีพ่อแม่มาด้วยตอนนั้น มันทำให้เราได้เห็นข้อด้อยของตัวเอง จุดเสียของตัวเองว่า เราควรจะทิ้งตรงไหน กลบ หรือตัดตรงไหนออกไป หรือเราควรจะรักษาข้อเสียตรงนั้นไว้บ้าง มีพ่อแม่คอยสอนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ เรื่องปากท้องมันไม่สำคัญหรอก มันเป็นเรื่องความสุขของตัวเราเองและความสุขของคนที่เรารักมากกว่า หลักๆ เลย แต่ว่าในความสุขนั้น ส่วนมากมันมีที่ใช้เงินซื้อด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ในโลกความเป็นจริง มันทำให้ชีวิตดำเนินไปได้ แต่ที่เหลือจะดีไม่ดีมันอยู่ที่เราเอง ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข

อีก 4-5 ปีข้างหน้า ชีวิตของคุณจะเป็นยังไงมองภาพออกไหม
ธนนท์ : ไม่ได้มองเลยครับ ยังมองไม่ถึงปีหน้าเลย อย่างดีต้องมองถึงเดือนหน้าว่า เรายังจะพร้อมมั้ย ตอนเด็กๆ เราเคยเป็นนักกีฬา ยังติดนิสัยเวลาวิ่งแล้วชอบดูลู่ข้างๆ ว่าคนอื่นวิ่งถึงไหนแล้ว ทั้งที่ถ้าคนสอนวิ่งจริงๆ เขาจะให้มองแค่ลู่ตรงนี้ ไม่ต้องมองไกล เพราะถ้ามองไกลจะรู้สึกเหนื่อย ท้อ มองแค่นี้แล้วทำตรงนี้ให้ดี เป็นแนวคิดที่ดีมาก เราไม่เถียงเลย แต่เราจะรู้ได้ไงว่าลู่ข้างๆ ล้มหรือเปล่า เราช่วยได้หรือเปล่า จนมีวันหนึ่งมีคนล้มแล้วเราวิ่งไปช่วยได้ เรารู้สึกว่าการมองคนอื่นก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเรื่องของการมองโลกภายนอกก็เป็นเรื่องสำคัญ วิ่งอยู่ลู่เดียวเราก็จะคิดว่า เรานี่แหละต้องเข้าเส้นชัย ทั้งที่ใครจะไปรู้ อยู่ดีๆ เราอาจจะล้มก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่ามองไกลเกินไป มองแค่ระยะหนึ่งเท่านั้นเอง เดือนหน้าพ่อแม่จะอยู่ได้มั้ย แฮปปี้ไหมกับตอนนี้ พ่อแม่แฮปปี้ได้มากกว่านี้มั้ย ทำตรงนี้ให้เดือนหน้า หลังจากนี้แฮปปี้ได้มากกว่าเดิม”

ติดตามบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมของนนท์ - ธนนท์ จำเริญ ได้ทางนิตยสาร GM ฉบับที่ 457 ได้แล้ววันนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook