“ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม” “การเดินทางสายกลางเป็นวิธีคิดต่างที่ดีที่สุด”

“ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม” “การเดินทางสายกลางเป็นวิธีคิดต่างที่ดีที่สุด”

“ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม” “การเดินทางสายกลางเป็นวิธีคิดต่างที่ดีที่สุด”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในยุคที่คำว่าเด็กแนว เด็กอินดี้ยังเป็นคำพูดเหมารวมกลุ่มคนคิดต่าง คิดนอกกรอบ คิดไม่เหมือนใคร ผู้ชายโตโตมันมันอย่าง “ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม” คือผู้ที่ถูกแขวนป้ายให้เป็นหัวโจก และเจ้าพ่อสำหรับกลุ่มคนเหล่านั้น

แม้เวลาจะผ่านมาแล้วช่วงหนึ่ง แต่ป๋าเต็ดกลับยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด เมื่อไรก็ตามที่ต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับวัยรุ่น หนึ่งในคนที่เรานึกถึงย่อมไม่พ้นผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่กำลังก้าวเข้าสู่วัย 50 ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ ผู้ชายที่เริ่มมีเส้นผมสีขาวแซมขึ้นบ้างเล็กน้อย กี่เหตุผลที่ทำให้เรายังคงนึกถึงและจดจำหนุ่มใหญ่ในแบบนี้มาตลอด Sanook! Men มาพร้อมกับคำตอบเหล่านั้น

ในวัยใกล้ 50 คุณรู้สึกอย่างไรกับฉายา “เจ้าพ่อเด็กแนว เจ้าพ่อเด็กอินดี้” ที่คุณได้รับ
ช่วงแรกมันก็ขำ ขำ เหมือนเรามีตำแหน่ง เพราะตอนนั้นอาชีพเราไม่ชัดเจนจะเป็นดีเจก็ไม่เชิง เป็นผู้บริหารรายการคลื่นวิทยุด้วย ขณะเดียวกันเราก็มีชื่อเสียงเรื่องการทำอีเวนท์ มันไม่เหมือนมีอาชีพเป็นหมอ เป็นครูที่มันชัดเจน แต่ก็ทำให้คนรู้ว่าเราทำงานเกี่ยวกับวัยรุ่น

แต่พอนานๆ เข้าฉายานั้นมันก็เริ่มส่งผลต่อชีวิตเรามากขึ้น เมื่อไรที่คนต้องการความเห็นของคนที่ทำงานเกี่ยวกับวัยรุ่นเขาก็ต้องมาถามเรา เวลาเกิดเรื่องอะไรแปลกๆ แหวกแนวก็มาถามเรา ความเป็นเจ้าพ่อเด็กแนวมันติดตัวเรามา เขาจะอนุมานไปก่อนว่างานของเราต้องเป็นงานเด็กแนว ต้องแปลกแหวกแนว ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะจริงๆ เราก็ทำงานที่เป็นทางการพอไปขายงานลูกค้า ลูกค้าก็กลัวว่าคนจะมาเยอะไหม เป็นงานแนวๆ อินดี้หรือเปล่า ชาวบ้านจะรู้เรื่องไหม ซึ่งเราก็ต้องใช้เวลาอธิบาย

แต่ถ้าเป็นในมุมที่ลึกกว่านั้นผมจะรู้สึกว่าเราอยู่ในสังคมที่ชอบตีตรากันเพื่อให้เข้าใจง่าย และมันก็เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตีตราว่าคนนี้คือเด็กแนว คนนี้คือฮิปเตอร์ หรือที่มันซีเรียสกว่านั้นคือการตีตรากันด้วยป้ายที่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง บางทีก็เป็นสีเสื้อ ซึ่งผมรู้สึกว่าตรงนี้ผมไม่ค่อยสบายใจ ผมคิดว่ามันไม่มีตราไหน กรอบไหนจำกัดความใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราพูดเรื่องการเมือง แม้คนที่ถูกเรียกว่าสีเสื้อเดียวกันยังคิดไม่เหมือนกันทุกคนเลย ดังนั้นการตีตราอาจเป็นประโยชน์ในบางครั้ง เพราะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันข้อเสียของมันก็คือการจำกัดกรอบของเขา เหมารวมในเรื่องที่บางครั้งก็ไม่ต้องไปเหมารวม เพราะแต่ละคนไม่มีใครเหมือนกันอยู่แล้ว

จากฉายาเหล่านี้ทำให้คุณกลายเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดกับกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งผู้ทรงอิทธิพลตามความหมายทั่วไปอาจต้องมีฐานะ เป็นนักธุรกิจร่ำรวย ประสบความสำเร็จ แต่การได้มาซึ่งการเป็นผู้ทรงอิทธิพลของคุณมันคือความคิดของคุณที่ต่างไปจากคนอื่น อะไรทำให้คุณเป็นคนคิดต่าง
ผมเติบโตมากับครอบครัวที่ส่งเสริมให้มองโลกในแง่ดี ส่งเสริมให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเองและยอมรับในสิ่งที่คนอื่นเป็น ฟังแล้วเหมือนซีเรียส แต่ครอบครัวผมเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่เป็นแบบบันเทิง สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เกิดจากคุณพ่อคุณแม่นั่งสอนให้เราเป็นตัวของตัวเอง แต่มันเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ บ้านผมแต่ละคนชอบเพลงไม่เหมือนกัน คนนึงชอบสุนทราภรณ์ คนนึงชอบลูกทุ่ง คนนึงชอบร็อค แต่อยู่รวมกันได้ เปิดเพลงฟังด้วยกัน ถึงเวลาล้อมวง จัดปาร์ตี้ร้องเพลงแลกเปลี่ยนกัน ไม่มีใครมาว่ากันเลยว่าฟังเพลงแบบนี้เชย หรือไม่ชอบ การอ่านหนังสือ ดูหนัง ล้วนส่งเสริมให้เจอของใหม่ๆ แล้วถ้ามีอะไรที่เห็นต่างก็จะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน สิ่งเหล่านี้มันค่อยๆ หล่อหลอมให้เราเป็นคนที่พร้อมจะยอมรับสิ่งใหม่ๆ

พอโตขึ้นมาผมทำงานกับบริษัทที่เมนสตรีมสุดๆ อย่างแกรมมี่ แต่จริงๆ แกรมมี่เคยเป็นบริษัทอินดี้มาก่อนในยุคเริ่มต้น แต่พอประสบความสำเร็จก็กลายเป็นเมนสตรีม ดังนั้นคนในแกรมมี่มีทั้งคนที่คิดแบบเมนสตรีมสุดๆ ในขณะเดียวกันก็มีคนที่คิดแบบสุดโต่ง มันเลยสอนให้ผมเป็นคนเดินสายกลาง ทำให้ผมเห็นข้อดีและข้อเสียของทั้งสองฝั่ง แล้วผมก็เดินอยู่ตรงกลาง ซึ่งมันไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางสายกลางมันก็เป็นการปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า แต่นี่คือเรื่องทันสมัย มันทำให้เราแตกต่างเองโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะในสังคมไทย พวกเราติดกับดักตัวเองในการที่เราต้องเลือกข้าง เลือกฝ่าย เลือกพวก เพราะพวกเราเป็นพวกกลัวไม่มีพวก แต่การเดินทางสายกลางคือการสลัดจากสิ่งเหล่านั้น ผมทำเช่นนั้นมาตลอด ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นอินดี้ หรือตัวเองเป็นเมนสตรีม

เท่ากับว่าครอบครัว องค์กรที่คุณทำงานมีอิทธิพลต่อความคิดที่แตกต่างของคุณ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้มันคือสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมแรกคือครอบครัว สิ่งแวดล้อมที่สองคือเพื่อนร่วมงาน สิ่งแวดล้อมอีกอย่างที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เด็กเลยคือความเป็นคนอยากรู้อยากเห็น อยากดู อยากฟังเยอะ ดังนั้นการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง การติดตามข่าวสาร การนั่งพูดคุยกับผู้คนและรับฟัง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องที่ทำให้เราเห็นเยอะ มันเลยทำให้เรามีข้อเปรียบเทียบ สามารถเอาข้อมูลมาเช็คเปรียบเทียบกันได้ค่อนข้างเยอะ เลยทำให้เราเดินสายกลาง

การเดินสายกลางสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องรู้ว่าซ้ายสุดกับขวาสุดมันอยู่ตรงไหน เราต้องนึกภาพถนน ถ้าเราไม่รู้ว่าขวาสุดของถนนอยู่ตรงไหน ซ้ายสุดของถนนอยู่ตรงไหน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงกลางคือตรงไหน ดังนั้นการอ่านเยอะ ฟังเยอะ ดูเยอะ มันทำให้เราเห็นเยอะ พอเห็นเยอะมันก็พอจะทำให้มองเห็นว่าขอบขวาสุด ซ้ายสุดมันสุดโน่น สุดนี่เลย โหมันกว้างมาก เราก็จะรู้ด้วยว่าตรงกลางคือตรงไหน

ปัญหาของคนที่ไม่เข้าใจว่าเดินสายกลางคือตรงไหนเพราะเขาไม่เคยรู้ว่าขอบมันอยู่ตรงไหน บางคนอยู่ขอบซ้ายเขาก็ไม่เคยสนใจข้อมูลของขอบขวาเลย ดังนั้นเขาเลยไม่เข้าใจ ถ้าเขาต้องเดินไปทางขวาสัก 5 ก้าว เขาจะเข้าใจว่าเขาได้เดินไปสุดแล้ว จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เพราะการเดินไปแค่นั้นมันอาจจะยังไม่ถึงตรงกลางเลยด้วยซ้ำ อาการแบบนี้เกิดขึ้นเยอะในบ้านเรา มันเลยทำให้พวกซ้ายก็จะซ้ายเหมือนกันหมด พวกขวาก็จะขวาเหมือนกันหมด คนแตกต่างส่วนใหญ่มั่นใจว่าคือพวกที่เดินสายกลางเพราะเขารู้หมดว่าทั้งซ้ายและขวาเป็นอย่างไร

คุณเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด แต่ทราบว่าคุณเรียนไม่จบปริญญาตรี คุณไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาหรือคะ
สั้นๆ ง่ายๆ เลยครับว่าเหลวไหล เราไม่รับผิดชอบหน้าที่ๆ ได้รับมอบหมาย มันทำให้เราไม่แบ่งเวลา ชีวิตมหาวิทยาลัยเป็นชีวิตที่อิสระมาก เข้าเรียนก็ได้ ไม่เข้าเรียนก็ได้ บางวิชาก็ไม่เช็คชื่อ แต่งตัวยังไงก็ได้ กลับบ้านดึกอย่างไรก็ได้ กิจกรรมก็เยอะ คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มไม่ว่า มันเลยทำให้เราสนุกกับกิจกรรมเหล่านั้น ทำให้เราไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องในห้องเรียน ด้วยวิชาชีพในด้านนี้การได้ลงมือทำสำหรับเราวันนั้นเราคิดว่ามันได้ความรู้มากกว่า มันเป็นความรู้ที่ได้ลงมือทำ มันย่อมจะสนุกกว่า หรือดีกว่าการเรียนทางทฤษฎี ทั้งหมดนี่มันทำให้เราห่างจากห้องเรียนมาเรื่อยๆ และเราก็เรียนไม่จบ ไม่ไปสอบ สอบก็สอบได้คะแนนไม่ดี เพราะเราไม่เคยอ่านหนังสือ สิ่งเหล่านี้ผิดหมดนะครับ มองย้อนกลับไปไม่ได้ภูมิใจกับสิ่งที่ทำอยู่เลยว่านี่ไงฉันเรียนไม่จบแล้วฉันก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่ได้พยายามจะเอาตัวเองไปเทียบกับสตีฟ จ็อบส์ บิล เกตส์ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อะไรพวกนี้นะครับ

เมื่อเราไปเรียนอะไรหน้าที่ความรับผิดชอบของเราคือเรียนให้จบ ไม่ได้บอกว่าถ้าไม่มีปริญญาแล้วชีวิตจะไม่มีคุณค่า มันคนละเรื่องกัน สิ่งที่ผมพูดคือว่านี่คือหน้าที่ของคุณที่เขามอบหมาย คุณเลือกเองด้วยนะ คุณสอบแทบตายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หน้าที่ของคุณคือเรียนให้จบ ที่เหลือเป็นเรื่องของตัวบุคคลแล้ว บางคนชอบทำกิจกรรมเยอะ บางคนชอบทำงานวิชาการ ว่ากันไป แต่ที่สำคัญต้องเรียนให้จบ ผมถือว่าผมทำหน้าที่นี้ไม่สมบูรณ์ แล้วหลายครั้งการทำงานในชีวิตจริง โอเคการที่เราทำงานนอกห้องเรียนเยอะ ทำกิจกรรมเยอะมันทำให้เวลาเรามาทำงานเราปรับตัวได้เร็ว เราฝึกงานมาตลอด แต่พวกทฤษฎีต่างๆ ที่เราเคยคิดว่าไม่มีประโยชน์ เอาเข้าจริงๆ เมื่อมันมาถึงวันนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปทฤษฎีนี้เขาบอกไว้แล้วนี่หว่า มันคือการที่เขาลองผิดลองถูกมาแล้ว แล้วเขาสรุปมาให้ ถ้าเรียกคาถาเราอาจจะท่องจำ พอเรียกว่าทฤษฎีเราเลยรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ บางเรื่องเราทำงานมา 10 ปีเพื่อที่จะค้นพบว่านี่มันต้องอย่างนี้มันถึงจะได้อย่างนี้ พอบอกแบบนี้กับลูกน้องไป เขาก็บอกว่าเหมือนกับที่ในตำราบอกไว้ เขาสอนไว้หมดแล้ว มันเป็นเพราะว่าบางทีเรามองข้ามนี่คือสิ่งที่ผมเคยซ้ายสุดมาแล้ว เราไม่มองเลยว่าฝั่งขวามีอะไร แล้วเราบอกว่าขวามันเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่จริงๆ แล้วถ้าวันนั้นผมตั้งใจเรียนด้วย แบ่งเวลาให้ดี ทำกิจกรรมข้างนอกด้วย มันจะทำให้การทำงานหลายอย่างของเรารวดเร็วขึ้น เพราะบางอย่างมันมีสอนให้ห้องเรียนจริงๆ แต่บางอย่างมันก็ไม่มีสอน

แล้วอะไรทำให้เรามั่นใจว่าเราจะเอาตัวรอดในสังคมได้ทั้งๆ ที่เราเรียนไม่จบ
ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นแต่เรารู้ว่าตลอดเวลาที่เราเหลวไหลไม่ได้เรียน เราไม่ได้เอาเวลาไปทำในเรื่องที่ไร้สาระอย่างเดียว แต่เวลาเดียวกันเราก็ทำงาน ผมทำงานตั้งแต่ปี 3 ทำงานแบบได้เงินเดือนเลย หรือบางทีก็ทำจ๊อบส์ซึ่งมันก็คืองานจริงๆ ทำ MV ให้คาราบาว เขียนสปอร์ตวิทยุให้คาราบาว หรือเขียนสคริปต์คอนเสิร์ต มาฝึกงานในคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยตอนนั้นคือคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด มันเลยทำให้เรามีประสบการณ์การทำงานจริง บวกกับได้รู้จักกับคนที่เขาอยู่ในวงการจริง เลยเชื่อว่าประสบการณ์จะทำให้เราหางานทำได้เพราะเราทำอยู่แล้ว

การคิดต่างหรือที่คุณบอกว่ามันคือการเดินทางสายกลาง ในความเป็นจริงเราต้องอยู่ได้ด้วย คุณมีวิธีบาลานซ์มันอย่างไร
เมื่อเราเลือกอาชีพเราต้องเข้าใจว่าธุรกิจมันคืออะไร ธุรกิจมันคือการทำอะไรบางอย่างไปแลกกับเงิน เราต้องรู้เงื่อนไขนี้ มันเป็นเงื่อนไขพื้นฐาน ถ้าคุณเป็นครูคุณก็แลกเงินเดือนด้วยการสอน คุณเป็นหมอคุณก็แลกเงินเดือนด้วยการรักษาผู้ป่วย แต่ในการขายสินค้าหรือบริการนั้นเขาไม่ได้ห้ามคุณว่าคุณทำสินค้าหรือบริการอะไรได้บ้าง หรือแม้กระทั่งการทำคอนเสิร์ต เขาก็ไม่ได้ห้ามว่าคุณว่าต้องทำคอนเสิร์ตแบบนี้เท่านั้น ดังนั้นจริงๆ แล้วมันมีวิธีให้ใช้วิธีคิดที่แตกต่างอยู่ในทุกกระบวนการของการทำงานไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาชีพไหน ในวันที่อาจารย์กวดวิชาเน้นไปที่วิชาหลักเคมี ฟิสิกส์ อยู่ดีๆ ก็มีครูคนหนึ่งที่บอกว่าฉันจะให้ความสำคัญกับวิชาภาษาไทย ที่ไม่มีใครให้ความสำคัญเลย ก็กลายเป็นจุดเด่นให้ครูลิลลี่ไม่เหมือนใครมาจนถึงทุกวันนี้ อันนี้คือตัวอย่างให้เห็นว่าการแตกต่างทางความคิดไม่ได้แปลว่าคุณอยู่ในโลกจริงๆ ไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราเอาวิธีคิดนั้นไปใช้อย่างไร คุณยังสามารถทำตามกฎทุกข้อได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนคนอื่น สำหรับผมแล้วจะคิดถึงคนรุ่นใหม่ หรือวิธีคิดแบบใหม่ๆ ที่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะเห็นด้วยไหมว่าคิดต่างต้องคิดไม่เหมือนคนอื่น คิดต่างต้องฝืนกฎ คิดต่างต้องไม่เชื่อทุกอย่างที่วางเอาไว้ ผมคิดว่าอย่างนั้นมันง่ายไป คิดต่างคือทำอย่างไรมันจะอยู่ร่วมกันได้กับคนที่คิดไม่เหมือนกับเรา คิดต่างคือการจะทำอย่างไรให้เรายังมีความสุขกับการทำงานแบบของเราโดยที่คนที่ไม่ได้ทำแบบเดียวกับเราเขาก็ไม่เดือดร้อน

ถ้ามีเด็กคนหนึ่งยึดถือคุณเป็นไอดอล และเขาเชื่อว่าถ้าเขาจะประสบความสำเร็จได้ เขาจะต้องเลียนแบบคุณ แล้วคุณสมบัติอะไรที่คุณอยากให้เขาเลียนแบบคุณ
การพยายามทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว เพราะมันเกี่ยวข้องกับการเดินทางสายกลาง ความยากที่สุดของการเดินทางสายกลางคือว่าแม้แต่สิ่งที่มันแตกต่างจากเราที่สุด แม้แต่คนที่พูดอะไรออกมาแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่เห็นด้วยเลย เป็นไปไม่ได้ ยิ่งต้องทำความเข้าใจ เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับทุกความเห็นรอบๆ ตัวเรา มันเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควรทำคือเราควรทำความเข้าใจคนที่ทำคิดต่างจากเรา คนที่ทำงานไม่เหมือนเรา ทำไมเขาจึงทำแบบนั้น วันก่อนผมอ่านบทความในหนังสือมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าโลกแบน ฟังแล้วก็ขำ จะบ้าเหรอวะ โลกกลม 100 เปอร์เซ็นต์เพราะเราเรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่แทนที่เราจะคลิกบทความอื่นโดยลืมพวกเขาซะ เดี๋ยวนะมันมีอะไรที่ทำให้เขาเชื่อว่าโลกแบนวะ เราอยากเข้าใจคนแบบนี้ ผมเลยคลิกเข้าไปดูเลย จะไปเจอสมาคมคนโลกแบน ตั้งเป็นสมาคม แล้วเชื่อหรือไม่ว่าถ้าคุณทำใจให้กว้างแล้วอ่านข้อโต้แย้งของเขาที่มีต่อคนที่เชื่อว่าโลกกลม คุณจะพบว่าเฮ้ย! มันเป็นไปได้ที่โลกนี้จะแบน เราถูกหล่อหลอมมาด้วยตำรา การสอนที่บอกว่าโลกกลม จนเราเชื่อและคิดว่าโลกแบนเป็นเรื่องตลก พออ่านจบมันไม่ได้ทำให้ผมเชื่อว่าโลกแบน แต่ผมได้เข้าใจว่าทำไมเขาจึงเชื่อว่าโลกแบน ส่งผลให้ผมไม่ขำที่เขาเชื่อแบบนั้น ผมไม่รู้สึกว่าเขาโง่ หรือน่าหัวเราะ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เราเห็นเพื่อนแต่งตัวไม่เหมือนเราเลย เราต้องไม่ขำ เราต้องเข้าใจว่าเขาคิดแบบนั้น ผมว่านี่คือหัวใจสำคัญ และเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกเลย ถ้าเราทำความเข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงคิดต่างจากเรา มันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาทุกอย่างที่มี

ในระดับสังคมคุณคิดว่าความเหมือนทำให้เกิดอะไร และความแตกต่างมันจะทำให้เกิดอะไร
ความเหมือนทำให้เกิดพลัง ความสามัคคี แต่ไมได้บอกว่ามันเป็นพลังที่ดีหรือไม่ดี ความเหมือนมันเหมือนเอาไม้มารวมกันแล้วหักยาก ความต่างมันทำให้พลังนั้นมันมีโอกาสที่จะได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด คนเราถ้าคิดเหมือนกันหมดมันก็จะไม่มีใครแย้ง ถ้าบังเอิญมันคิดเลว มันก็จะเลวเหมือนกันหมด ถ้ามันคิดดีมันก็จะดีเหมือนกันหมด ความต่างมันทำให้เกิดการกลั่นกรอง คนนี้คิดดี คนนี้คิดเลว ถกเถียงกันมันจะได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะมีคนดีมากกว่าคนเลว

เมื่ออ่านบทสัมภาษณ์จบ อาจทำให้เกิดความคิดหลากหลาย หนึ่งในนั้นเราเชื่อและหวังว่าหลายคนคงเริ่มสำรวจตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ว่าเรายืนอยู่ตรงจุดไหน ที่เราเชื่อว่าเรากลาง เรากลางจริงหรือเปล่า ที่เรามั่นใจในความคิดของเราว่ามันใช่ จริงๆ แล้วมันใช่หรือเปล่า เปิดใจให้กว้างและทำความเข้าใจกับความคิดของทุกคนน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook