สาวกรี๊ด #ทีมน้าราม "อู๋-ธนากร" กับชีวิตที่ตกผลึก

สาวกรี๊ด #ทีมน้าราม "อู๋-ธนากร" กับชีวิตที่ตกผลึก

สาวกรี๊ด #ทีมน้าราม "อู๋-ธนากร" กับชีวิตที่ตกผลึก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กระแสความดังเปรี้ยงปร้างของน้าราม !!

"ความดีความชอบนี้คงต้องยกให้กับบทโทรทัศน์"

เสียงเรียบ สุขุมของ "อู๋-ธนากร โปษยานนท์" นักแสดงหนุ่มที่กลับมาดังเป็นพลุแตกอีกครั้งกับบทบาทของ "น้าราม" ในละครเรื่อง "ตามรักคืนใจ" ซึ่งอาจเรียกได้ว่า นี่คือบทประพันธ์คู่บุญกับเจ้าตัวอย่างแท้จริง เพราะหากย้อนไปเมื่อราว 18 ปีก่อน "อู๋-ธนากร" ก็โด่งดังมากกับบท "นายสิงห์" พระเอกของเรื่องนี้

"พี่ดา-หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ ผู้จัดละคร บอกว่า ตามรักคืนใจในฉบับปัจจุบัน มีเรื่องปมของพ่อ-ลูกมากขึ้น ผมก็ทำการบ้านด้วยการปรึกษาพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ซึ่งเขาเล่นเป็นน้ารามในยุคก่อน ผมถามประเด็นเดียวเลย คือเรื่องการมีลูก ผมไม่มีลูกจึงไม่เข้าใจความโหยหาที่มีต่อลูก นอกเหนือจากนั้นกระแสและความนิยมก็คงเกิดจากบทโทรทัศน์ ผมแค่เป็นคนที่นำบทละครนั้นมาถ่ายทอดลักษณะท่าทางให้คนได้ชม ส่วนกระแส เดี๋ยววันนึงมันก็หมด มันมา เดี๋ยวมันก็ไป อย่าไปหลงระเริง แค่รู้สึกว่าเราทำงานมาเหนื่อย มีสิ่งตอบแทนเป็นความชื่นชมของคนดูเท่านั้นจบ" อู๋-ธนากรเอ่ยถึงกระแสความชื่นชอบของแฟนละครที่มีต่อน้าราม

มาดนิ่ง ๆ ยิ้มน้อย ๆ ของผู้ชายคนนี้บอกได้ดีถึงความเป็นคนมีโลกส่วนตัว ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังบอกต่อว่า เขาเองไม่ใช่คนเก็บตัว หรือกลัวโลกภายนอก เพียงแต่ไม่ได้เป็นคนนำอะไร และก็ไม่ได้เป็นคนตามใครเช่นกัน การลงมือทำอะไรสักอย่างก็จะประเมินถึงศักยภาพของตัวเอง เพราะเขามีความเชื่อส่วนตนว่า หากจะทำสิ่งใดต้องสนุกและชื่นชอบกับสิ่งนั้นเสียก่อนจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

สำหรับฝีไม้ลายมือทางการแสดงของ "อู๋-ธนากร" เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้ชมมาแล้วร่วม 21 ปี บนเส้นทางบันเทิงที่มีผู้จัดละครมือดี "ยุวดี ไทหิรัญ" ผู้ที่ปลุกปั้น "อู๋-ธนากร" และทักท้วงให้อู๋อยู่ในวงการแทนที่จะไปเรียนต่อ

"ทีแรกผมตั้งใจแค่มาหาประสบการณ์ หลังจบมหาวิทยาลัยก็คิดว่าจะไปเรียนต่อ แต่ยังไม่รู้จะไปทางไหน พอมาเล่นละคร จึงรู้ว่าตัวเองชอบเส้นทางนี้ แต่ไม่ใช่อยู่หน้ากล้อง ผมอยากทำเบื้องหลัง ตั้งใจจะไปเรียนต่อด้านฟิล์ม อายุ (ยุวดี) บอกว่า จะไปทำไมให้เสียตังค์ โรงเรียนที่ดีที่สุดอยู่ข้างหน้านี่แล้ว ได้ปฏิบัติกับผู้รู้จริง ทีนี้อยู่ที่ความเอาใจใส่ของเราแล้วว่าจะเก็บเกี่ยวยังไง ผมก็เห็นจริงด้วย เลยตัดสินใจไม่ไปเรียนต่อและพยายามศึกษางานเบื้องหลัง และผมก็ได้เก็บเกี่ยวจากตรงนี้"

เมื่อมุ่งมั่นงานเบื้องหลัง "อู๋-ธนากร" จึงเปิดบริษัทครีเอทีฟ-โปรดักชั่นเฮ้าส์ ชื่อ Charm Entertainment ควบคู่ไปกับการเปิดร้านอาหาร Kyoto Yoshino Okonomi Yaki และรับงานแสดง รวมเป็น 3 งานหลักที่เขาชื่นชอบ

การทำอาหารอยู่ในความสนใจของเขามา 8-9 ปี เหตุจากการตื่นเช้ากว่าใครในบ้าน จึงมีโอกาสจับตะหลิวเข้าครัวอย่างจริงจัง หากวันใดไม่มีคิวถ่ายละคร นักแสดงหนุ่มก็จะขลุกตัวอยู่ในครัว และบางคราวก็หิ้วไปฝากน้องที่ออฟฟิศด้วย

"ใครไม่อยากกินก็บังคับให้กิน (หัวเราะเบา ๆ) จริง ๆ ร้านอาหารก็อยู่ภายใต้บริษัทครับ ผมหุ้นกับรุ่นพี่ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ที่เพิ่งกลับจากอเมริกา พ่อของเขามีฝีมือในการทำโอโคโนมิยากิ จึงได้เกิดเป็นร้าน Kyoto Yoshino Okonomi Yaki ซึ่งผมเข้าไปช่วยแค่บางส่วน เพราะไม่ค่อยมีเวลา

ส่วนบริษัทนั้น พี่เขาก็มาช่วยดูแล เพราะช่วงแรก ๆ ผมไม่มีความรู้เรื่องบริหาร โชคดีที่ได้พี่เขามาช่วย เขามีความครีเอทีฟและความคิดที่แตกต่าง เขาเป็นเหมือนไอดอลของ ผมเองก็ได้เรียนรู้การบริหารที่ถูกต้อง จนตอนนี้บริษัทเปิดมาได้ร่วม 10 ปีแล้ว"

ใครที่ติดตาม "อู๋-ธนากร" จะรู้ว่า เขาได้เป็นทูตการท่องเที่ยวประจำเมืองคางาวะ โดยเขาเล่าว่า ส่วนตัวเขานั้นสนใจประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว เคยขับรถจากเมืองใหญ่ไปเมืองเล็ก เพื่อไปสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงของชาวญี่ปุ่น จนเกิดความประทับใจ เมื่อมีทีมงานญี่ปุ่นมาชักชวน เขาจึง "เซย์เยส" อย่างง่ายดาย

"ตอนผมตอบรับงานนี้ก็เป็นเพราะความชอบโดยส่วนตัว การเข้าไปใกล้ชิดและสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คน เราต้องไปเมืองเล็ก ๆ เหล่านี้ ทริปแรกที่ไปจะเน้นเรื่องอาหาร เพราะคางาวะเป็นเมืองต้นกำเนิดอุด้ง

ครั้งต่อมาผมมีโอกาสได้ไปดูงานศิลปะ ต้องบอกว่าที่นั่นเป็นเมกะของคนที่ชื่นชอบศิลปะจริง ๆ มันสัมผัสได้ ผมชอบคิดตามงานศิลปะ บางงานทำให้ผมขนลุกจนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว งานศิลปะของเขาไม่ได้ใช้แค่ศิลปินญี่ปุ่น แต่เป็นศิลปินทั่วโลก โดยมีคอนเซ็ปต์ที่ว่า ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรก็ตามแต่ เขาจะให้ความสำคัญกับคนท้องถิ่นมาก่อน ทั้งรักษาธรรมชาติ อย่างการสร้างมิวเซียมก็สร้างอยู่ใต้ดิน ไม่ขุดไม่ตัดต้นไม้ นี่แหละคือเสน่ห์ของญี่ปุ่น ที่เขาทำเพื่อคนของเขาจริง ๆ"

"อู๋-ธนากร" ถือว่าเป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตได้คุ้มค่า ได้ทำงานที่รัก ได้ทำสิ่งที่ชอบ ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 43 ปี แต่กับความคิดของเขาได้เกิดตกผลึกครั้งใหญ่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในเช้าวันที่ตื่นมาพร้อมกับคำถามตัวเองว่า สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นความสุขที่แท้จริงหรือ ? จนพบคำตอบที่ว่า...

"เดิมผมเป็นคนซ้ายสุด ขวาสุด นานเป็น 10 ปี ที่ใช้ชีวิตแบบสุดขั้ว เข้าวงการยิ่งหนักขึ้น เพราะระเริง ผมทำงานเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย เมื่อหาได้เอง ก็ใช้เต็มที่ ไม่คิดอะไรมากวันนึงที่เราได้ถามตัวเองจึงรู้ว่า มันไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน หลังจากนั้นจึงเริ่มหันมาฟังธรรมะ ทั้งที่เมื่อก่อนแค่เริ่มประโยค นโม ผมก็หลับแล้ว (หัวเราะ) จนมาได้ฟังธรรมของหลวงปู่ชา ซึ่งเป็นคำสอนที่ง่าย สัมผัส เข้าถึง เข้าใจได้ ฟังแล้วจึงมานั่งทบทวนชีวิต

สิ่งที่มาเปลี่ยนชีวิตผม คือคำสอนของครูบาอาจารย์นี่ล่ะครับ ผมเคยบวช 2 ครั้ง รอบแรก...ผมยกมือบอกพระพุทธเจ้าว่า ผมเข้าใจว่าคำสอนของท่านคือสิ่งที่ดี แต่ขอเพลิดเพลินกับกิเลสนี้ก่อนได้มั้ย สิบปีผ่านไป...ผมบวชอีกที ผมก็ยกมือบอกท่านอีกทีว่าคำพูดที่ผมพูดไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว...ผมขอยกเลิก (หัวเราะ)

เพราะผมรู้แล้วว่า จริง ๆ คำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว ความทุกข์อะไรเกิดขึ้นเพราะความมีตัวตนของเรา ถ้าเราไม่มีตัวตน ความสุขก็จะเกิด แต่ถึงอย่างไรคนก็ยังยึดติดกับความสุข

ฉะนั้นอยู่ตรงกลางนั่นแหล่ะดีที่สุดแล้ว ที่พูดนี่ไม่ใช่ทำได้แล้วนะครับ กำลังศึกษา พยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจ แต่อย่างน้อยก็มีเส้นที่ขีดให้เราเดิน"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook