ไผท ผดุงถิ่น - ถอดรื้อมายาคติวงการธุรกิจก่อสร้าง

ไผท ผดุงถิ่น - ถอดรื้อมายาคติวงการธุรกิจก่อสร้าง

ไผท ผดุงถิ่น - ถอดรื้อมายาคติวงการธุรกิจก่อสร้าง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่อง: Arinn ภาพ: แสงอรุณ จำปาวัน, www.facebook.com/builk/

เขาต้องการเปลี่ยนวงการก่อสร้าง
เขาพูดกึ่งทีเล่นทีจริง “ถ้าผมตายไป โดนเหล็กฟาดในไซต์งานก่อสร้าง ผมควรได้อนุสาวรีย์”

โบ๊ท – ไผท ผดุงถิ่น ผู้ก่อตั้ง Builk.com ผู้ทำซอฟต์แวร์การบริหารจัดการธุรกิจก่อสร้าง รวมทั้งเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์แห่งแรกในประเทศไทย
เขาเป็นสตาร์ทอัพไทยรุ่นแรกๆ ในบ้านเรา ก่อนที่คำนี้จะพูดกันเกร่อพอๆ กับคำว่าสโลว์ไลฟ์ เขาเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมเทคสตาร์ทอัพ (Thailand Tech Startup Association) สวมบทบาทเป็นนายกสมาคมคนแรก ก่อนจะหมดวาระไปเมื่อไม่นานมานี้ ยังไม่หมด...เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพจเจ๊จู I-JU วัสดุก่อสร้าง ที่เป็นไวรัลในโลกออนไลน์เมื่อหลายเดือนก่อน

ช่วงนี้มีแต่คนพูดคำว่าสตาร์ทอัพ จริงๆ นิยามของมันคืออะไร
สตาร์ทอัพไม่ใช่เรื่องใหม่ ทุกคนเคยเป็นอยู่แล้ว ธุรกิจเริ่มต้นใหม่ที่ไหนก็เรียก Start Up แต่ปัจจุบันกับสมัย 20-30 ปีที่แล้วไม่เหมือนกัน เทคโนโลยีในยุคนี้เป็นสิ่งที่ในอดีตไม่มี ใครจะถือสมาร์ทโฟนทั้งประเทศแบบนี้ ใครจะเข้าถึงข้อมูลได้แบบนี้ พฤติกรรมคนเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้เวลาพูดว่า Start Up โดยเซนส์แล้วจะเป็นเรื่อง Tech Start Up แต่ประเทศไทย บางทีภาครัฐก็ไม่เข้าใจ ใครเปิดร้านก็เป็นสตาร์ทอัพทั้งนั้น มีร้านก๋วยเตี๋ยวก็เป็นสตาร์ทอัพ แบบนั้นไม่ผิด แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ และไม่ได้ทำให้เราหลุดกับดักรายได้ปานกลาง

สตาร์ทอัพคือคนที่ทำงานแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง อยู่ที่ว่ามีใครคันพอจะแก้ปัญหาหรือเปล่า เราเรียกแท็กซี่ แล้วแม่งปฏิเสธ แต่เราไม่คัน เราก็ช่างแม่งเรียกคันใหม่ แต่มีคนคิดว่า เฮ้ย! ทนไม่ได้ เลยใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทำแอพที่ให้คนกับแท็กซี่แมตซ์กัน เลยเกิดแอพอย่าง Uber หรือ Grab ขึ้นมา ผมว่าบางทีก็เข้าใจสตาร์ทอัพกันผิดไปหน่อย ไม่ใช่คนทำแอพ แต่คือคนที่แก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีที่ต้นทุนต่ำและทำได้เร็ว
ดูอย่าง Line หรือ Uber เกิดขึ้นมา 4-5 ปี แต่สร้างมูลค่าธุรกิจได้อย่างมหาศาล เปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้มากมาย สิ่งที่ต่างกับบ้านเราคือความเข้าใจเทคโนโลยีและการหยิบมันมาใช้ การเริ่มต้นธุรกิจต้องระลึกว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ เราอยากเห็นผู้ประกอบการไทยมองหานวัตกรรมที่ทำให้ธุรกิจสร้างความแตกต่างและเติบโตแบบยั่งยืนได้จริงๆ


Start Up กับ SMEs ต่างกันอย่างไร
สตาร์ทอัพเป็นสเตจหนึ่งของเอสเอ็มอี มันต่างกันนิดเดียวตรงที่เราเกิดมาทีหลัง แต่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีมากขึ้น ผมเคยเป็นเอสเอ็มอีก่อนที่จะมาทำโปรแกรมขาย เราแบ่งพาร์ทหนึ่งของบริษัทไปคิดแบบสตาร์ทอัพ เกิดธุรกิจใหม่ชื่อ Builk นั่นแหละ มันอาจจะเข้าไปทำร้ายธุรกิจเก่าของผม แต่ดีกว่าให้คนอื่นมาทำร้าย ผมเรียกมันว่า Constructive Disruption คือทำร้ายเพื่อสร้างใหม่

กรณี Grab Bike และ Uber Moto ที่ถูกกรมการขนส่งแบน คุณมองเรื่องพวกนี้อย่างไร
ผมมองแบบนี้ครับ หน้าที่ของภาครัฐคือต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหา แต่ท่าทีแปลกไปหน่อย ในต่างประเทศอย่างสิงคโปร์ก็มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ธุรกิจเก่า ธุรกิจใหม่ ผลประโยชน์เก่า ผลประโยชน์ใหม่ รัฐมีหน้าที่ป้องกัน เขาบอกว่าถ้ามีเรื่องใหม่เกิดขึ้นมา เขาจะจับตามองก่อน แต่ไม่ใช่ห้าม ผิดกับเราที่จะห้ามก่อน ซึ่งอันตรายมาก มันจะเป็นตัวบล็อกความคิดสร้างสรรค์และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ

วิธีคิดแบบเก่าๆ ที่ว่าใช้เงินฟาด ตั้งกองทุนพันล้านหมื่นล้านส่งเสริมสตาร์ทอัพ ผมว่าแบบนั้นมีความเสี่ยงมาก เพราะทำโดยคนที่ไม่เข้าใจ เงินหาจากที่ไหนก็ได้ โลกนี้มีเงินเต็มไปหมด ถ้าสตาร์ทอัพมีคุณภาพ หาเงินได้ไม่ยาก แต่รัฐมาถึงจะเอาเงินไปอุ้ม ใครก็ได้ที่เป็นสตาร์ทอัพ ดีหรือเปล่าไม่รู้ เงินนั้นก็จะละลาย แล้วเกิดการต่อต้านจากอีกฝั่งหนึ่ง เอาภาษีกูไปละลายทำไม คำแนะนำจากผมคือว่าควรดึงคนที่มีความเป็นมืออาชีพ กองทุนจากต่างประเทศที่เคยลงทุนในสตาร์ทอัพแล้วรู้เรื่องมากกว่ารัฐหรือผม รัฐควรทำหน้าที่ของรัฐที่เอกชนทำไม่ได้ เช่นแก้กฎหมายให้ทันสมัย

กลับมาที่ตัวคุณ ช่วยเล่าเส้นทางของธุรกิจคุณให้ฟังหน่อย
ผมทำรับเหมาก่อสร้างมาหลายปี รู้ว่าปัญหาในวงการธุรกิจก่อสร้างมีอะไรบ้าง อยากจะแก้ปัญหานั้น ประมาณปี 2005 ผมเลยทำโปรแกรมบริหารจัดการธุรกิจก่อสร้าง เขียนโปรแกรมใส่แผ่นซีดีขายให้ลูกค้า ก็ขยายตัวช้าๆ ประมาณปี 2007 สภาพแวดล้อมภายในของเมืองไทยมีผลกระทบกับเราพอสมควร อุตสาหกรรมก่อสร้างเริ่มหดตัว ธุรกิจเริ่มเป๋ เราเลยไปทำธุรกิจที่เวียดนาม เพราะคิดว่าธุรกิจก่อสร้างที่นั่นน่าจะดี ปรากฏว่าเจ๊ง จำได้ว่าวันที่เราปิดออฟฟิศที่เวียดนามกลับมา ก็นั่งคิดบนเครื่องบินว่า เราโง่หรือเปล่าที่ต้องเดินขายซอฟต์แวร์ทีละประเทศ ทำไมเฟซบุ๊กไม่เคยมาออกบูธที่ประเทศเราเลย แต่คนแม่งยังใช้กัน ฝรั่งคิดโมเดลธุรกิจแบบนี้ได้ ทำไมเราคิดไม่ได้

ตอนนั้นได้ยินคำว่า Internet Business คือทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องใส่ซีดีขายอีกแล้ว เลยเป็นที่มาของ Builk เริ่มจากปัญหาธุรกิจซอฟต์แวร์ของผมที่ไม่สามารถขยายตัวได้เร็ว ในปี 2010 เราเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ให้คนใช้ฟรีเลย เลิกขายแล้ว เราเห็นว่าความฟรี มันเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้เยอะมาก คนได้ประโยชน์มากขึ้น ตลาดก็เปลี่ยน เราเลยตั้งใจว่า Builk จะเป็นผู้เล่นที่เปลี่ยนอุตสาหกรรมนี้ เราต้องทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น

แล้วแบบนี้รายได้ของคุณจะมาจากไหน
ช่วงแรกเราก็คิดว่าจะเป็นแบบเฟซบุ๊ก มีคนใช้เยอะเดี๋ยวก็มีโฆษณามาลง แต่สุดท้ายโฆษณาเลี้ยงดูผมไม่ได้ ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เฟซบุ๊กมีคืออะไร เฟซบุ๊กมีดาต้าของคนที่ใช้ เช็คอินอยู่ที่ไหน ความรู้สึก กินอะไร ถ่ายรูปกับใคร พวกนี้คือดาต้ามหาศาล เราก็ทำคล้ายๆ แบบนั้น คนที่ใช้โปรแกรมฟรีของผมก็กำลังแชร์ดาต้ามหาศาลอยู่ เขาซื้อเหล็ก ค้อน ตะปูที่ไหน ไปสร้างบ้านอยู่โครงการไหน สมัยก่อนไม่มีใครเคยเก็บได้ วันนี้เราเป็นแพลตฟอร์มฟรี ทุกคนได้ประโยชน์จากเรา ทำงานควบคุมธุรกิจของตัวเองง่ายขึ้น เราไม่ได้เอาดาต้าไปขาย เราเอาไปวิเคราะห์เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้ เช่น ผู้รับเหมารายนี้ที่ไปทำบ้านของคุณชอบบ้านสไตล์โมเดิร์น ผมก็จัดโฆษณาที่เหมาะสมกับสินค้าบ้านสไตล์โมเดิร์นให้กับผู้รับเหมา เขาจะซื้อของได้ง่ายขึ้น นั่นคือการโฆษณาที่ฉลาดขึ้น

วันนี้มูลค่างานก่อสร้าง 5 หมื่นล้าน ผมรู้แล้วว่าทำอะไรกันอยู่บ้าง แล้วใครต้องการอะไร พอผมมีดาต้าเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นศักยภาพของโมเดลธุรกิจนี้ ผมเห็นคนต้องการใช้เหล็กเดือนละเป็นพันตัน ใช้ปูนพันตัน เราลองไปคุยกับโรงงานเหล็ก เอาของไปขาย แมตชิ่งดีมานต์กับซัพพลาย ส่งเหล็กไปถึงไซต์งานเลยได้ไหม โรงงานขายของได้ง่ายขึ้น ปี 2015 เราเริ่มเป็นอีคอมเมิร์ซ รายได้ก็เติบโตแบบก้าวกระโดด วันนี้เราเป็นร้านวัสดุก่อสร้างออนไลน์แบบไม่มีหน้าร้าน จัดส่งได้ทั่วประเทศแบบไม่มีรถขนส่ง เรียกโมเดลธุรกิจแบบนี้ว่า Data Driven Construction Supply

พอทำมาถึงจุดหนึ่งพบว่า เราไม่สามารถขายของคนเดียวได้ ที่ผ่านมาเราเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้รับเหมามาเหยียบแล้วไปได้ไกลขึ้น คราวนี้ผมอาสาเป็นแพลตฟอร์มให้ร้านวัสดุก่อสร้าง เหมือนกับการสร้างห้างแบบเวอร์ชวลขึ้นมา มีคนมาเดินในห้างเยอะๆ เราก็มีดาต้า รู้ว่าแต่ละคนซื้ออะไร จากนั้นผมก็เอาของมาขายเอง และเอาร้านอื่นๆ มาขายด้วย เราอยากเป็น Marketplace แบบอาลีบาบา แต่เป็นเฉพาะทางเรื่องวัสดุก่อสร้าง แบบ b2b เริ่มที่เมืองไทยแล้วขยายไปทั่วอาเซียน เพราะดูแล้วว่างานก่อสร้างเติบโตได้อีกเป็นสิบๆ ปี

ทำไมถึงเลือกกลุ่มลูกค้าเป็น B2B ไม่ใช่ B2C
วงการก่อสร้างในไทยมีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท เป็นเมกะโปรเจ็กต์ประมาณ 5 แสนล้าน แสดงว่าเป็น B2B อยู่ครึ่งหนึ่ง เราขอเลือกท่ายาก คู่แข่งก็ยังมีไม่มากนัก เราต้องคิดแบบกบฎ แบบคนไม่มีตังค์ ความคาดหวังของผมคือไม่ได้อยากรวยที่สุดในโลก เราอยากได้ชื่อในการเปลี่ยนวงการก่อสร้าง เพราะนี่คือวงการที่ล้าหลังที่สุดในโลก

เพจเจ๊จู ที่เป็นไวรัลในโลกออนไลน์ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมต้องเป็นเจ๊จู
Builk เนี่ยมันเล่ายาก วิธีการผมคือสร้างคาแร็กเตอร์ขึ้นมาคนหนึ่ง แล้วเล่าเป็นคลิปวิดีโอน่าจะเข้าใจง่ายขึ้น ก่อนหน้านี้เรามีคลิปชื่อเฮียอู๋ ก็เล่าว่าชีวิตผู้รับเหมาแบบเฮียอู๋เป็นอย่างไร พอถึงจังหวะเจ๊จู เราก็ทำพล็อตให้มันดูเกรียนๆ หน่อย เล่าเรื่องร้านวัสดุก่อสร้าง เปิดเพจเจ๊จูขึ้นมา ปรากฏในหนึ่งสัปดาห์มีคนไลค์เพจแสนคน ทุกคนตั้งคำถามว่าคือใคร เราก็เลยต้องทำคลิปวิดีโอออกมาก่อนกำหนด แล้วการตอบรับดีมาก มีร้านวัสดุก่อสร้างที่สนใจแบบเจ๊จูอยากขายของกับเรา เราก็ต้องคุยกับเขา ร้านไหนพร้อมก็เอามาขึ้นก่อน ทำให้เราเข้าสู่การเป็น Marketplace เร็วขึ้น แต่เพจเจ๊จูตอนนี้เราตั้งใจให้กระแสเบาๆ ลงไป อยากให้มันไปเรื่อยๆ มากกว่า

เพจเจ๊จูทำให้คนรู้จักคุณมากขึ้นไหม
ใช่ครับ...โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เราไม่สามารถเป็น Everything for Everyone เราอยากเป็น Something for Someone ขอทำกับผู้รับเหมาที่เป็นเอสเอ็มอีก็พอแล้ว

ตอนนี้ Builk ได้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในธุรกิจก่อสร้าง
มีหมื่นกว่าบริษัทใช้เรา เหลืออีกแปดหมื่นรายที่ยังไม่ได้ใช้ เราก็ค่อยๆ ขยายไป นอกจากโปรแกรมฟรีแล้ว ปีที่แล้วจากงานวิจัยของ TDRI บอกว่าช่วยลดต้นทุนให้ผู้รับเหมาได้ 2.6% ปีนี้เราตั้งเป้าอยากช่วยลดต้นทุนการจัดส่งวัสดุให้ได้ 5-10% ผู้รับเหมาแย่ๆ ก็จะลดลง นั่นคือโอกาสที่ประเทศไทยได้ประโยชน์

จะเก็บความเป็นสตาร์ทอัพไว้อีกนานแค่ไหน
ผมไม่อยากเรียกตัวเองว่าเป็นสตาร์ทอัพแล้ว ในเชิงธุรกิจผมเจอหนทางแล้ว แต่ในทางจิตวิญญาณ ผมอยากเก็บสิ่งนี้ไว้ ทำให้เราตื่นตัวตลอดเวลา ต้องยอมรับว่าเราเป็นสตาร์ทอัพที่เปลี่ยนเกมคนอื่น ซึ่งไม่ได้แปลว่าคุณจะประสบความสำเร็จ อาจมีคนที่ใหม่กว่าคุณมาเปลี่ยนเกมของคุณอีกก็ได้ ถ้าผมประมาทหรือเข้าสู่คอมฟอร์ทโซนเร็วเกินไป ผมตายชัวร์ อาจมีโปรเจ็กต์ใหม่แล้วทำแบบสตาร์ทอัพ ลองผิดลองถูกต่อไป นั่นคือเพื่อให้เราอยู่รอด แล้วมองรอบข้างว่ามีใครที่เราจะร่วมมือกัน หรือเข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพอื่นๆ เหตุผลที่เราต้องทำงานเหนื่อยเพราะผมกลัววันหนึ่งจะมีคนมา Disrupt เหมือนที่ผมเคย Disrupt คนอื่น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook