"พีท-พีรพงศ์ เพิ่มแสงงาม" กว่าจะได้เป็นตำรวจ แอล.เอ.พี.ดี.

"พีท-พีรพงศ์ เพิ่มแสงงาม" กว่าจะได้เป็นตำรวจ แอล.เอ.พี.ดี.

"พีท-พีรพงศ์ เพิ่มแสงงาม" กว่าจะได้เป็นตำรวจ แอล.เอ.พี.ดี.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สุชาฎา ประพันธ์วงศ์ : เรื่อง

ได้ยินชื่อเสียงมานานพอสมควรสำหรับตำรวจนครลอสแองเจลีส (แอล.เอ.พี.ดี.) ที่มีเชื้อสายไทย "พีท-พีรพงศ์ เพิ่มแสงงาม" บุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศด้วยการนำมวยไทยไปสอนตำรวจแอลเอ

ด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ศิลปะการป้องกันตัวการต่อสู้ที่ผสมผสานหลากหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน รวมทั้งยุทธวิธีที่ผ่านการฝึกฝนจนมีความชำนาญในด้านการใช้อาวุธชนิดต่าง ๆ การปลดปืนที่หาใครเทียบได้ยาก ถึงขั้นเป็นวิทยากรประจำกรมตำรวจในการสาธิตยุทธวิธีการต่อสู้ระดับแอดวานซ์ เพื่อโชว์ศักยภาพของตำรวจแอลเอ

เส้นทางการเป็นตำรวจแอลเอของ "พีท-พีรพงศ์" เหมือนชะตาลิขิตไว้แล้ว เมื่อทุกอย่างประจวบเหมาะ นับตั้งแต่ที่เขาถูกส่งให้ไปเรียนต่อประเทศอินเดีย ตอนอายุ 9 ขวบ ชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีพ่อแม่คอยโอบอุ้ม ทำให้เด็กชายไทยคนนี้เติบโตขึ้นมาอย่างนักสู้ เมื่อเผชิญกับภาวะความกดดันทั้งเรื่องภาษา และการถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าถิ่น ทำให้เด็กชายพีทในตอนนั้น ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อไม่ให้ใครรังแก นี่คือจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปะการต่อสู้แบบเข้มข้นและฝังอยู่ในสายเลือด

แม้เบื้องหน้าการไปเรียนต่อในคราวนั้นเพื่อฝึกษาอังกฤษแต่สิ่งที่พีทได้กลับมาคือ การเอาตัวรอดในยามที่ไม่มีใครช่วย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นเกือบทำให้เขาต้องถูกไล่ออก เพราะเจ้าถิ่นมักจะรับน้องใหม่ ด้วยการแกล้งสารพัด จนกระทั่งพีททนไม่ไหว เมื่อเด็กอินเดียเทน้ำแกงกะหรี่ลงไปในแก้วน้ำดื่มของเขา แล้วพากันหัวเราะเยาะ ทำให้ความอดทนเขาถึงขีดสุด

เรื่องราววุ่น ๆ จึงเกิดขึ้น ครั้งนั้นโชคดีที่มีรุ่นพี่ช่วยเหลือไว้ คอยอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เขารอดจากวิกฤตการถูกไล่ออก เพราะถ้าไม่มีรุ่นพี่ช่วย เขาคงถูกไล่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ 3 สัปดาห์แรก เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

พีทเรียนอยู่ที่อินเดีย 4 ปี ก่อนจะกลับมาประเทศไทยและพบว่าบ้านย่านสุขุมวิทที่พ่อเขาทุ่มเงินสะสมทั้งชีวิต จากการเป็นนักบินรับจ้างลำเลียงเสบียงให้กับทหารอเมริกันในสงครามเวียดนาม ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางด่วน ทำให้ครอบครัวของเขาต้องอพยพไปอยู่ที่อเมริกา เพราะค่าเวนคืนสมัยนั้นฟ้องร้องอะไรมากไม่ได้

เมื่อชีวิตพลิกผันจากการย้ายที่อยู่ พ่อของพีทติดต่อเพื่อนทหารอเมริกันและพาครอบครัวไปเปิดร้านอาหารไทยในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เมืองซาน เบอร์นาร์ดิโน ซึ่งมีทหารอเมริกันอาศัยอยู่ และมีคนไทยที่เป็นภรรยาชาวอเมริกันอยู่ที่นั่น ครอบครัวของพีทจึงเริ่มกิจการการค้า จากร้านอาหารขยายเป็นตลาด

กิจการเริ่มรุ่งเรืองความคิดที่ต้องช่วยที่บ้านจึงมาก่อน พีทเลือกเรียนมาร์เก็ตติ้ง ที่มหาวิทยาลัย แคล สเตต ซาน เบอร์นาร์ดิโน เมื่อเรียนจบมาเขาก็พบว่าสิ่งที่เขาเรียนมาเพื่อช่วยกิจการพ่อแม่ ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตของเขาจึงตกลงกับพ่อแม่ขอปลีกตัวออกมาทำในสิ่งที่คิดและตั้งใจ

จากนั้นจึงเริ่มเบนเข็มเข้าสู่สายอาชีพตำรวจด้วยการสอบเข้ารับราชการตำรวจประจำอยู่ใกล้ ๆ ที่เมืองเบิร์กลีย์ ทำได้ 6 เดือน เขาเริ่มเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ

"ผมคิดว่าผมคงเป็นตำรวจที่เมืองนี้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่สงบมากไม่มีอาชญากรรมหรือเหตุร้าย หนักที่สุดก็รถชนกัน 1 คัน ตำรวจวิ่งมาทั้งเมือง ผมจึงไปขอแม่ย้ายไปเป็นตำรวจที่แอลเอ ซึ่งจะได้เงินเพิ่มตามความเสี่ยงและได้ทำงานด้วย"

พีทเล่าว่า การทำงานตำรวจที่แอลเอทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะจบอะไรมา ทุกคนต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ สอบเหมือนกันหมด ไม่มีทางลัด กว่าจะได้เป็นตำรวจแอลเอทุกคนต้องสอบข้อเขียน เพื่อดูทัศนคติของแต่ละคน การสอบสัมภาษณ์น่าจะเป็นอะไรที่ยากที่สุดในความรู้สึกของพีท รวมถึงการสอบประวัติคนในครอบครัว เพื่อดูว่าจะมีโอกาสเป็นโรคทางจิตเวชหรือไม่ หากพบว่าคนในครอบครัวเป็น คนคนนั้นก็หมดสิทธิ์เป็นตำรวจ และการสอบประวัติเครดิต เพื่อดูว่าคนนั้นมีความน่าไว้วางใจแค่ไหน รับผิดชอบหนี้สินได้หรือไม่ ก่อนจะมารับผิดชอบชีวิตคนอื่น

"ตำรวจแอลเอกว่าจะขยับแต่ละขั้น ต้องสอบทั้งหมด และประสบการณ์การทำงานเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตการเป็นตำรวจแอลเอ ถ้าคุณนั่งโต๊ะแล้วไปเที่ยวสอนวิชาป้องกันตัวหรือการต่อสู้ให้ตำรวจใหม่ฟัง เขาจะไม่เคารพและศรัทธาในตัวคุณ แต่ถ้าคุณมีประสบการณ์จริงแบบลงมือจริง นั่นคือสิ่งที่ตำรวจในแอลเอจะนับถือคุณ เพราะความอาวุโสและยศตำแหน่งไม่ได้มีผลใด ๆ และถ้าคุณไม่ผ่านการทดสอบแบบคนอื่น คนนั้นจะถูกตั้งคำถามจากทุกคน"

กว่าจะผ่านขั้นตอนการทดสอบแต่ละขั้นและคู่แข่ง 100 คน รับเพียง 4 คน พีทย่อมต้องมุ่งมั่นอย่างหนัก เขาไม่ได้มีสัญชาติอเมริกันโดยกำเนิดย่อมเสียเปรียบ เขาจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเมื่อถูกถามถึงเหตุผลที่อยากเป็นตำรวจในแอลเอ พีทจึงตอบไปว่า "ผมเคยดูหนังตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าภาพพจน์ของตำรวจแอลเอ เป็นอะไรที่น่าจดจำและประทับใจมาก ทั้งเครื่องแบบที่สง่างาม มีความกล้าหาญ เข้มแข็ง และแข็งแกร่ง น่าชื่นชม และผมคิดว่าแค่ผมได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ จุดที่ผมฝันไว้ก็ดีมากแล้ว ฉะนั้นอำนาจอยู่ในมือพวกคุณที่จะตัดสินใจเลือกให้ผมเป็นตำรวจหรือไม่ ถ้าผมได้เป็นตำรวจ ผมสัญญาว่าผมจะเป็นตำรวจที่เก่งและดีที่สุดให้ได้"

ด้วยวลีที่เขากล่าวมาและแบบทดสอบที่ผ่านหมดทำให้ พีทได้เป็นเป็นตำรวจสมใจ และบททดสอบนั้นทำให้เขารู้จักคุณค่าของตัวเองมากขึ้น เพราะกว่าจะเรียนจบหลักสูตรตำรวจได้ต้องใช้เงินถึง 125,000 เหรียญสหรัฐต่อคน ซึ่งทางการเขาไม่ยอมให้ใครก็มาเป็นตำรวจแน่ ๆ ด้วยงบประมาณที่เสียไปนั้นคุ้มค่ากับการปลุกปั้นคนให้เป็นตำรวจที่เก่งและแกร่งได้ การลงทุนต้องคุ้มค่ากับเครื่องแบบกระสุนที่ใช้ทดสอบในสนามซ้อม เมื่อออกมาสนามจริงต้องสัมฤทธิผลให้ได้

การพัฒนาทักษะฝีมือตำรวจแอลเอนั้นมีแบบแผนและขั้นตอนที่ทรงพลังมาก พีทเล่าว่า การเลื่อนขั้นของตำรวจที่นี่ ไม่ใช่แค่ผลงาน แต่เป็นการทดสอบ หากอยากไต่ขึ้นไปอีกขั้นต้องผ่านการทดสอบทุกอย่าง แม้แต่ย้ายหน่วยก็เช่นเดียวกัน และทุกคนต้องเริ่มจากงานสายตรวจ งานสายตรวจที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ร้ายเป็นร้อย ๆ ครั้งต่อคืน

นอกจากนี้ ตำรวจทุกคนยังต้องกลับไปทบทวนยุทธวิธีการต่อสู้ การยิงปืน เหมือนกลับไปฝึกใหม่อีกครั้ง เพื่อทดสอบดูความแม่นยำ กรณีที่ห่างหายจากงานภาคสนาม จะมีแบบฝึกหัดให้ทำ ที่นั่นจะไม่มีตำรวจมานั่งในตำแหน่งเสมียน

นอกเสียจากว่าบาดเจ็บจากการทำงาน เพราะเขาไม่ได้เสียเงินฝึกตำรวจให้มานั่งโต๊ะ ที่เขาต้องเคี่ยวเข็ญการฝึกตำรวจอย่างหนักก็เพราะว่าหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา กรมตำรวจจะต้องจ่ายค่าเสียหายอย่างหนัก กรณีตำรวจกระทำความผิดพลาด

ความสามารถของพีทที่โดดเด่นในเรื่องศิลปะการต่อสู้ทำให้เขาได้เข้าไปเป็นครูสอนยุทธวิธีการต่อสู้แต่กว่าเขาจะก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องฝึกฝนและพยายามไม่น้อย

"ผมคิดว่าตัวเองแน่ที่จบสายดำคาราเต้ 3 ขีด แต่เมื่อได้เรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้อื่น ๆ เพิ่มเข้ามา ทำให้รู้ว่า สิ่งที่ผมมียังไม่เพียงพอและน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมได้รับมาใหม่ ซึ่งมันมาช่วยส่งเสริมกันและกัน ผมได้เรียนมวยไทย ได้รู้ว่ามวยไทยมีข้อดีอย่างไร ผมเป็นคนแรกที่นำหลักสูตรมวยไทย การใช้ศอกและเข่า รวมถึงการเตะมาสอนตำรวจแอลเอ ซึ่งผมทำให้เขาเห็นว่ามันใช้ได้จริง และหลายคนก็นำไปใช้"

ชีวิตตำรวจในวัยก่อนที่จะมีครอบครัว พีทเป็นตำรวจสายบู๊เต็มตัว ย้ายไปหลายหน่วยทั้งหน่วยปราบปรามยาเสพติด ต้องปลอมตัวเป็นคนร้าย ปลอมกันถึงขั้นที่ว่าตรวจประวัติแล้วมีประวัติอาชญากรติดตัวมาด้วย เพื่อป้องกันไม่ไห้เช็กประวัติได้

หากคนร้ายมีสายในกรมตำรวจ ตลอดชีวิตการเป็นตำรวจของพีทเขาป้องกันและระวังภัยในแอลเอและคลี่คลายมาหลายคดี ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ ได้รับบาดแผลจากการต่อสู้กับคนร้ายมา 2 แผล ทำให้เขารู้สึกว่า ชีวิตมีคุณค่าจากความท้าทาย เขาจึงก้าวไปสู่สิ่งที่ยากขึ้นและเสี่ยงอันตรายยิงขึ้น โดยการเข้าไปสู่หน่วยเก็บกู้ระเบิดพร้อมกับสุนัขคู่ใจ

"ถ้าเรามัวแต่คิดกลัว เราก็ไม่กล้าสู้ สมาธิเราต้องแน่วแน่ ทีมงานเราต้องครบ แต่การที่ผมทำหน่วยนี้ทำให้ผมรักชีวิตมากขึ้น รักครอบครัวมากขึ้น เปรียบเหมือนคนที่ชอบไต่เขาสูง เขารู้ว่าเสี่ยงแต่เขาทำไปเพราะมันเป็นเรื่องที่ท้าทาย หลายคนมองว่าเขาไม่รักชีวิต แต่คนที่ทำแบบนี้คือคนที่รักชีวิตมากถึงได้ใช้ชีวิตแบบนี้ เพราะยิ่งทำอะไรที่ท้าทาย ชีวิตเราจะยิ่งมีค่า และเราจะรักชีวิต อย่างคนขับรถเร็วหลายคนบอกว่าโง่ไม่รักชีวิต แต่เขาอยากตื่นเต้น ความท้าทายทำให้เรารู้ว่ามีค่า เราจะยิ่งรักชีวิตมากขึ้น แต่ต้องทำแบบมีสติ"

ตอนนี้พีทมีหน้าที่จูงสุนัขคู่ใจของเขาเข้าไปตรวจหาวัตถุระเบิด เมื่อพบแล้วหน่วยกู้ระเบิดจึงตามเข้าไปเก็บกู้ ซึ่งความตั้งใจของตำรวจแอลเอคนนี้ เขาอยากเป็นคนที่เข้าไปปลดชนวนและตัดสายระเบิดด้วยตัวเอง เป็นอีกงานที่เขารอ เพื่อจะทำหน้าที่ตำรวจได้ครบถ้วน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เขาจะย้ายไปหน่วยกู้ระเบิดก็ต่อเมื่อสุนัขตัวที่เสี่ยงภัยกับเขา ได้ปลดราชการกลับมาอยู่บ้านกับเขา ถ้าไม่ได้สุนัขตัวนี้เขาก็จะอยู่หน่วยหาระเบิดไปจนกว่า สุนัขตัวนี้จะเกษียณ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook