“น้าโต๊ด” กู้ภัยไร้แขนขา หัวใจเทวดา

“น้าโต๊ด” กู้ภัยไร้แขนขา หัวใจเทวดา

“น้าโต๊ด” กู้ภัยไร้แขนขา หัวใจเทวดา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นิตยสารซีเคร็ต 188 (26 เม.ย59)
คอลัมน์ Secret of Life
เรื่อง ธันยาภัทร์ รัตนกุล
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ ธนทัช หิรัญวรกุล สไตลิสท์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์

นายบุญ นาหอม หรือที่ใครๆ เรียกว่า “น้าโต๊ด” คือ เจ้าหน้าที่กู้ภัยพิการไร้แขนขาอาสาสมัครมูลนิธิกู้ภัยไตรคุณธรรม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สังคมออนไลน์ กล่าวถึงเรื่องราวของเขาอย่างกว้างขวาง จากการช่วยหญิงตั้งครรภ์ลากรถเสียไปส่งจนถึงที่หมาย

ภาพการทำความดีของเขาแอบถ่ายโดยพลเมืองดีและถูกแชร์ว่อนเน๊ตในชั่วข้ามคืน ทำให้เขาได้รับคำชื่นชม มีคนเข้าไปกดไลค์ในแฟนเพจเป็นจำนวนมากอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อน

เรื่องราวอันน่าประทับใจนี้ทำให้ ซีเคร็ต เดินทางไปพูดคุยเพื่อรู้จักเขาให้มากขึ้นถึงที่มูลนิธิฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เพราะเชื่อว่าเรื่องราวของเขานอกจากจะเป็นตัวอย่างของการทำดีอย่างไม่มีข้อแม้แล้ว ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนทั่วไปอีกด้วย

ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไรค่ะ
ผมเกิดที่จังหวัดจันทบุรี พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนา ผมมีพี่น้อง 5 คน ผมเป็นลูกคนที่ 4 ครอบครัวของผมทุกคนร่างกายปกติกันหมด มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่เกิดมาร่างกายพิการแบบนี้ จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก ผมเคยได้ยินแม่คุยกับคนข้างบ้านว่า ญาติห่างๆ บอกว่า ลูกเกิดมาพิการแขนขาไม่มีอย่างนี้ไม่น่าจะเอาไว้ ให้ฆ่าผมทิ้งไปเถอะ เอาหน้าคว่ำกับหมอนให้ตายไปเลยจะได้ไม่เป็นภาระ แต่แม่บอก จะฆ่าได้อย่างไรในเมื่อลูกตาดำๆ เกิดมาแล้ว ยังไงก็จะขอเลี้ยงต่อไป ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกโกรธหรือน้อยใจอะไร คิดแต่ว่าแม่มีพระคุณกับผมมาก และคิดว่าเมื่อโตขึ้น หากมีโอกาสผมจะทดแทนบุญคุณท่าน

ด้วยความที่ผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจึงไม่สามารถช่วยงานที่บ้านได้เลย แม่จึงให้ผมอยู่บ้านเฉยๆ ในขณะที่พี่น้องคนอื่นไปเรียนหนังสือ ซึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกน้อยใจที่สุดที่เราไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่น แต่ผมก็เข้าใจดีว่าบ้านผมเป็นบ้านนอกกันดารมาก มีแต่ทางเกวียน ผมลืมตาเกิดมาก็เห็นแต่วัวแต่ควาย ไฟฟ้าน้ำประปาก็ไม่มี โรงเรียนก็อยู่ไกลจากบ้านถึง 2 กิโลเมตร จะให้พี่ๆ แบกผมขึ้นหลังไปเรียนด้วยทุกวันก็คงลำบาก ผมเลยอดไปโรงเรียน แต่โชคยังดีที่ถึงแม้จะไม่ได้เรียนในโรงเรียน แต่ทุกๆ เย็นเมื่อโรงเรียนเลิก เพื่อนๆจะมาสอนผมอ่านหนังสือ ซึ่งผมก็พยายามศึกษาหาความรู้เองทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถอ่านออกเขียนได้

ผมมีเพื่อนเยอะ และเพื่อนๆ ก็รักใคร่ผมดี เพื่อนชอบพาผมไปเที่ยวบ้านเขา บางครั้งก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด พอผมอายุได้ 18-19 ปีก็ตัดสินใจออกจากบ้าน

ทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้นล่ะคะ
เพราะผมคิดว่าถ้าอยู่บ้านนอก ก็เป็นภาระให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้อง ถ้าพี่น้องผมมีลูกเมียที่ต้องดูแล เขาคงมาคอยดูแลผมเหมือนเดิมไม่ได้จึงคิดว่าออกจากบ้านมาดีกว่า พอออกมาผมก็ไปหาที่อยู่กับเพื่อน เปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ อยู่กับเพื่อนคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง คนละเดือนสองเดือน จนไปถึงกรุงเทพฯ ผมไปพักอยู่ที่ห้องเช่าของเพื่อน ตอนนั้นผมไม่มีรายได้อะไร กินอยู่ก็อาศัยเพื่อน จนกระทั่งมาคิดว่าเราน่าจะหารายได้เลี้ยงตัวเองบ้างไปเป็นขอทานอยู่แถวๆบางบอน

ช่วงที่เป็นขอทานผมเคยโดนประชาสงเคราะห์จับตัวไป 2 ครั้ง พอออกมาได้ก็เกิดละอายใจตัวเองจึงผันชีวิตไปลองร้องเพลงดู โดยไปสมัครเป็นนักร้องกับเจ้าของสวนอาหารที่หัวกระบือ เขาก็ให้ค่าตัวผม 80 บาท แต่รายได้ส่วนใหญ่มาจากพวงมาลัย คืนละ 400-500 บาท ผมร้องเพลงอยู่หลายปี ร้านอาหารก็ค่อยๆ ปิดตัวลง ทำให้รายได้หายากขึ้น ผมก็ต้องตระเวนหาที่ร้องเพลงใหม่ แต่ละร้านจะมีโควตาให้คนพิการร้องได้คืนละคน บางร้านมีคนพิการทางสายตาจองอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ผมหาเงินลำบากขึ้นมาก เพื่อนก็เลยพาผมตระเวนมาเรื่อยๆ จนถึงชลบุรี

รู้สึกท้อในชีวิตบ้างไหมคะ
ไม่เคยท้อเลยครับ คิดแต่ว่าที่ไหนไม่รับเราร้องเพลง เราก็ออกเดินสายหาไปเรื่อยๆ พอมาถึงชลบุรีผมก็มาเช่าโรงแรมอยู่ ทุกเย็นเพื่อนจะพาผมขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนไปตามร้านอาหารเพื่อหาที่ร้องเพลง เมื่อก่อนมีอยู่หลายร้าน แต่เดี๋ยวนี้เหลืออยู่ไม่กี่ร้าน รายได้ผมก็เลยน้อยลงตามไปด้วยคือได้คืนละ 200-300 บาท บางคืนไม่ได้เลยก็มี แต่ก็สู้เอา บอกตัวเองตลอดว่าอย่าท้อ ถ้าท้อเสียแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ท้อไปก็ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไปเปล่าๆ อีกอย่างผมเป็นคนไม่คิดมาก เวลาเหงาๆ ก็จะไปหาเพื่อนคนโน้นทีคนนี้ที ผมโชคดีที่คนรอบตัวรักใคร่ผม ดีกับผม เป็นกำลังใจให้ผม

กำลังใจที่สำคัญของผมอีกอย่างคือการได้เป็นที่ปรึกษาให้หลายๆคนทางเฟสบุ๊ค เขามาขอคำปรึกษาผมเกี่ยวกับเรื่องปัญหาครอบครัวบ้าง ผิดหวังจากแฟนบ้าง ผมก็บอกเขาว่าคุณอย่าไปคิดมากเลย ลิ้นกับฟันกระทบกันเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวสักวันทุกอย่างก็จะดีขึ้น

การเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกคนอื่น เป็นที่มาของการเป็นอาสาด้วยใช่ไหมคะ
ตอนที่เพื่อนพาผมขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนหาที่ร้องเพลง ทำให้ได้พบอุบัติเหตุบ่อยๆ จึงทำให้อยากเป็นอาสาเพราะคิดว่า หากวันหนึ่งผมประสบอุบัติเหตุ ก็อยากให้คนมาช่วย ผมคิดว่าคนที่ประสบอุบัติเหตุคิดอย่างนี้เหมือนกัน

ผมยอมรับว่าตอนเป็นอาสาใหม่ๆ ผมกลัวทั้งเลือดกลัวทั้งผี ทีแรกผมคิดว่าจะทำได้ไม่นาน แต่พอได้ทำจริงๆก็เกิดใจรักงานนี้ขึ้นมา ทุกวันนี้ไม่กลัวเลือดไม่กลัวผีแล้ว เพราะเราไม่ได้มาซ้ำเติมเขา แต่เข้าไปช่วยเหลือเขา เขาจึงไม่น่ามาหาเรา และพอไปช่วยบ่อยๆ ก็ชินไปเอง ตอนนี้ทำมาได้ 15 ปีแล้ว โดยหลังจากร้องเพลงเสร็จประมาณ3-4ทุ่ม ก็เอาเวลามาช่วยสังคมให้ได้มากที่สุด

หน้าที่ของน้าโต๊ดเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุต้องทำอะไรบ้างคะ
เมื่อได้รับวิทยุแจ้งเหตุ ถ้าผมไปตรวจแล้วเจอเหตุอย่างเช่น คนได้รับบาดเจ็บโดนรถเฉี่ยวชน ผมก็จะเอารถของผมไปขวางไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน เวลาออกตรวจ จะมีคู่หูไปด้วย เขาจะทำหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนผมจะเข้าไปถามคนเจ็บว่าได้รับบาดเจ็บที่ไหนบ้าง ถ้าเห็นว่าเขาเจ็บหนัก ก็จะวิทยุให้ศูนย์ส่งรถมารับเพื่อพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล

น้าโต๊ดได้อะไรจากการทำงานตรงนี้คะ
ผมได้ความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเขา และคำว่า “ได้” ในที่นี้ไม่ใช่เรื่องเงินทองแต่หมายถึง การได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือสังคม บางทีก็ได้คำขอบคุณเป็นกำลังใจให้ผมอยากทำงานนี้ต่อไปเรื่อยๆ และทุกครั้งที่ทำความดีผมมักแอบอธิษฐานในใจว่า ชาติหน้าขอให้มีร่างกายครบ 32 เหมือนคนอื่น ส่วนชาตินี้ร่างกายเป็นแบบนี้ ผมก็ยอมรับว่าคงเป็นเพราะกรรมในอดีตที่เราทำมา ชาตินี้ขอเพียงผมได้มีโอกาสทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม ได้ทำความดีเรื่อยไปแบบนี้ก็พอใจมากแล้ว

การที่ไปช่วยคนที่ประสบอุบัติเหตุบ่อยๆช่วยให้เราได้ข้อคิดอะไรบ้างคะ
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการที่เขาขับรถอย่างประมาทและดื่มแอลกอฮอล์ การที่ได้เข้าไปช่วยเหลือคนที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ทำให้ผมเห็นได้ว่า เวลาอยู่บนท้องถนนเราไม่ควรประมาท และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์อย่างยิ่งเพราะทำให้ขาดสติจนนำไปสู่การเสียชีวิต

แน่นอนความตายเป็นเรื่องที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนอาจช้า บางคนอาจเร็ว แต่เราไม่ควรจะมาตายบนท้องถนนหรือตายด้วยอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทของเราเอง เพราะหากเราขับรถอย่างระมัดระวัง มีสติ ก็สามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

ผมจึงอยากฝากทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลว่า อย่าดื่มแอลกอฮอล์ อย่าประมาทกันเลยครับ อย่าคิดว่าเราขับรถเก่งเพราะจะทำให้เราระมัดระวังน้อยลง ในความเป็นจริงเวลาอยู่บนท้องถนนแม้เราไม่ประมาท แต่คนอื่นเขาประมาทก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน ผมจึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันรักษาและเคารพกฏจราจรด้วยครับ

มีเรื่องไหนที่น้าโต๊ดเคยไปช่วยเหลือแล้วรู้สึกประทับใจบ้างคะ
ครั้งหนึ่งที่เด็กนักเรียนอายุประมาณ 11-12 ปีกำลังไปโรงเรียนตอนเช้าแล้วโดนรถกระบะเฉี่ยวชนหน้าโรงพยาบาลธนบุรี แล้วคู่กรณีหนีไปครับ พอดีผมไปเจอเลยเข้าไปช่วยก็พบว่าเขาบาดเจ็บเล็กน้อย พอเขาลุกได้ก็บอกว่า ขอบคุณนะครับน้าที่มาช่วยเหลือผม ผมรู้สึกประทับใจจนทุกวันนี้

ชีวิตอาสาเราไม่ต้องการอะไรในการช่วยเหลือคน แค่คำขอบคุณก็ดีใจและเป็นกำลังใจมากแล้วครับ ผมไม่เคยคิดว่าจะได้สิ่งใดตอบแทน คิดแต่ว่าจะไปช่วยเหลือเขา ผมเชื่อว่าคนที่เป็นอาสาทุกคนคิดอย่างนั้น เพราะเราช่วยด้วยใจ

แล้วเคสที่เป็นข่าวดังว่าน้าโต๊ดไปช่วยผู้หญิงท้องลากรถไปส่งจนถึงที่หมายล่ะคะ มีที่มาอย่างไร
ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบๆ สี่ทุ่ม ศูนย์ฯวิทยุมาว่ามีชาวบ้านขอความช่วยเหลือ ผมไปตรวจดูก็เห็นรถเสียเพราะท่อน้ำมันรั่ว ผมจึงใช้รถผมลากรถเขาไปส่งที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่ามีใครแอบถ่ายภาพผมไปโพสต์ลงในเฟส พอผมเปิดเฟสดูก็เห็นรูปตัวเองเพียบเลย มีแต่คนมากดไลค์ ผมก็งงอยู่เหมือนกัน แต่ก็ดีใจมากแล้วก็ภูมิใจที่เราทำความดีทั้งที่ไม่ได้เปิดเผยแต่ก็ยังมีคนเห็น และมีคนเข้ามาชมเชย ทำให้ผมได้กำลังใจอย่างมากว่าเราทำความดี และความดีก็ตอบแทนเราอย่างนี้นี่เอง

ทราบว่าขับรถเองด้วย ไม่ทราบว่ารถคันนี้มีที่มาอย่างไรคะ
ตอนเป็นอาสาใหม่ๆ ผมไม่ค่อยได้ออกเหตุกับเขา เพราะเราไปไหนมาไหนไม่สะดวก ผมจะได้ออกเหตุก็ต่อเมื่อเพื่อนยกเราขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปกับเขาด้วย ทำให้ผมเกิดความคิดว่า เราน่าจะมีรถสักคันหนึ่งไว้ใช้ไปซื้อกับข้าวหรือใช้ไปทำงาน และถ้ามีรถ เขาก็จะเปรียบเสมือนขาที่พาจะผมไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น ผมจึงพยายามเก็บหอมรอมริบทีละเล็กทีละน้อยจากการร้องเพลงและบางส่วนก็ขอความช่วยเหลือจากพี่ชายจนได้เงินประมาณสองหมื่นกว่าบาท และให้พี่สะใภ้ที่อยู่บางพลีเป็นคนดาวน์รถให้ แล้วผมก็มาผ่อนเองเดือนละ 2,600 บาท 36 งวด

พอได้รถมา ผมก็คิดว่าในเมื่อเขาเป็นแขนขาให้เราแล้ว ก็น่าเอามาทำประโยชน์เป็นรถตรวจสอบเหตุช่วยสังคมดีกว่า จึงมาขอใบอนุญาตที่มูลนิธิฯ

แล้วการปรับแต่งรถล่ะคะ ใครเป็นคนทำให้
ผมทำเองหมดทุกอย่างเลยครับ แต่กว่าที่ผมจะขับรถได้ใช้เวลา 2-3 เดือนในการคิดว่าเราจะดัดแปลงอย่างไรให้เราเบรกได้และเร่งคันเร่งได้ พอคิดออกว่าจะทำอย่างไร ก็ไปให้ช่างช่วยต่อเติมโดยต่อคันเบรกกับคันเร่งขึ้นมา ทุกวันนี้ผมขับคันนี้มาตลอด แล้วก็ค่อยๆ เก็บเงินซื้อวิทยุสื่อสาร ซื้อไฟส่องสว่างติดรถให้สมบูรณ์พร้อมใช้งาน เวลาขับรถ ผมก็ระวังตัวมากเพราะเราต้องขับเร็ว เวลาขับรถ การตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมจึงไม่ประมาทเพราะรู้ว่าเรากำลังทำงานที่เสี่ยงอันตรายอยู่

แสดงว่าน้าโต๊ดไม่รู้สึกว่าตัวเองต่างจากคนอื่นใช่ไหมคะ
ที่ผมไม่รู้สึกแตกต่างเพราะคนรอบตัวผมโดยเฉพาะเพื่อนๆ อาสาเขารักใคร่ผมดี เขาไม่ได้รังเกียจอะไรเลยที่ผมเป็นอย่างนี้ ทุกคนมีแต่ช่วยเหลือดูแลผม ทำให้ผมรู้สึกดีว่า แม้เราจะด้อยกว่าเขา แต่คนดีๆ เขาไม่ได้มองข้ามเรา คนที่มองข้ามจริงๆ ก็มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งผมไม่คิดอะไรมาก

ทำงานอาสามาหลายปี เคยเจอเรื่องปาฏิหาริย์แห่งความดีเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างไหมคะ เชื่อเรื่องคนดีผีคุ้มไหมคะ
จากที่ผมสังเกต อย่างเช่น บางทีที่เราขับรถไปแล้วรถจะชน แต่สายตาผมเหลียวไปเห็นทัน เลยทำให้ผมแคล้วคลาดมาได้ทุกครั้ง ผมเชื่อว่านี่คือเรื่องปาฏิหาริย์ของความดีที่คุ้มครองเรา ส่วนเรื่องคนดีผีคุ้มผมก็เชื่อนะครับ แต่ถ้าเราขับรถอย่างประมาท ผีก็คุ้มไม่ได้เหมือนกันนะครับ

การที่เป็นคนดังในโลกโซเชียลจนทำให้คนเชิญไปออกทีวีบ่อยๆ ไม่ทราบว่าส่งผลกับชีวิตอย่างไรบ้างคะ
ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้น แต่ก็มีเหมือนกันเวลาไปร้องเพลงคนเขาไม่ให้ตังค์เพราะคิดว่าเราได้ค่าจ้างออกทีวีครั้งละ 20,000-30,000 บาท เขาคิดว่าเรารวยแล้ว แต่ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมดังจริง ดังแต่ชื่อ แต่เงินไม่มี พอสิ้นเดือนมาดู อ้าว เงินไม่พอ เพราะผมมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 7,000-8,000 บาท

ตอนนี้ผมมีบ้านของตัวเองจากการที่คนเขาขายให้ผมหลังละ 15,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนก็มีค่าเช่าที่เดือนละ 1,500 บาท และค่าน้ำค่าไฟ ทุกวันนี้ผมส่งให้เงินแม่ด้วยเดือนละ 800 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ผมได้จากค่าครองชีพคนพิการ ผมให้แม่มาตลอดตั้งแต่ไปทำบัตรคนพิการและได้เงินมา เพราะอยากตอบแทนพระคุณแม่บ้างเท่าที่เราจะทำได้

การที่จิตใจดีอย่างนี้ ไม่ทราบว่าได้รับการปลูกฝังมาจากใครคะ
ก่อนที่ลูกทุกคนจะออกจากบ้าน แม่ของผมสอนเสมอว่า อย่าไปลักขโมย ขอให้ทำแต่ความดี ซึ่งผมก็จำใส่ใจมาตลอด ทุกวันนี้ผมไม่ต้องการอะไรมาก มีแต่ความตั้งใจว่าสักวันหนึ่งอยากจะปลูกบ้านให้แม่อยู่อย่างสบายก่อนที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น

แล้วเรื่องความรักล่ะคะ คิดอย่างไร
ผมคิดว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม คนเรารักกันดีกว่าเกลียดกัน แต่ผมไม่เคยคิดหรือตั้งความหวังเรื่องนี้ เพราะไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาจะจริงใจกับเราหรือเปล่า ผมไม่อยากสร้างความหวังเพราะกลัวผิดหวัง แต่หากวันหนึ่งมีคนที่เขาพร้อมจะดูแลผมจริงๆ ผมก็คิดว่าจะพาเขากลับไปช่วยกันขายของอยู่บ้านนอก ใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกันเงียบๆ ครับ

นิยามชีวิตของน้าโต๊ดคืออะไรคะ
คือการทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่ผมเน้นว่าทำเท่าที่ทำได้เพราะบางคนไม่เข้าใจว่าคนพิการอย่างผมจะไปช่วยสังคมได้อย่างไร แม้ผมไม่เคยโดนคนรังแก แต่คนในโลกโซเชียลบางคน โพสต์ว่า เป็นคนพิการก็น่าจะกินนอนอยู่กับบ้านให้พ่อแม่เลี้ยง จะออกมาช่วยสังคมทำไม ผมไม่โกรธเขานะ รู้สึกว่าช่างเถอะ เพราะเขาไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง เขาจึงไม่รู้หรอกว่าเวลาผมทำงานนั้นทำอย่างไร ผมจึงบอกว่า ผมทำเท่าที่ผมจะทำได้ สิ่งที่ผมทำไม่ได้ก็ให้คนอื่นทำไป เพราะผมไม่ได้ทำงานคนเดียว อาสาทุกคนทำงานกันเป็นทีม

สมมติว่าเกิดเหตุมีรถบรรทุกชนกันแล้วมีคนติดอยู่ภายใน คนอื่นได้รับการอบรมเรื่องการใช้อุปกรณ์ตัดถ่างเพื่อช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ แต่ผมไม่ได้อบรมมา ผมก็จะช่วยทำงานอย่างอื่น เช่น ไปประกาศบอกคนที่ขับรถตามมาว่า “ขอความกรุณารถที่ตามมาให้ขับเบี่ยงไปเลนส์อื่นและให้ขับอย่างระมัดระวังเพราะข้างหน้ามีอุบัติเหตุ” อย่างนี้เป็นต้น คือผมก็จะประกาศอยู่บนหลังคารถ เรียกว่า ช่วยทำอะไรได้ผมก็ช่วย หรืออย่างรถผมมีไฟส่องสว่างอยู่ ผมก็จะเปิดไฟเพื่อให้อาสาที่กำลังทำงานทำได้สะดวกขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมทำ

วางแผนชีวิตในอนาคตไว้อย่างไรคะ
ผมคงจะทำงานอาสาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแก่ทำไม่ไหวแล้วก็คงกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านนอก และอย่างที่บอก ผมอยากเก็บเงินสักก้อนหนึ่งปลูกบ้านให้แม่เพื่อตอบแทนพระคุณท่าน นั่นคือสิ่งที่ผมวาดหวังไว้ แต่ก็ไม่รู้จะมีโอกาสเป็นจริงหรือเปล่า

รู้สึกอย่างไรที่เรื่องราวของเราสร้างกำลังใจให้คนอื่น โดยเฉพาะคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต
ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ตัวผมแม้จะมีร่างกายแบบนี้ แต่ได้สร้างความดีทำให้คนที่ร่างกายครบ32ได้มีกำลังใจ ผมอยากบอกว่า ความดีเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ โดยเฉพาะคนที่ร่างกายพร้อมย่อมทำความดีได้อย่างแน่นอน

สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต ผมอยากบอกคุณว่า ในขณะที่คุณคิดว่าตัวคุณไม่เหลืออะไร ยังมีคนที่ลำบากกว่าคุณ แม้คุณไม่มีโอกาสในวันนี้ แต่วันข้างหน้ายังมี อย่าท้อแท้เลยครับ แม้ตัวผมเองจะเกิดมาเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่เคยคิดสั้นเลยสักครั้งในชีวิต เพราะผมคิดว่าชีวิตยังมีความหวัง ผมอยากให้คุณลุกขึ้นสู้ ท้อแท้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ลุกขึ้นสู้ดีกว่า สู้เหมือนผม

พลังแห่งความดีและจิตใจที่แข็งแกร่ง ย่อมเอาชนะอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตได้เสมอ

Secret Box
ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้าโต๊ด-นายบุญ นาหอม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook