ชีวิต “ชิ-อนุชา” นักปั้นมือทอง หลังถูกตราหน้าว่า "ลวงโลก"

ชีวิต “ชิ-อนุชา” นักปั้นมือทอง หลังถูกตราหน้าว่า "ลวงโลก"

ชีวิต “ชิ-อนุชา” นักปั้นมือทอง หลังถูกตราหน้าว่า "ลวงโลก"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อย่าหลงตัวเองว่าสำคัญเพราะความดัง จงยับยั้งช่างใจใครสรรเสริญ

เมื่องานเข้าเงินมาอย่าใช้เพลิน อย่าทำตัวสูงเกินเดินเหนือคน

มีงานช่วยงานสังคมอย่าได้ขัด ต้องซื่อสัตย์เมื่อรับงานอย่าสับสน

อย่าบ่นเหนื่อยอย่าขี้เกียจต้องอดทน อย่าลืมตนมีสตินี้สำคัญ

อย่าเรื่องมากให้ลำบากเพื่อนร่วมงาน ครูอาจารย์กตัญญูรู้คุณท่าน

อีกพ่อแม่ต้องดูแลตลอดกาล ทำบุญทานเพื่อส่งเสริมเติมบารมี

จัดระเบียบและวินัยให้ชีวิต ร่างกายฟิตพร้อมแสดงทุกแหล่งที่

พัฒนาการแสดงให้ดูดี ชื่อเสียงมีก็ต้องหมดจดใส่ใจ

เรืองยศ พิมพ์ทอง ผู้แต่ง

บทกลอนสรุปบัญญัติ “ดาวค้างฟ้า” บทนี้ ชิ อนุชา นำมาใช้สอนศิลปินมีชื่อมาแล้วมากมายทั้ง โดม ปกรณ์ ลัม แร๊พเตอร์ เต๋า สมชาย เข็มกลัด และบิ๊ก D2B หรือแม้แต่อดีตการเป็นผู้จัดการของศิลปินจอมลวงโลก ซึ่งทำให้ชีวิตของเขาจากที่เคยสูงสุดตกต่ำสุดเพราะเข้าไปพัวพันกับ “มหากาพย์จอมลวงโลก”

ณ เวลานั้นนอกจากถูกสังคมตราหน้าว่ารู้เห็นเป็นใจกับศิลปินจอมลวงโลกแล้ว มรสุมชีวิตต่างๆ ยังถาโถมเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกัน หนักและเลวร้ายจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว พาลไปถึงคิดออกจากวงการบันเทิงแต่ปัจจุบันเขากลับมายืนอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเป็น 1 ในนักปั้นมือทองของเมืองไทยอีกครั้งกับการเป็นผู้จัดการฝ่ายบริหารศิลปินและพัฒนางานบริษัทเวิร์คพอยท์ฯ จนได้รับฉายา “แมวมอง…เสือปืนไว” ไม่ว่าใครโด่งดังจากโลกโซเชียล เพียงเวลาชั่วข้ามคืนเขาก็สามารถคว้าตัวเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัดได้อย่างทันท่วงที

อะไรทำให้คนที่ชีวิตเคยดำดิ่งเหมือนตกเหว กลับมานั่งรับลมเย็นๆ บนยอดหน้าผาได้อีกครั้ง Sanook! Men จะพาทุกคนร่วมพูดคุยเปิดใจกับเขาทุกเรื่อง

คนรู้จักชื่อ ชิ อนุชา มากขึ้น จากเรื่องข่าวฉาวศิลปินจอมลวงโลก เรื่องราวในอดีตครั้งนั้นส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตคุณบ้าง
ในช่วงเวลานึงมันส่งผลกระทบแน่นอน คือเราทำงานในวงการนี้มาเกือบ 20 ปี คนเบื้องหลังรู้จักพี่ชิ แต่คนทั่วไปไม่รู้จักเรา แต่พอมาเจอเราครั้งแรกจากข่าวของ “ นาธาน โอมาน ” ทำให้คนมองว่ามันแรงมาก มันลวงโลก มันตอแหล เป็นคนไม่ดี โกหก ทำไมต้องไปช่วยคนๆ นี้ด้วย แต่เบื้องหลังความสัมพันธ์ของพี่กับนาธานก็เหมือนศิลปินคนนึงที่อยู่ใน RS ที่พี่เป็นคนสรรหามา เราสนิทกันเขาเคยช่วยเหลือครอบครัวเรา จนมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องแตกหักก็เลิกเป็นเพื่อนเลิกคุยกันหลายปี วันนึงนาธานหมดสัญญากับ RS เขาก็หาพยายามกลับมาคุย และช่วงนั้นพี่ชิแย่ ไม่มีงานประจำทำ ครอบครัวก็มีปัญหา น้องชายเป็นมะเร็ง อีกคนมีปัญหาติดคุก รายได้ไม่มี ชื่อเสียงไม่มี แต่ตอนนั้นนาธานก็ช่วยเงินเรามา 1 หมื่นบาท สำหรับดูแลตรงนั้น เราก็สนิทสนมกันอยู่แล้ว แต่ในช่วงที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าเบื้องลึกเค้าไปทำอะไรมา

จากนั้นมันก็มีข่าวว่าเขาลวงไปลวงมาซ้ำซ้อน แม้ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว แต่ภาพเราอยู่กับเขาในสื่อเลยถูกเหมารวม ช่วงนั้นเลยแย่สุดๆ เคยเจอตามทวงหนี้ถึงหน้าบ้าน ต้องปีนรั้วหนีออกจากบ้าน เจอเอาปืนมาขู่ตรงหน้าให้จ่ายเงินค่าทำงาน ช่วงนั้นรถ ทรัพย์สินขายหมด ปิดโทรศัพท์ ปิดเครื่องทุกอย่างและกลับไปอยู่บ้าน ไปเริ่มต้นกับที่บ้าน สุดท้ายไม่มีใครในวงการช่วยได้ มีแต่แม่ที่ไปหยิบยืมเงินของพี่ๆน้องๆ มาให้เราใช้จ่ายในช่วงเวลานั้น พอดีได้เจอพี่เอกชัย ศรีวิชัย เขาคิดว่าใครจะด่าใครจะอะไรมันก็แล้วแต่ แต่มันทำงานให้ได้ ทำงานให้ไม่เคยผิดพลาด ก็เลยใช้ความสามารถทำงานให้พี่เอกจนมีโอกาสได้กับบริษัทเวิร์คพอยท์ ฯต้องขอบคุณพี่ตา (ปัญญา นิรันดร์กุล) พี่จิก (ประภาส ชลศรานนท์) พี่แก้ว (ชยันต์ จันทวงศาทร) ผู้หลักผู้ใหญ่ทุกๆ ท่านที่ให้โอกาสเราทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ ระดับประเทศ ในขณะที่คนอื่นเค้าไม่เอาเราเลย

นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกครั้งในช่วงสุดท้ายของการทำงานในวงการบันเทิง คิดว่าการกลับมาครั้งนี้เราต้องเอาให้อยู่ถือว่าเป็นขบวนสุดท้ายแล้ว คือเราสามารถเดินต่อและพัฒนาชีวิตของเราไปให้ได้ ในชีวิตของเราที่มันล้มระเนระนาด คลุกคลานมา ประสบการณ์ตรงนั้นมันทำให้เรารู้สึกว่าเราแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่ว่าเจอปัญหาอะไรก็แล้วแต่

บทเรียนที่คุณได้รับจากเหตุการณ์ครั้งนั้นคืออะไร
อันแรกที่ย้อนคิดใหม่เลยคือเราทำงานด้านการสรรหาศิลปินเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด บอกกับตัวเองเลยว่าจะเลือกใครเข้ามาทำงานต้องดูเขาให้ลึกมากกว่าเดิม ต้องวิเคราะห์เขาให้มากขึ้นกว่าเดิม นี่คือสิ่งที่พี่บอกตัวเอง ใจเย็นมากขึ้น และการทำงานกับสื่อในปัจจุบันมีการพัฒนามากขึ้นในเรื่องของโซเชียล เป็นบทเรียนที่ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวเองและคนที่เรานำมาเป็นศิลปิน ในเรื่องที่ทำผิดพลาดในอดีตมาหรือทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามมา สิ่งเหล่านี้จะถูกย้อนกลับมาหาได้ในอนาคต ถ้าคุณไม่ระมัดระวังตัวเอง ตอนนี้คนที่มาต้องสืบย้อนกลับไปเลยว่าเคยถ่ายคลิปไหม เคยเขียนบทความอะไรที่แย่ๆ ใน Facebook ไหม เคยทำพลาดอะไรที่ไม่ดีไม่งามหรือเปล่า บทเรียนจากตรงนั้นทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น มีภูมิต้านทานในวงการนี้มากขึ้น รู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันก็แก้ไขได้ ต้องมีสติ

ตอนที่ชีวิตตกต่ำ มีวิธีการคิดอย่างไรให้ตัวเองไม่เป็นทุกข์
สิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจและไม่ท้อก็คือกลับไปที่บ้าน กลับไปดูแลครอบครัว กลับไปทำงานให้กับชุมชนมุสลิมที่บ้าน รุ่นสมัยปู่ย่าตายายเป็นผู้นำศาสนา และเราก็เติบโตมาในชุมชนเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ๆมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในระดับแน่นหนามาก กลับไปทำโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ให้กับเด็กๆ หลานๆ ทำโครงการนั่นนี่ หารายได้ให้กับโรงเรียน สร้างโรงเรียน ไม่ได้โฟกัสงานในวงการบันเทิง จึงรู้สึกสบายใจ พี่เป็นคนไม่คิดมาก ไม่ปรึกษาใคร ชอบคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง สิ่งที่ทำได้ก็คือ จะนั่งนิ่งๆ คล้ายนั่งสมาธิ ให้มันดาวน์ลงเรื่อยๆ ค่อยมาคิดใหม่ อะไรที่ไม่ใช่หรือแย่มากๆ ตัดทิ้งไปก่อน ต้องทำใจและยอมรับตัวเองให้ได้ เคยอยู่วงการแบบสูงสุดมา พออยู่ในที่ธรรมดา ปกติไม่มีใครนับหน้าถือตา เป็นคนธรรมดาปกติ ต้องยอมรับสิ่งนี้ให้ได้ และพี่ยอมรับได้เพราะเป็นคนไม่ยึดติดกับชื่อเสียง เงินทอง ข้างนอกมากมายนัก พี่ว่าบุญกุศลเหล่านี้ สิ่งที่เรากลับไปทำ กลับมาดูแลครอบครัวมากขึ้น ทำให้คนอื่นๆ ให้โอกาสในการกลับมาทำงานมากกว่า จะถือคติว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร นั่งนิ่งๆ แล้วทุกอย่างจะแก้ไขได้เอง

การคัดเลือกและพัฒนาศิลปิน มีความยากและท้าทายอย่างไรบ้าง
แต่ละยุคมันแตกต่างกัน เราเป็นคนโชคดีที่อยู่ในหลาย Gen มาก ยุคแรกเป็นยุคที่ไม่มีโลกออนไลน์ให้เราได้เห็นเด็กง่ายๆ เด็กที่อยากเจอศิลปินก็เจอยาก เพราะฉะนั้นการจัดการประกวดสักครั้งหนึ่งคนก็จะแห่กันมาสมัคร คนเขียนจดหมายเข้ามาเป็นพัน ส่งเทปเข้ามาเป็นพันม้วน เพื่อให้เราได้ฟังและก็มองหานี่คือเขานำเสนอตัวเองเข้ามา อีกส่วนหนึ่งคือควานหาในช่องทางต่างๆ ที่คิดว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายที่จะทำให้เป็นศิลปินได้อย่างเช่นเวทีประกวด เราต้องไปเป็นกรรมการเพื่อหาคนให้หนังสือแฟชั่น หนัง โฆษณา แล้วก็ตามหาเอง นี่คือไปตามโรงเรียน ตามห้างสรรพสินค้า ที่คนอื่นเขาก็ไปกัน ส่วนใหญ่ถ้าไปตามหาจะไม่ค่อยเจอ จะเจอแบบบังเอิญมากกว่า

สังเกตได้จากตัวเอง สมัยก่อนช่องทางหาก็จะเป็นแบบนี้ สิ่งแรกที่เราเห็นคือบุคคล หน้าตา ของเขาในภาพแรก เรายังไม่เคยคุยยังไม่เคยรู้ว่าเขามีความสามารถอะไร ก็เรียกเข้ามาคุย จากการพูดคุยเราจะเห็นในเรื่องของทัศนคติ ความเฉลียวฉลาด มุมมอง เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ ครอบครัวเขา ทีนี้เราก็มาทดสอบเรื่องของความสามารถ อยากเป็นนักร้องใช่ไหมไหนร้องสิว่าร้องได้ระดับไหน อยากเป็นนักเต้น นักดนตรี ก็ถูกทำการทดสอบ ในขบวนการเหล่านั้น อยากเป็นนักแสดงก็ต้องทดสอบ ถ้าคนไหนมีแวว บางคนจะเป็นในลักษณะโดดเด่นมาเลย คนเดียวก็เอาอยู่ อย่างเช่น โดม ปกรณ์ ลัม อย่างงี้หล่อเปรี้ยงปร้างมาเลย คุณสมบัติในลักษณะที่ทำงานได้ ไปคนเดียวก็เอาอยู่

อย่าง บิ๊ก D2B หน้าตาดีหล่อแต่เขาอาจจะยังร้องเพลงไม่เก่ง อย่าง แดน ตอนนั้นก็ไม่ได้หล่อมาก มาจากต่างจังหวัดแต่ร้องเพลงดีทำงานได้ บีมก็เป็นเด็กที่มีความสามารถ แต่ยังไม่มีประสบการณ์คุ้นเคยกับวงการบันเทิง เด็กเหล่านี้จะถูกรวมไว้ ว่าจะไปอยู่ตรงไหนยังไง จะทิ้งไปก็น่าเสียดายถ้าทำตอนนี้ก็ยังไม่พอก็เลยถูกขบวนการของการพัฒนาศิลปินเหล่านี้เข้ามาเพื่อที่จะจับมารวมกันตามที่เราเห็นจะออกมาเป็นลักษณะนั้น จากการผ่านกระบวนการคิดมาก่อน

หลักการคัดเลือกและพัฒนาศิลปิน
อย่างแรกเด็กต้องมีความสามารถ หลายๆ คนถามว่าพี่ชิมองยังไงถึงจะเห็นว่ามีความสามารถมีออร่า มีแวว คือเราทำงานตรงนี้มานานเกือบ 20 ปี ประสบการณ์เหล่านี้ถูกสะสมมาทำให้เราพอจะมีสัญชาติญาณบอกได้ว่า คนนี้มีแววสามารถทำงานได้ แต่พอดูไปแล้ว มันต้องมีส่วนขาดของเขา เราต้องมาเติมแต่งพัฒนา บางทีเด็กมาแบบบ้านๆ เลย ธรรมดาๆ เลย เราเห็นแค่แววเขา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องมาพัฒนาเขาอยู่ดี การเติมเต็มความสามารถรูปร่าง หน้าตา ความคิด ความอ่าน พัฒนาตัวเขาให้กลายเป็นนักแสดง หรือนักร้องที่มีความสามารถและมีคุณภาพต่อไปในอนาคตให้ได้

การที่จะอยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างยาวนาน ในมุมของนักพัฒนาศิลปิน ศิลปินเหล่านั้นต้องพัฒนาตนเองในเรื่องอะไรบ้าง
การเข้ามาในวงการปัจจุบันอาจจะไม่ยาก บางคนอาจจะโด่งดังในโซเชียลเน็ตเวิร์ค บางคนอาจจะโด่งดังจากการถ่ายคลิป บางคนอาจจะเข้ามาจากการประกวดในระดับเบื้องตัน เข้าไม่ยากเข้ามาเยอะจริง แต่การที่จะอยู่แบบยาวและนานเหลือไม่ถึง 10% จาก 100% ที่เข้ามา ถามว่าหายไปไหน เข้ามาแล้วบางคนไม่พัฒนา ถ้าเข้ามาแล้วคุณต้องรู้จักพัฒนาตนเองอย่าอยู่เฉยๆ ต้องทำการบ้าน ต้องมีระเบียบวินัย ต้องมีความรับผิดชอบ จะสังเกตเห็นว่าเด็กรุ่นหลังๆ ไม่ชอบทำการบ้านในกองถ่าย คือเล่นโทรศัพท์บ้าง อะไรบ้าง ไม่ค่อยสนใจว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการเขาทำยังไงถึงอยู่ในวงการอย่างยาวนาน ถ้าไม่ใส่ใจเขาก็อาจจะได้รับงานแค่ครั้ง สองครั้งแล้วก็หายไป หมดไป เพราะไม่พัฒนา ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีวินัยในการดูแลตนเอง และการทำงานกับคนอื่น ส่วนที่จะหายไปเลยคือหลงระเริง ใช้เงินเกิน เย่อหยิ่ง หรือยุ่งกับยาเสพติด เสื่อมเสียชื่อเสียง

ประเด็นหลักคือคุณต้องรักตัวเองและรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร คนเป็นนักแสดงเป็นนักร้อง ใครเขาก็อยากเห็นรูปร่างหน้าตาดีๆ แสดงดี ร้องเพลงดี ทำงานดีออกมาให้คนอื่นได้ชม ถ้าไม่พัฒนาก็ไม่สามารถอยู่ในวงการนี้ได้แบบยาวๆ และเรื่องดวงชะตาก็มีส่วน บางคนเก่งมากมายแต่ทำไมไปไม่ถึงฝัน ไปได้ไม่ไกลสักที ยังไม่มีโอกาสให้คุณได้แสดงในบทที่ดีๆ ก็เป็นไปได้ อาจจะท้อแท้และหายไปจากวงการ คนที่อยู่ได้ต้องอดทนมากๆ เพราะบางคนไม่ได้ดังตอนอายุต้นๆ หลายๆ คนมาดังตอนแก่ อย่างที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ เพราะเขาอดทนและพัฒนารอจนกว่าจะได้รับบทที่ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ พอได้ขึ้นไปแล้วคุณอยู่ยาว

บางคนอาจยังไม่เข้าใจว่า “การสร้างภาพลักษณ์ศิลปิน” คืออะไร คล้ายกับการ “สร้างภาพ” หรือเปล่า? อยากให้คุณช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อย
“การสร้างภาพลักษณ์ศิลปิน” กับ “การสร้างภาพ” ความหมายต่างกันนะ ภาพลักษณ์ศิลปินคืออย่างสมัยที่ทำศิลปิน แร๊พเตอร์ D2B หรือ โดม ปกรณ์ ลัม ควรจะมีภาพลักษณ์แบบไหนของการเป็นศิลปิน ควรจะมีเสื้อผ้าแบบนี้ หน้าแบบนี้ ทรงผมแบบนี้ ควรจะร้องเพลงแบบนี้ และควรจะมีลักษณะพูดคุยแบบนี้ นี่คือลักษณะการสร้างภาพลักษณ์ สร้างอิมเมจของศิลปิน คุณจะเป็นป็อบแดนซ์อันดันหนึ่งของเมืองไทย คุณจะเป็นร็อกอันดับหนึ่งของเมืองไทย อันนี้คือการสร้างภาพลักษณ์ศิลปินโดยเริ่มต้นมาจากตัวเขาก่อน และมาทำให้ชัดเจน เพราะเขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาจะทำยังไงต่อไป ในอีกมุมหนึ่งการสร้างภาพมองไปในมุมของความเสแสร้ง ซึ่งจริงๆ เขาเป็นคนแบบนี้ แต่มาสร้างภาพทำให้ดูสวยงาม ทำให้ดูดี เหมือนลวง เหมือนไม่จริงใจ การสร้างภาพเหล่านี้ปัจจุบันคนมันเห็นเยอะ เพราะวันหนึ่งคนต้องรู้อยู่แล้วว่าชีวิตจริงคืออะไร จึงต่างกัน สร้างภาพลักษณ์คือเอาตัวตนของเขามาพัฒนาความชัดเจนให้คนอื่นเห็นในด้านบวก ส่วนการสร้างภาพก็คือการสร้างที่ไม่ได้เป็นความจริงออกมา

งานพัฒนาศิลปิน ช่วยพัฒนาอะไรในตัวคุณบ้าง
เรื่องของบุคลิกภาพ การวางตัวเราได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้ไปด้วย และเรื่องของการแสดง เราได้เห็นและพูดได้ว่าคนนี้เป็นแบบไหน คนนี้แสดงอะไร จะไปทิศทางไหน เราได้พัฒนาตัวเองไปในทางเดียวกันและได้ใช้ความรู้ ได้ใช้สมองในการคุยกับแต่ละคน ศิลปินร้อยคนคือร้อยเรื่อง มันทำให้เราได้ใช้สมองในการคิดและไตร่ตรอง ได้เห็นประสบการณ์ของคนอื่นๆ และกลายมาเป็นบทเรียนของเราต่อไปเรื่อยๆ ได้พัฒนาทางด้านความคิด ตัวเราเองก็ไปเรียนเพิ่มเติมด้านการเขียนหนังสือ เรียนเพิ่มเรื่องการทำกราฟิก อะไรที่เราไม่ค่อยรู้ เราอยู่ในยุคที่ไม่มีคอมพิวเตอร์มาก่อน เราต้องพยายามพัฒนาเรื่อยๆ ยังไม่เคยคิดที่จะหยุดเรียน อยากจะเรียนรู้และพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ

คุณอยู่ในวงการบันเทิงมายาวนาน วงการบันเทิงให้อะไรกับคุณและขณะเดียวกันทำให้คุณสูญเสียอะไรบ้าง
พี่เข้ามาในวงการบันเทิงด้วยความรัก ความซื่อสัตย์แล้วก็อยากจะทำงานตรงนี้ อาชีพที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านสักเท่าไร อาชีพของพี่คือบริหารจัดการศิลปิน สร้างภาพลักษณ์ศิลปิน และให้โอกาสคนที่จะเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง นี่คืออาชีพของที่เราต้องซื่อสัตย์กับมัน พี่รักที่จะทำงานด้านนี้ มันเลยมองไม่เห็นว่าพี่จะต้องสูญเสียอะไร ไม่ว่าเรื่องของเวลาพี่ก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรไปมากมาย เพราะพี่มีความสุขที่จะทำงานตรงนี้ เสียเพื่อนไหมก็มีเพื่อนเยอะแยะมากมาย ครอบครัวก็สามารถดูแลเค้าได้อย่างดี เลยคิดว่าการที่พี่อยู่ในวงการมายาวนาน 25 ปี สิ่งที่ได้มันมีค่ามากมาย ได้มิตรภาพ ได้ชื่อเสียง ได้ทำงาน และที่สำคัญคือ ได้ให้โอกาสกับคนเยอะแยะมากมาย และมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งนี้คือสิ่งที่ภาคภูมิใจและทำให้รู้สึกว่ามีความสุข

ปัจจุบันมีเด็กรุ่นใหม่ที่อยากก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงมากมาย คุณมีคำแนะนำอะไรบ้าง
วงการบันเทิงเป็นวงการที่หวานหอมนะ หารายได้ได้ดี และมีชื่อเสียง พอมีชื่อเสียงแล้วก็สามารถต่อยอดไปทำอย่างอื่นได้ง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้าคุณอยากเข้าวงการบันเทิง ช่องทางเข้ามาในปัจจุบันมันมีมากมาย ถ้าคุณมีความสามารถอะไรก็แล้วแต่ที่คิดว่ามันโดดเด่นก็โพสต์ลง Youtube ลงชาแนลของตัวเองในมุมที่ดีๆ พี่เชื่อว่าช่องทางเหล่านี้คนก็สนใจ ถึงไม่โดนวันนึงก็มีคนเห็นเราจนได้ ถ้าเกิดเราเป็นของแท้ เป็นของที่ดีจริง ไม่ใช่เรื่องยากเลย ต้องมีความสามารถจริงๆ อยากจะแนะนำน้องๆ ว่าเด็กปัจจุบันโชคดีมากๆ ในการที่จะเข้ามาในวงการบันเทิง

คุณชิยังทิ้งท้ายว่า “ก่อนดังทุกอย่างเหมือนจะทำได้ง่ายนิดเดียว แต่เมื่อความดังมาเยือน...ทุกอย่างนั้นทำได้ยากลำบากซะเหลือเกิน” สำหรับคนที่มุ่งฝันอยากเข้ามาเป็นดาวประดับในวงการ ก้าวแต่ละก้าวของการจะเป็นศิลปินที่ว่าไม่ง่าย แต่การจะรักษาไว้กลับยากยิ่งกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook