“ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์” ทายาทหมื่นล้านกับชีวิตที่ไม่ได้วิเศษกว่าใคร

“ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์” ทายาทหมื่นล้านกับชีวิตที่ไม่ได้วิเศษกว่าใคร

“ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์” ทายาทหมื่นล้านกับชีวิตที่ไม่ได้วิเศษกว่าใคร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นที่ทราบกันดีกว่า “จิราธิวัฒน์” เป็นสกุลของบุคคลระดับแนวหน้าฐานะดีอันดับต้นๆ ของประเทศไทย สำหรับ “ป๊อก ภัสสรกรณ์” เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีนามสกุลดังนี้ต่อท้ายชื่อ ชีวิตทายาทตระกูลมหาเศรษฐีระดับประเทศคนนี้ไม่ได้สะดวกสบายและได้อะไรมาอย่างง่ายดายแบบที่เราคิด เห็น และเข้าใจว่าเหมือนชีวิตคุณหนูในละครหลังข่าว

ในวัยเด็กป๊อก ภัสสรกรณ์เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ อยู่และใช้ชีวิตคนเดียว ต้องเรียนสาขาวิชาที่ตนเองไม่ค่อยโปรดปรานแทนการเรียนดนตรีซึ่งเป็นความชอบสูงสุด รวมไปถึงเสี่ยงชีวิตกับบทบาทนักข่าวที่แม้จะเป็นธุรกิจครอบครัวแต่เด็กรุ่นเดียวกันหลายคนก็ไม่ต้องทำเช่นนั้น

ปัจจุบันนอกจากงานดนตรีที่ตนเองรัก ป๊อกยังชิมลางในฐานะผู้บริหารธุรกิจ ทักษะใหม่ๆ ที่ต้องเรียนรู้ ปัญหาและอุปสรรคที่รออยู่ตลอดเส้นทางทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกสิ่งจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอ” Sanook! Men ขอเปิดหมดเปลือกชีวิตของไฮโซสายแร๊ปคนนี้

ทันทีที่คุณจำความได้ และรู้ว่าตัวเองนามสกุล “จิราธิวัฒน์” คุณรู้สึกอย่างไร
(หัวเราะ) ผมรู้สึกเฉยๆ นะ อาจเพราะเราเกิดมาแล้วเห็นแบบนี้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ธรรมดาถ้าสมมุติว่ามีชีวิตอยู่อย่างนึงแล้วไปเจออีกแบบนึงเราจะรู้จักการเปลี่ยนแปลง แต่นี่ไม่รู้สึกว่ามันแปลก จนกระทั่งไปโรงเรียนเพื่อนๆ ก็ชอบถามไปเดินห้างทำยังไงหยิบของได้เลยเหรอ ฟรีทุกอย่างหรือเปล่า เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมเค้าถึงคิดอย่างนั้น เพราะเราทำไม่ได้ทุกอย่างมันเป็น On Process ของบริษัท (หัวเราะ) เราก็บอกว่าไม่ได้ เราไม่มีทางที่จะไปหยิบของฟรีๆ หรือได้มาฟรีๆ

จริงๆ แล้วผมใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป และไม่ได้คิดว่าตัวเองมีอะไรที่มากกว่าคนอื่น คุณพ่อสอนไว้ เพราะคุณพ่อเริ่มจากศูนย์ คุณปู่มาจากเมืองจีนโดยที่ไม่มีของอะไรเลยไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีเงิน มาสร้างทุกอย่างเอง ตั้งแต่เด็กๆ แล้วคุณพ่อก็ลำบากมาก่อน เหมือนจะโดนปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ เลยว่าให้รู้จักคุณค่าของเงินและอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าอยู่มาวันนึงเราจะสบาย ฉะนั้นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์และไม่ลืมตัว เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ครอบครัวเราลำบากแค่ไหน บวกกับที่ผมไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่ตอนอายุ 14 ด้วย ใช้ชีวิตเองในโรงเรียนประจำ เลยไม่มีความคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น

คุณแม่คุณเป็นนางงามจักรวาลคนแรกประเทศไทย คุณพ่อของคุณรวมถึงคุณใช้นามสกุลที่ติดอันดับเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ความเป็นที่สุดของคุณพ่อ คุณแม่คุณ สร้างความกดดันอะไรให้กับคุณบ้างไหม
ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด อย่างน้อยคนในครอบครัวผม คุณพ่อ คุณแม่ เราเข้าใจกันดี เราควรที่จะสนใจและแคร์คนในครอบครัวและคนใกล้ตัวมากกว่า เพราะถ้าไปแคร์กับสิ่งรอบข้างมากเกินไปก็อาจจะใช้ชีวิตไม่มีความสุข และอย่างนึงผมเชื่อว่าทุกอย่างที่คุณพ่อ คุณแม่วางไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือเรื่องอะไร ผมก็ตั้งใจทำในทุกๆ อย่างที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ทำ อย่างที่บอกเรามีความเข้าใจกันค่อนข้างเยอะ เราทำสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ทำ คุณพ่อคุณแม่ก็ยอมให้เราทำสิ่งที่เป็นตัวของเราเองเช่นกัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนภายนอกมองและจับจ้องเป็นพิเศษ เชื่อว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีครับ อยู่ในกรอบของผู้ใหญ่ตลอดเวลา และคิดว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคขนาดนั้น (ยิ้ม)

คุณพ่อและคุณแม่ของคุณท่านสอนเรื่องอะไรที่ทำให้ยังจดจำและยึดถือมาถึงปัจจุบัน
จริงๆสอนเยอะมากครับ คุณพ่อนี่ตั้งแต่เด็กๆ ผมไปโรงเรียนกลับมาก็ต้องไปอยู่ที่ออฟฟิศก่อน ก่อนกลับบ้านต้องเดินตรวจทุกอย่าง คุณพ่อทำอะไรก็ทำด้วยตลอด ฉะนั้นสิ่งที่คุณพ่อทำมันก็จะซึมซับไปในตัวเรา โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ คุณพ่อสอนว่าห้ามลืมว่าเรามาจากไหน เพราะเรามาจากคนที่ไม่มีอะไรเลย คุณปู่มาจากศูนย์เพราะฉะนั้นอย่าลืมตัว อันนี้จะเป็นสิ่งที่จำมาตลอดครับ และคติพจน์ประจำใจที่คุณพ่อเชียร์อัพมาตลอดเวลาเราเจออุปสรรคหรือเจอปัญหา คุณพ่อจะบอกว่า ให้จำไว้ว่า…... “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพื่อสิ่งที่ดีกว่า” มันเกิดเพื่อให้เราเรียนรู้ และเราจะไม่เจอมันอีกในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ให้คิดไว้ว่ามันจะพาเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ส่วนคุณแม่ขอแค่อย่างเดียวครับ ขอให้ลูกเป็นคนดี คุณแม่บอกว่าถ้าเรามีพื้นฐานเป็นคนดี จิตใจดี เราก็จะได้รับและได้เจอแต่สิ่งที่ดี

หลายคนอาจคิดว่าตอนเด็กๆ คุณต้องถูกเลี้ยงดูแบบคุณหนูในละครจริงๆ แล้วเป็นแบบนั้นไหม
จริงๆแล้วไม่เลย คุณพ่อพยายามให้ผมเจออะไรมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่เด็ก คุณพ่อปล่อยให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง บวกกับการที่ไปเรียนเมืองนอกอีกไม่มีใครเลย มีแค่เรากับโรงเรียนประจำ เพราะฉะนั้นต้องทำทุกอย่างเอง จบจากโรงเรียนเข้ามหาวิทยาลัยก็อยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามไม่มีคนมาทำตรงนี้ให้เรา แล้วอีกอย่างนึงคือบ้านผม คุณพ่อไม่ได้ให้ตังค์แบบนั้น นี่ก็ 8 ปีแล้วมั้งครับที่ไม่ได้ขอตังค์จากที่บ้านตั้งแต่ทำงาน เพราะเราก็มีอีโก้ที่ว่าเราจบแล้ว โตแล้ว ทำงานแล้ว เรายังกล้าไปขอเค้าอีกเหรอ ที่คนเห็นว่าผมมีนั่นนี่ ผมซื้อของผมเองครับ (หัวเราะ) ผมเชื่อว่าเรามีต้นทุน ครอบครัวดี คนรอบข้างดี เราได้รับการศึกษาที่ดี คุณพ่ออุตส่าห์ส่งไปเรียน เราจะมานั่งงอมืองอเท้า มาขออะไรแบบนี้ ผมว่ามันไม่คุ้มกับสิ่งที่เราได้รับมา คนอื่นไม่ได้รับขนาดเรา เค้ายังทำกันได้เราได้รับขนาดนี้แล้วเราจะไม่ทำ รู้สึกว่าชีวิตมันดูไม่มีค่า (ยิ้ม) ถ้าวันนึงเราอยากมีภรรยา มีครอบครัว เราก็ต้องดูแลครอบครัวเราได้ ถ้าเราทำงานหาเงินดูแลตัวเองไม่ได้ เราก็จะไม่มีวันที่จะมีครอบครัวได้

คุณเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์จากต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่คุณอยากเรียนเองหรือเพราะความต้องการของคุณพ่อคุณแม่
ไม่ใช่เลยครับ (หัวเราะ) จบเศรษฐศาสตร์เป็นอะไรที่งงเหมือนกัน ตอนแรกพออยู่เกรด 11 จะต้องคุยกับครูแนะแนวว่าใครอยากเป็นอะไร ผมกลับไปบ้านตอนปิดเทอม ผมถามที่บ้านว่าสรุปแล้วจะเรียนอะไรได้บ้าง อยากให้เรียนอะไร ไม่เคยมีทางเลือก เพราะคิดว่าเราคงต้องทำในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เลือกไว้ให้ พอถามไปคุณพ่อก็บอกว่าเรียนอะไรก็ได้แล้วแต่เลย ผมรู้สึกดีใจมาก เพราะไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสได้เลือก กลับไปปุ๊บผมก็จะไปสมัครเรียนดนตรีที่เบิร์คลีย์เพราะว่าที่เบิร์คลีย์เป็นโรงเรียนดนตรีของโลก แล้วเราก็อยู่เมืองนั้นตั้งแต่เด็กๆ คล้ายบ้านที่สองของเรา เราผ่านตลอดเวลา เลยรู้สึกอยากเรียนมาก เลยกลับไปเสนอว่าตอนนี้รู้แล้วว่าอยากจะเรียนอะไร ที่บ้านก็อึ้งครับ เค้าไม่ห้ามว่าเราจะเล่นดนตรีหรือสนุกมีความสุขกับมัน แต่ถ้าเอามาเรียนเป็นอาชีพหลักเค้าคิดว่ามันอาจไม่เหมาะสมหรือเปล่าสำหรับเรา เพราะที่บ้านเขาก็หวังว่าให้เราช่วยงานที่บ้านในอนาคต แล้วก็อีกอย่างคุณพ่อบอกว่าถ้าเราเรียนแต่ดนตรีแล้วเราไม่มีความรู้ด้านอื่นเลยอีกหน่อยเราจะไปทำอะไรมันก็ลำบาก ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้อง ถามว่าเสียใจไหมก็เสียใจนิดหน่อยเลยไปเลือกมาใหม่ เลยพูดตรงๆ ว่าไม่มีอะไรเลยครับที่ผมสนใจและอยากจะเรียน เราก็เลยเรียนเศรษฐศาสตร์แล้วกัน เพราะดูเป็นกลาง ดูกว้างดี เหมาะที่จะทำอะไรได้หลายอย่าง ถามว่าสนใจไหมไม่ได้สนใจเลย แต่ Minor ผมก็ยังเป็นดนตรีอยู่ดี อะไรที่เราเลือกได้ผมก็ใส่ดนตรีหมด เลยเป็น เศรษฐศาสตร์ และมีดนตรีเล็กๆ อยู่ในนั้น

เด็กหลายคนไม่ได้เรียนอย่างที่ตัวเองต้องการ คุณมีวิธีต่อสู้กับความขัดแย้งในใจอย่างไร เพื่อให้คุณเรียนคณะที่คุณไม่อยากเรียนจนจบ
จริงๆ มันไม่ใช่ว่าขัดแย้งหรอก ผมเรียนอะไรก็ได้ แต่ถ้าถามว่าจะสนุกชอบขนาดนั้นไหมก็คงเลือกดนตรีอย่างที่บอก แต่ถามว่าเรียนได้ไหม เรียนได้ เรียนตามปกติเรารู้แล้วว่าอันนี้คือสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของเรา เราก็ต้องตั้งใจเรียนเพราะว่าที่บ้านส่งมาขนาดนี้จะไม่ตั้งใจเรียนก็ไม่ใช่ เหมือนเราต้องสู้เพื่อตัวเอง รู้จักวิธีจัดการชีวิตตัวเอง เป็นสิ่งที่สำคัญและทำให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ (ยิ้ม)

ความรักชอบในดนตรี โดยเฉพาะสไตล์ Hip Hop ของคุณมาจากไหน
จริงๆ แล้วผมเริ่มเล่นดนตรีจากการเล่นกีตาร์ เล่นเปียโน เล่นกลอง ตั้งแต่เด็กๆ และฟังไปเรื่อย มีทั้งร็อก ฮิปฮอป แต่ไม่ได้เจาะจงเป็นพิเศษ แต่พอไปอยู่ที่อเมริกา ฮิปฮอป อาร์แอนด์บี เป็นคัลเจอร์ที่ใหญ่มากๆ ด้วยวัยของเราด้วยอะไรหลายๆอย่าง ไปอยู่ตรงนั้นแล้วมันซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ จนเรากลืนไปกับมัน เลยรู้สึกว่าเราชอบ พวกกับดนตรีสดแล้วก็เขียนกลอน ตอนเด็กๆ ผมชอบเขียนกลอนอยู่แล้ว เลยเป็นอะไรที่เปิดโลกให้กับเรา ถ้าผมไปเรียนที่อังกฤษก็คงเป็นโลกอีกแบบนึง ไปอีกแนวนึงก็ได้ อะไรหลายๆ อย่างจึงทำให้เราผูกพันและก็ชอบฮิปฮอปครับ

จุดเริ่มต้นเข้ามาทำงานเพลงร่วมกับวงไทเทเนียม เกิดขึ้นได้อย่างไร
ตั้งแต่เด็กเล่นดนตรีมาตลอด พอไปอยู่อเมริกาก็ซึมซับฮิปฮอป อยู่โรงเรียนประจำก็เล่นดนตรีอยู่ในห้องนอนเล็กๆ เสาร์อาทิตย์กลับบ้านไม่ได้เพราะอยู่คนละประเทศ เลยหากีฬาเล่น เล่นดนตรี ฯลฯ ซื้ออุปกรณ์ทำเพลง แล้วก็ทำเพลงในห้อง แร๊พเอง ร้องเองทุกอย่างจนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่เคยปล่อยเพลงจริงจังนอกจากส่งให้เพื่อนฟัง แล้วเพื่อนก็ส่งต่อๆ กัน มีคนบอกว่าเพราะดีเราก็เริ่มมีกำลังใจ เราก็ทำต่อจนจบมหาวิทยาลัย ทำงานให้ที่บ้าน 3 ปีก็ยังทำอยู่ สุดท้ายเพลงไปถึงหูพี่ขัน เขาก็ถามว่าเราสนใจอยากทำจริงจังไหม ตอนนั้นทำงานให้ที่บ้านที่ Bangkok Post ตอนที่พี่ขันถามอยู่ในช่วงเข้าปีที่ 2 ตอนนั้นแปลกใจมากเพราะเราฟังวงไทเทเนียมตั้งแต่เด็กๆ ไม่คิดว่าเค้าจะมาถามเราจริงๆ จนเข้าปีที่ 3 ที่ผมทำงานให้ที่บ้าน ก็เจอพี่ขันอีก พี่ขันก็ถามอีกว่า เฮ้ย! สรุปเอาไง เค้าก็ยังไม่ลืม เราก็เลยคิดว่าถ้าเค้ามาถามรอบที่ 2 มันคงมีบางอย่างผมเลยบอกว่าผมขอกลับไปคุยกับที่บ้านก่อน ก็ยังไม่ได้กลับไปคุยแต่ก็วางแผนไว้ว่าไหนๆ เราก็ทำตั้งแต่เด็กๆ จนถึงตอนนี้แล้ว พี่ขันเค้าชวนมันก็เหมือนแบบ เอาว่ะ! หนึ่งครั้งในชีวิต

แต่ด้วยทำงานตรงนั้นมันลำบากผมก็เลยหาเรื่องบอกที่บ้านว่า ผมขอไปเรียนต่อปริญญาโท ก็เลยออกจากที่ทำงานเพราะทำงานมา 3 ปีแล้ว ด้วยประสบการณ์อะไรหลายๆ อย่างมันสมควรแล้ว คุณพ่อก็เลยยอมให้ไปเรียนต่อโท ซึ่งไม่ได้กลับไปเมืองนอกแต่ต่อที่จุฬาฯ แล้วก็แอบคิดว่าต่อโทจะมีเวลาว่างทำเพลง แต่ดันเรียนหนักมาก หนักกว่าตอนทำงานอีกครับ แต่ก็ออกมาแล้วไหนๆ ก็ทำไรไม่ได้แล้วก็ทำเต็มที่ จนคลอดอัลบั้มออกมา (ยิ้ม)

สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับไทเทเนียมคืออะไร
หลักๆ เลยคือประสบการณ์ผมจำได้เลยเวทีแรกถือว่าโชคดีผสมโชคร้ายก็ได้ เวทีแรกคือเสม็ดเฟสติวัลคนประมาณ 3,000 – 5,000 แล้ว เป็นครั้งแรกที่ขึ้นไปร้อง ถามว่าโชคดีไหมที่ได้ไปร่วมงานใหญ่ๆ โชคดี ถามว่าโชคร้ายไหม โชคร้ายเพราะผมไม่เคยผ่านเวทีมาเลย ผมขาสั่น เสียงสั่น ถามว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีไหม เป็นประสบการณ์ที่ดีครับดีมาก เพราะว่าหลังจากเวทีนั้นผมก็ไม่สั่นอีกเลย เพราะเหมือนไปเจออันโหดมาแล้ว (หัวเราะ) แล้วค่ายเราเป็นค่ายเล็กๆ แต่ให้เราเป็นตัวเองเต็มที่ ไม่ได้มีคนมาสอน มาเทรน เพราะฉะนั้นโชว์แต่ละครั้งมันทำให้เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น เรารู้ว่าเราขึ้นไปต้องทำยังไง เป็นตัวของตัวเองยังไง จะเอ็นเตอร์เทนคนดูยังไง

ชีวิตของคุณถ้าคนภายนอกมองการเล่นดนตรีสำหรับคุณ ไม่ใช่การเลี้ยงชีพ แต่ดนตรีมันให้อะไรกับคุณ
ผมว่าดนตรีให้ความสุขกับผม สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันเหมือนเป็นสิ่งที่เราได้ปลดปล่อย มีความสุขกับมัน แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเราทำมันมีแต่เราจะได้รับความสุข ผมไม่ได้คิดว่าเวลาไปเล่นคอนเสิร์ตหรือไปร้องเพลงที่ไหนมันคืองาน เราทำเพราะเรารัก เวลาออกไปโชว์ ไปร้องเพลง คือเราได้ออกไปมีความสุขผมคิดอย่างงั้น และตอนนี้ก็ทำงานให้ที่บ้านด้วย กับงานส่วนตัวงานบันเทิงก็ยังทำอยู่ ถามว่าทำงาน 6-7 วัน ต่ออาทิตย์เหนื่อยไหม เหนื่อยมาก หลังจากที่ผมทำงานให้ที่บ้านเหนื่อยมากๆ พอกลางคืนมีงานคอนเสิร์ตผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ออกไปทำงานรู้สึกว่าไปปลดปล่อยกับสิ่งที่ผมรัก มันถึงทำไปได้ด้วยกันหลายๆอย่างมันกลับกระตุ้นให้เราเอ็นจอยกับชีวิตแล้วเรามีความสุขมากขึ้น

หลังเรียนจบคุณเคยไปทำงาน Bangkok Post และ M2F ด้วย งานสื่อเปลี่ยนอะไรในตัวคุณบ้าง (เพราะได้ข่าวว่าทำตั้งแต่เซลล์จนถึงนักข่าว)
ไม่ได้เปลี่ยนอะไรครับ ผมยังเป็นผมคนเดิมอย่างทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าการที่เป็นตัวของตัวเองแล้วทำในสิ่งที่ตัวเองรักมีความสุข เป็นการใช้ชีวิตที่ยิ่งดี เราจะไม่ฝืนแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรขัดแย้งกับการเป็นตัวของตัวเอง ถามว่าผมได้เก็บเกี่ยวอะไรจากตรงนั้นจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ 3 ปีที่ได้ไปทำงานก่อนที่จะไปเรียนปริญญาโท คือขั้นตอนทุกอย่างเค้าทำให้เราเห็นว่ากว่าจะมีสินค้าสักหนึ่งอย่างมันต้องผ่านอะไรยังไงบ้าง ต้องใช้คนกี่แผนก พนักงานแต่ละแผนกต้องทำอะไรยังไงบ้าง เพราะว่าวันนึงเราต้องตอบแทนที่บ้าน ที่ทำให้เรามีประสบการณ์ มีความรู้ มีทุกอย่าง จนถึงทุกวันนี้ วันนึงก็ต้องมาช่วยที่บ้านทำ ช่วยที่บ้านบริหาร เพราะฉะนั้นการที่เราจะบริหารได้ เราต้องรู้ทุกกระบวนการ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ และตอนนั้นก่อนที่จะมีหนังสือพิมพ์แจกฟรี M2F ผมเป็นหนึ่งในทีมงานที่ทำมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ถ้าไม่ได้ลองทำตรงนั้นผมคงไม่เคยรู้ประสบการณ์ที่ดีมากๆ ครับ

มีเรื่องตื่นเต้น น่าจดจำตอนเป็นนักข่าวมาเล่าให้เราฟังไหม
ตอนที่ผมเข้าไปวันแรก เค้าก็บอกออกๆ ยังไม่ทันได้พูดคุยกับใครเลย เพราะมีวอจากตำรวจมา หน้าที่ของผมคือเป็นคนจดรายละเอียดข่าวเพื่อที่จะเอากลับมาเขียน แล้วจะมีพี่อีกคนเป็นคนรถ และอีกคนคือตากล้อง ไปด้วยกัน 3 คน ผมก็ถามไปไหนครับพี่ เค้าก็บอกจะไปบุกจับ เริ่มฟังดูไม่ค่อยดีละ สักพักเค้าก็บอกมาว่าเดี๋ยวให้พี่เข้าไปก่อน เดี๋ยวป๊อกค่อยเข้ามา พร้อมกับคนอื่น ผมก็ถามทำไมพี่ เค้าบอกไปบุกจับเผื่อมันยิงสวนออกมา ผมก็โห! วันแรกเป็นอะไรที่ช็อคมากๆ บุกจับแก๊งส์คอลเซ็นเตอร์ตรงแยกราชประสงค์เป็นต่างชาติ เหมือนทำเป็นออฟฟิศหลอก เป็นกระบวนการมืออาชีพมาก แต่ตอนที่ผมไปถึงไม่ได้เข้าไปพร้อมกับตำรวจ พอเราเข้าไปคือเขามัดทุกคนไว้หมดแล้ว มันช็อคเพราะเป็นครั้งแรกที่ผมไปจด จดไม่ทันพี่นักข่าวที่อื่นก็เฟรนด์ลี่แชร์ข่าวให้ผม เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ตื่นเต้นมากสำหรับครั้งแรก คือผมเลือกเอง ต้องไปกองข่าว 1 อันอยู่แล้ว ผมก็เลยขอข่าวอาชญากรรมแล้วกัน

คุณเคยเป็นทั้งนักข่าว และคนในข่าวด้วย คุณคิดว่าทั้งสองบทบาทควรวางตัวและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไร
ไม่ต้องทำอะไรเยอะครับ แค่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ไม่ดีหรือไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน ในฐานะสื่อและคนที่ถูกถามทั้ง 2 อันผมว่าถ้าเรายึดมั่นในจุดยืนตรงนี้มันจะไปด้วยกันได้อย่างดีมากๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีทำให้ผมเข้าใจถึงตำแหน่งของทั้งสองฝ่าย ว่าฝั่งนี้เค้าคิดยังไง ถ้าเราอยู่แต่จุดของเรา ไม่เคยเอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งของข่าว บางทีผมเชื่อว่าคงจะไม่เข้าใจ ซึ่งบางคนอาจจะไม่พอใจว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แต่หลายๆ อย่างมันมีเหตุและผล ลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในส่วนของเค้าแล้วยืนตรงกลางไว้ เราก็จะเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายมากขึ้น ผมว่าเป็นสิ่งที่โอเคครับ

สำหรับคุณคิดว่าหัวใจสำคัญของการเป็นนักข่าวและสื่อมวลชนคืออะไร (ในฐานะที่เคยทำงานและเป็นธุรกิจครอบครัว)
หลักสำคัญก็คือจรรยาบรรณของนักข่าวครับ ข้อมูลที่ถูกต้อง ผมว่าอันนี้เป็นอะไรที่ต้องมีเลยนะ เพราะเขียนข่าวให้คนมาอ่านบทความที่เราทำ จะเป็นข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไม่ได้ ผมคิดว่าบางทีมันมีบ้างที่จะเติมโน่น ตัดนี่ หรืออะไรยังไงก็ตาม แต่ตัวของมันเองเราต้องเป็นกลางให้ได้มากที่สุด และพรีเซนต์ข้อมูลที่แท้จริง

นอกจากนี้คุณยังเป็นนักธุรกิจเครื่องดื่มและเสื้อผ้าด้วย เวลาคุณอยู่กับลูกน้อง คุณวางตัวอย่างไร และเป็นเจ้านายสไตล์ไหน
จริงๆ แล้วผมจะทำกับเพื่อนหมดเลย เพราะฉะนั้นจะเป็นลักษณะกันและกัน เป็นตัวเองสบายๆ ไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก แต่ก็แค่ว่าถ้าแต่ละคนมีเป้าหมายของตัวเอง มีจุดยืน ยึดมั่นและมีความรับผิดชอบ ทำอะไรก็ได้ที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น ผมว่าแค่นี้มันน่าจะโอเค ผมจะรุ่นใหม่ครับแต่งตัวไม่จำเป็น แต่ก็ต้องรู้ว่าเวลาไปเจอลูกค้าต้องประมาณไหน ไม่ใช่เนี้ยบเข้าออฟฟิศทุกวัน ถ้าคุณทำงานได้ผมว่าอันนี้สำคัญมากกว่า เพราะผมเชื่อว่าเข้าออฟฟิศมานั่งบอกว่าโอเค เข้าแปดโมง ออกห้าโมง บางทีคนเค้าก็ไม่ได้มีกระจิตกระใจขนาดนั้น เข้ามานั่งดูเวลาว่าเมื่อไหร่จะออก เล่นเฟซบุ๊กรอเพื่อจะถึงเวลาออก แต่เวลาพวกนั้นไม่ได้เป็นเวลาที่บริษัทได้สินค้าเพิ่มขึ้นมากเลย เพราะเราจ้างเวลาเขามาแล้ว ผมไม่ค่อยชอบอะไรตรงนั้น ผมว่าถ้าเราผูกความคิดกับพนักงานของเราให้เขารักบริษัท แล้วมีจุดมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกันกับเรา เขาจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร เขาก็สามารถทำงานให้เราออกมาดีกว่า บางทีเขาออกไปข้างนอกอาจจะทำอะไรได้มากกว่าที่นั่งอยู่ในออฟฟิศแล้วเล่นเฟซบุ๊กก็ได้ ผมเลยไม่คิดว่าเรื่องเวลากับการแต่งตัวมันจะมีผลกระทบกับผลงาน มันอยู่ที่ตัวเขาเองครับ

ตอนนี้คุณได้เข้าไปช่วยสืบทอดกิจการของครอบครัวบ้างหรือยัง และเข้าไปช่วยธุรกิจแบบไหน เพราะอะไรถึงเข้าไปช่วยในธุรกิจนี้
ไปช่วยในธุรกิจนี้ เพราะผมโดนที่บ้านขอให้เข้าไปช่วย (หัวเราะ) ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนที่เก่ง แต่อย่างน้อยสิ่งนึงที่ๆบ้านไว้ใจ และผู้ใหญ่ไว้ใจคือ ผมเป็นคนซื่อสัตย์ และผมเป็นคนตรงมากๆ ใจผม 100% ผมสะอาดมาก ไม่มีการบิดเบือน ไม่มีการทำอะไรโดยที่เค้าจะไม่สบายใจและรู้สึกผิดหวัง เพราะตรงนั้นผมมีให้เต็ม 100 เก่งไม่เก่งผมก็ยังเรียนรู้จากผู้ใหญ่อยู่ พยายามเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุดนะครับ ตอนนี้ก็เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของแมกกาซีน 8 เล่ม ดูแลหนังสือในเครือ Post Internation และก็ดิจิตอลมีเดียด้วย เหนื่อยมากครับ ตอนนี้ก็เข้าเดือนที่ 6 แล้วครับ ทำมา 6 เดือนแล้วถามว่าเครียดไหม เครียดมากครับ 3 เดือนแรกเป็นอะไรที่เหนื่อยสุดๆ เลย ค่อนข้างที่จะเยอะมากๆ ด้วยประสบการณ์ที่พยายามจะเรียนรู้จากผู้ใหญ่ และสถานการณ์ทุกๆ อย่างมันเครียด อย่างที่ทุกๆ คนรู้ว่าเป็นยุคที่นิตยสาร แมกกาซีน ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ดีนัก แต่ผมคิดในแง่บวกโอเคสถานการณ์ไม่ดี หลายๆ อย่างลำบาก แต่ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ตลอดเวลา เราได้เจอถือว่าเป็นบุญของเรา ถ้าเราผ่านอันนี้ไปได้ มันจะทำให้ผมอัพระดับความรู้ ความสามารถ หลายๆ อย่างเร็วกว่าที่ไปทำกับสถานการณ์ปกติ ถ้าผ่านมันไปได้ผมก็จะมีความสุขมากๆ เหมือนได้รับรู้หลายๆ อย่างในเวลาที่สั้นกว่า

การที่คุณทำสิ่งต่างๆ ที่ต้องการได้ เพราะว่าคุณมีฐานะดี สำหรับคุณ “เงิน” สำคัญและจำเป็นแค่ไหน
ถามว่าสำคัญไหม เงินก็ต้องสำคัญในระดับนึงเนอะเพราะว่าคนเราจะอยู่ได้เราก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน ใช้ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เงินคือปัจจัยนึงที่เราต้องทำงานหาเงิน แต่บางทีผมเชื่อว่าทำงานหาเงินไปแล้วมีเงินเยอะๆ ไปมากๆ แล้วเราไม่ได้มีความสุข เราเครียด เราทำแต่งานๆๆ จนไม่มีเวลาให้กับคนที่เรารัก ไม่มีเวลาให้กับพ่อแม่ ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ไม่มีเวลาที่จะได้เอ็นจอยชีวิต มันก็ทำให้ผมย้อนกลับไปคิดอีกว่าสุดท้ายชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อที่จะหาแต่เงินๆ เหรอ หรืออะไร ผมว่ามันอยู่ที่ความคิดและการบาลานซ์ชีวิตของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราทำอะไรแล้วคิดว่าเรามีความสุข ควรจะทำครับ ถ้าเราหาเงินแล้วเราได้ใช้ เอ็นจอยกับมันได้มีความสุขกับคนที่เรารัก กับพ่อแม่ครอบครัว มันก็เป็นสิ่งที่ดี ทำงานมากเกินไปจนไม่มีอะไรพวกนี้ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว คนที่เรารัก ผมว่าสุดท้ายแล้วเค้าก็จะเสียใจว่าสิ่งที่เราทำไปทั้งหมดทำไปเพื่ออะไร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook