การเดินทางไปสู่จุดที่ไม่มีตัวตน ของ “เรย์ แมคโดนัลด์”

การเดินทางไปสู่จุดที่ไม่มีตัวตน ของ “เรย์ แมคโดนัลด์”

การเดินทางไปสู่จุดที่ไม่มีตัวตน ของ “เรย์ แมคโดนัลด์”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทันทีที่เราก้าวเท้าออกจากบ้าน เป้าหมายของเราอาจเป็นที่ทำงาน มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า หรือวัดเงียบๆ สักแห่งกลางเมือง

ทันทีที่เราเก็บเสื้อผ้าแพคใส่เป้สะพายขึ้นหลัง จุดหมายของเราอาจเป็นอำเภอเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งในประเทศบ้านเกิด หรือเมืองใหญ่ ณ ต่างแดน

ในขณะที่การเดินทางภายนอกดำเนินไป การเดินทางภายในจิตใจของเราก็ก้าวเท้าไม่พักเช่นกัน สำหรับ “เรย์ แมคโดนัลด์” ดาราหนุ่มที่รักการท่องโลก และทำเช่นนั้นมาเกือบ 20 ปี แม้ภาพของเขาจะถูกกำหนดให้เป็นไอคอล (สัญลักษณ์) ของการเดินทาง แต่เขากลับปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่นักเดินทางตัวจริง หากแต่สิ่งที่ทำมันคือสิ่งที่เขารัก และทำให้ได้รู้จักตนเองมากขึ้น

Sanook! Men จะพาทุกคนร่วมเดินทางไปยังความคิดของชายหนุ่มผู้นี้ และลองสังเกตว่าระหว่างเส้นทางคุณพบและเก็บเกี่ยวสิ่งใดจากเขาได้บ้าง

คุณเป็นไอคอลเรื่องการท่องเที่ยว นี่คือชีวิตที่คุณออกแบบไว้ตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า
คงไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ว่าถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนวัยรุ่นอายุสักสิบกว่า มันก็เป็นอะไรที่เราอยากทำ เราอยากเห็นหลายๆ ที่ทั้งในประเทศและต่างแดน เพราะเรารู้สึกว่ามันมีหลายที่ๆ เราอยากไปสัมผัส อยากไปเห็น อยากไปเรียนรู้ พวกวัฒนธรรมเขา เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง มันเป็นอะไรที่ผมเดาว่าคนหนุ่ม-สาวอยากทำ แต่ก็จับพลัดจับผลูที่เราโชคดีที่สิ่งที่เราต้องการจะทำ มันเป็นอาชีพไปด้วย แต่ไม่ได้วางหรือกำหนดไว้ว่าจะเป็นแบบนี้ เพราะไม่เคยวางอะไรเลยในชีวิต


แล้วทริปล่าสุดคุณไปเที่ยวที่ไหนมา
ล่าสุดน่าจะเป็นเกาหลีถ้าผมจำไม่ผิดไม่พลาด แต่ก็ประทับใจที่ได้กลับไปเที่ยวเกาหลีอีกรอบหนึ่ง เพราะการท่องเที่ยวเกาหลีเขาเชิญไป ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไวเหมือนกันเพราะเราจำได้ว่าครั้งที่แล้ว ล่าสุดที่ไปเกาหลีนั้นเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคนอาจยังไม่ค่อยได้ไปเกาหลี ตอนนี้ฮิตอะไรก็แล้วแต่ คนก็แห่กันไป หลายๆ ปัจจัย ตั๋วเครื่องบินถูกลง ข้อจำกัดต่างๆ เราก็รู้สึกตกเทรนด์เล็กน้อย เพราะคนไปเกาหลีกันเพียบแล้ว แต่ก็ดีครับยุคนั้นโซลกำลังพัฒนากันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งระบบราง ถนนหนทางต่างๆ จำได้ว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าไร คราวนี้เขาพัฒนาในจุดที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้สะดวกขึ้น อีกอย่างที่ผมชอบคือการหาเรื่องเล่า เรื่องราวต่างๆ นานาผูกกับสิ่งที่เขาพยายามส่งออกอย่างซีรีย์ ซึ่งผมว่าประเทศอื่นไม่ค่อยมีการผูกเรื่องแบบนี้เท่าไร ถือว่าเขาน่าจะมีหน่วยงานที่ช่วยกันคิด ก็ไม่น่าเชื่อว่า 5 ปีหลัง เขาสามารถมาถึงจุดนี้ได้ในเรื่องการท่องเที่ยวที่ผูกไปกับซีรีย์เรื่องต่างๆ ได้ ซึ่งผมไม่ได้ดูซีรีย์แต่ก็รู้สึกว่ามันเพลินดี

เอาเข้าจริงเมืองใหญ่ไม่ว่าที่ไหนในโลกมันเริ่มคล้ายกันไปหมด เสน่ห์เริ่มหาได้ยาก คนจะชอบอะไรคล้ายกัน มันจะโดนกลืนกันไปหมดด้วยอะไรก็ไม่รู้ เสน่ห์ที่แท้จริงมันอาจจะต้องออกไปนอกเมืองหรือเปล่า หรือเราเริ่มแก่แล้วที่อยากเห็นต้นไม้ ใบหญ้า วิถีชุมชนชาวบ้าน อันนี้อาจจะยกตัวอย่างแค่เกาหลี แต่มันอาจจะเป็นเหมือนกันในประเทศที่เคยไปเด็กๆ แต่กลับไปอีกครั้งเมื่อเราโตขึ้น มันก็ได้เห็นอะไรที่แตกต่าง

หลายคนถามว่าไม่เบื่อเหรอที่กลับไปซ้ำ มันไม่มีทางเบื่อ เพราะเรารักการเดินทาง เราไปที่หนึ่งตอนเราอายุ 20 เราไปอีกทีหนึ่งตอนเราอายุ 37 มุมมองหรือประสบการณ์ของเราที่ผ่านมา เราไม่ใช่คนเดิมแล้ว มันก็เห็นอะไรที่เอ้ย ! ครั้งที่แล้วไม่เคย แล้วมันก็เพลินดี อีกอย่างตอนนี้เราชอบไปกับคนที่เที่ยวน้อยกว่าเรา เราก็เห็นความตื่นเต้นอะไรหลายๆ อย่างที่เราอาจจะตื่นเต้นน้อยกว่าเขา เราว่ามันน่าประทับใจดี ผมยังรอให้ผมอายุ 60 แล้วจะกลับไปที่เดิม ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปหมด เปลี่ยนช้าหรือเร็ว สถานที่ ตัวคนที่เดินทางก็มีการเปลี่ยนแปลง เสน่ห์หลายๆ อย่างตอนที่เราเห็นตอนเด็กๆ เราอาจไม่เห็น แต่พอเราอายุมากขึ้นเราอาจเห็นและหลงเสน่ห์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ พูดเหมือนคนอายุ 70 ยังไงไม่รู้เนอะ

ส่วนใหญ่เราจะเห็นคุณเดินทางแบบที่ทำงานไปด้วย แล้วเวลาคุณเดินทางแบบท่องเที่ยวพักผ่อนเอง มันต่างกันอย่างไร
มันแตกต่าง ถ้าเราเที่ยวเองจะช้าๆ ไม่ต้องทำเวลา นิ่งๆ ไม่มีความกดดันอะไรทั้งสิ้น ความอยากรู้อยากเห็นอาจจะน้อยกว่าเวลาไปทำงาน โชคดีที่เราทำงานตรงนี้แล้วมันเหมือนผลักดันเราไปในตัวว่าเราจะต้องไปค้นหา รีเสิร์ชหรือผลักดันให้เราออกไปในโซนที่ปกติเวลาเราไปเที่ยวของเราเอง เราอาจจะคิดแบบว่าเอาไว้ก่อน เดี๋ยวก่อนก็ได้ ตอนนี้ก็จะไปไม่เป็นเหมือนกันถ้าไปเที่ยวเอง ถ้าเราจะไปท่องเที่ยวที่ไหนถ้าไม่ผูกงานไปด้วย มันก็จะรู้สึกงงแล้วว่าจะทำอะไรไม่ค่อยเป็นเท่าไร ก็เลยแบบว่าทุกครั้งที่มีที่ไหนที่เราอยากจะไป หรือเราอยากจะทำ เราก็พยายามผูกเรื่องให้มันเป็นคอนเซ็ปต์อะไรสักอย่าง เพราะระหว่างที่เราทำ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราทำงานอยู่ เราแค่ไหนๆ ไปแล้วเราไปเก็บภาพ เก็บความรู้สึก ประสบการณ์ต่างๆ แล้วมาแชร์กับคนดูทางบ้าน

สำหรับคุณ แก่นแท้ของการเดินทางมันคืออะไร
ผมยังหาอยู่เลย ผมยังไม่อยากหาเจอ ผมว่ามันไม่จำเป็นว่าต้องลึกซึ้งขนาดนั้น แก่นแท้ ปรัชญาของการเดินทาง คำจำกัดความของการเดินทาง แต่มันแล้วแต่คน เอาเข้าจริงๆ ถ้ามันเจอแล้ว เราก็ยังจะทะเลาะกับตัวเองว่ามันไม่ใช่ เราก็ยังจะหาไป คราวนี้มันก็จะมีคำถามต่อว่า นักเดินทางกับนักท่องเที่ยวมันแตกต่างกันอย่างไร ผมว่าจริงๆ แล้วมันก็ไม่แตกต่าง เพราะสุดท้ายแล้วแก่นของมันก็คือคุณต้องการออกไปหาที่ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งผมว่ามันไม่ต่างกันเลย

บางทีเขาจะบอกว่าฉันไม่ใช่นักท่องเที่ยว ฉันเป็นนักเดินทาง เพราะบอกว่าเป็นนักเดินทางมันเท่กว่า หรือฉันเป็นนักท่องเที่ยวแบบว่ามาถึงเสร็จปุ๊บถ่ายลง IG แล้วแชร์กัน เราว่ามันไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก บางคนบอกว่าเป็นการสัมผัสชีวิต อยู่กับปรัชญา ผมว่าเฮ้ยมันจะลึกไปไหนวะ มันไม่จำเป็น แต่ถ้าถามว่าเราชอบอะไร เราชอบไปเจอกับธรรมชาติหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันทำให้เราอึ้งกับความงามแล้วก็ความมหัศจรรย์ของโลก แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่ได้เกิดมาแล้วพบว่าเราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร เราจะชอบแบบนั้นมากเลย แต่มันเป็นกับหลายๆ ที่แล้ว เช่นถ้าย้อนกลับไปครั้งแรก ผมไปนั่งอยู่ตรงนั้นประมาณ 3 ชม. ผมไปเจอเทือกเขาหิมาลัยครั้งแรกที่เนปาล แล้วผมก็นั่งอยู่ตรงนั้น มันยิ่งใหญ่ไม่น่าเชื่อ แล้วก็นั่งดูไป ดูเพลิน น้ำตาไหล มันมีหลายที่เหมือนกัน กี่ล้านปีกว่าธรรมชาติจะปั้นตัวเองขึ้นมา และจริงๆ เราก็ไม่มีความสำคัญหรือควรให้ค่าตัวเองมากขนาดนั้น เราเล็กยิ่งกว่าเศษดิน ผมชอบความรู้สึกนั้นมาก รึเราอาจจะรู้สึกว่าฉันภูมิใจในช่วงที่เราเป็น Somebody เราอาจจะหลงตัวเองตอนอายุสิบกว่า แต่ว่าความคิดพวกนั้นมันไม่มีอยู่แล้ว บางทีเราเจอกับสิ่งพวกนี้แล้ว เราก็จะรู้ว่าเดี๋ยวชีวิตของเราก็จะจบไป ธรรมชาติพวกนี้ก็ยังอยู่ โลกก็ยังอยู่ แต่จะอยู่เป็นภาพไหน ภาพที่เราเห็นอีก 300 ปี ก็คงไม่ มีการเปลี่ยนแปลง

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าชีวิตคุณมันคือการเรียนรู้ทุกๆ วัน ล่าสุดคุณเรียนรู้อะไรไป
เรียนรู้ทุกๆ วันเหรอ ผมอาจจะตอบเพราะอยากเท่ (หัวเราะ) แต่อันหนึ่งที่ผมชอบคือไปหลายๆ ที่ผมพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมเขา หรือวัฒนธรรมเราก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายพอมันกลับมาเราก็ได้เรียนรู้ตัวเองมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่เราไม่อยากรู้จักขนาดนั้น เราไม่อยากรู้จักมาก เราอยากค้นหาต่อ แต่พอมันรู้จักแล้วมันก็จบ บางทีเราไปตามล่าหาอย่างหนึ่งแต่เรากลับมาได้อีกอย่างหนึ่ง มันแล้วแต่ว่าบางทีคุณจะผิดหวังกับสิ่งที่คุณตั้งใจออกไปเจอหรือเปล่า หรือว่าคุณจะรู้สึกดีใจและเห็นคุณค่ากับสิ่งที่คุณเห็น ไม่ว่าจะเดินทางสบายหรือลำบาก บางทีถ้าสบายไปกลับมามันจะจำอะไรไม่ค่อยได้หรอก บางทีต้องลำบากบ้าง

สิ่งที่คุณได้รับจากการเดินทางมาตลอดเวลาเกือบ 20 ปีคืออะไร
ประสบการณ์บานเลย ผมรู้สึกว่าบ้าน รถ ไม่มีก็ได้ กลับไปอยู่บ้านแม่ก็ได้ มุมมอง การได้เปิดโลกทัศน์ มันเป็นห้องเรียนห้องใหญ่ มันทำให้เราเข้าใจว่าในความแตกต่างบนโลกใบนี้มันยังมีความคล้ายกันอยู่อย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ต้องออกไปเอง หลายคนบอกว่าเอ้ยมันไม่เหมือนกันหรอก ท้ายที่สุดเราก็แค่รู้สึกว่าโลกมันก็คือหมู่บ้านขนาดใหญ่ และเส้นที่ขีดเขียนวาดมันลงไปบนแผนที่มันเป็นเส้นสมมุติเฉยๆ ยิ่งถ้าคุณเดินทางโดยขับรถข้ามไปแต่ละประเทศ มันจะเห็นผู้คน วิถี ภาษา หน้าตาค่อยๆ เปลี่ยน ไม่ใช่ว่านั่งข้ามไปแล้วทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด แบบนี้มันคือเสน่ห์ บางทีเข้าไปแล้วได้สัมผัสมันก็เริ่มอิน เริ่มได้เรียนรู้ แล้วคิดไปแบบไม่รู้ว่าถูกผิดหรือเปล่า แต่ตอนที่เราอยู่ในสถานที่นั้นๆ เรารู้สึกว่ามันเป็นหมู่บ้านใหญ่หมู่บ้านหนึ่ง

เคยอ่านเจอบทความของนักเขียนท่านหนึ่ง บอกว่าถ้าจะคบใครสักคนหนึ่ง นักเดินทางถือเป็นหนึ่งในคนที่น่าคบและไว้ใจได้ สำหรับคุณเป็นแบบนั้นไหม
ไม่ได้ครับ ผมนี่ไม่น่าไว้ใจ เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัว หลังๆ ผมเจอตัวจริงเยอะเหมือนกัน เขาเดินทางมา 4 ปีติด เขาจะเป็นคนที่เปิดกว้าง ช่วงแรกๆ ที่เขาเดินทางมาเขาคงมีการเปรียบเทียบอะไรหลายๆ อย่างว่าทำไมไม่เป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายเมื่อเวลามันผ่านไป เขาได้เดินทางเยอะๆ มันเป็นเสน่ห์ของแต่ละที่ๆ ทำอะไรคล้ายๆ แต่แตกต่างกัน เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เขาเห็น เขาก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้ทุกอย่างเหมือนบ้านเขา มันคงยาก ไม่งั้นเสน่ห์ของการเดินทางมันก็หายไป
ถ้าเจอนักเดินทางตัวจริง อันนี้ไม่ได้พูดถึงผมนะ ที่ผมเจอมาส่วนมากเขาจะเป็นมิตร และค่อนข้างไว้ใจในทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าเขาจะโดนปล้นมาแล้ว 3 รอบ โดนมอมยามาแล้ว 8 ครั้ง เขาก็บอกว่ารวมๆ แล้วมันจะเป็นแค่คนไม่ดีไม่กี่คนแล้วจะบอกว่าประเทศหรือเมืองนั้นๆ มันไม่ดีไม่ได้ ก็ถูกต้องของเขา

ล่าสุดเจอคนอิหร่านที่โบกรถเที่ยวเมืองไทยซื้อจักรยานปั่นต่อไปพม่า ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ตอนที่เราเจอเขาในเมืองไทยเราก็สงสัยนะว่าเขาไม่กลัวเหรอ มันอันตราย เราก็คิดว่ามันน่าจะทำกันใน MV เราก็ช่วยพาเขาไปส่ง แล้วถามเขาว่าไม่กลัวเหรอ เขาก็บอกว่าหลักๆ แล้วเขาเจอแต่คนดีๆ หมด มันอาจจะเป็นเรื่องคนดีดึงดูดคนดีเข้ามาก็ได้ อย่างผมไม่ใช่นักเดินทางตัวจริง แต่มันเป็นแค่ภาพที่คนเห็นเราอยู่เรื่อยๆ เพราะอย่างตัวจริงเขาอาจจะเดินทางไปประเทศต่างๆ น้อยกว่าผมแต่เขาลึกกว่าผม พวกเขาไปเขาไม่ได้แค่ถ่ายภาพหรือเขียนไดอารี่ แต่เขาจะสเก็ตช์เป็นความทรงจำในสิ่งที่เขาประทับใจเช่นวิถีชีวิตชาวบ้าน พอมันสเก็ตช์ไปแบบนั้นมันได้ใกล้ชิด ได้พูดคุยกับชาวบ้าน เขาก็รู้สึกว่าเขาได้สัมผัสจริงๆ

คนภายนอกมองว่าชีวิตคุณดี คุณได้เที่ยวแบบไม่ต้องเสียเงินเอง จริงๆ แล้วชีวิตคุณมันน่าอิจฉาขนาดนั้นไหม
น่าอิจฉามาก (หัวเราะ) ถ้าเดินทางด้วยและเป็นงานด้วยผมว่าใครๆ ก็น่าจะทำได้นะ ยิ่งสมัยนี้มันแบบว่าทุกคนจะเป็นเหมือนผู้นำทาง ไอคอล บล็อกเกอร์หรืออะไรก็ตาม สามารถทำได้ ผมอาจจะเป็นรุ่นเก่าและสายทีวีคนไม่ค่อยเชื่อเท่าไรเพราะว่ามันมีการแต่งแต้ม ตัดต่อมันเป็นอะไรที่ไม่เรียล คนจะไปเชื่อบล็อกเกอร์ หรืออะไรมากกว่า ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป มันก็ไม่เป็นไร เราก็เข้าใจได้ แต่ย้อนกลับมาที่คำถาม มันน่าอิจฉาไหม ผมก็ไม่แน่ใจเพราะอย่างที่บอกไปว่าใครก็ทำได้มั้ง ผมน่าจะโชคดีที่เลือกมาทางนี้แล้วก็ต้องบอกว่าหลายๆ โปรเจคที่ทำไปหลายๆ ชิ้นก็ไม่ได้กำไรอะไร แต่รู้สึกว่าเราเกิดมาเราควรสะสมประสบการณ์แทนการสะสมบิ๊กไบค์ รถหรู (ยกตัวอย่างเฉยๆ นะ แต่ไม่ได้ว่าใครเพราะผมไม่มีเงินซื้อรถหรู นี่คืออิจฉาล้วนๆ)

ย้อนกลับไปตอนคุณดังมากๆ และตอนนี้คนก็ยังคงรู้จักคุณอยู่ คุณทำยังไงให้คนไม่ลืมคุณ
เดินไปตามท้องถนนมันก็อาจจะมีคนจำผมได้ก็แค่นั้น มันก็ยังแปลกดี ที่ตอนนี้อาจจะมีน้องๆ รุ่นใหม่มารู้จักมากขึ้นเพราะรายการครัวแล้วแต่คริตหรือเปล่า ผมยังงงเลยว่าคนรุ่นใหม่รู้จักผมได้ยังไงเพราะทาร์เก็ตของผมน่าจะเป็นคุณแม่ลูกหนึ่งหรือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมากกว่า คือถ้าสามสิบกว่ามาทักแล้วบอกทีนทอล์ค ผมต้องบอกเงียบๆ หน่อย เพราะเดี๋ยวคนเขารู้อายุหมด ก็งงเหมือนกันว่าเขารู้จักเราจากไหนเพราะเราก็ไม่ได้มีงานต่อเนื่องเหมือนเบอร์ใหญ่ๆ ก็ยังดีใจที่คนจำได้ ยังพอจะนึกออก

ทำไมคุณถึงวางตัวเองไว้ที่ตำแหน่งนี้ ทั้งๆ ที่คุณก็ดังพอๆ กับคุณชาคริต แย้มนามเพื่อนของคุณ
ดังกว่าครับ (หัวเราะ) ชาคริตกับผมเข้ามาพร้อมกัน ผมไม่ไปทางละครหรือซิทคอม ผมมาทำรายการเพราะผมสงสารเพื่อน ถ้าผมเล่นซิทคอมเขาก็ไม่มีงานซิครับ แล้วรถสปอร์ต 7-8 คันที่เขามีอยู่จะมีได้ยังไง ภรรยาที่ต้องดูแล ผมไม่ได้ว่าเพื่อนๆ ในวงการนะครับ อย่างชาคริตละครปีๆ หนึ่งหลายเรื่อง ปีนี้เขา 37 ละครเขายังเยอะอยู่เลย แต่เราอาจจะเป็นคนที่มีความสามารถค่อนข้างจำกัดและอีกอย่างเราอยากจะทำและอยู่กับมันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์จริงๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าใครนะครับ เพราะบางทีเราก็ต้องทำในบางโปรเจคท์ที่อยากทำน้อยหน่อยเพื่อให้ได้ทำในโปรเจคท์ที่เราอยากทำมาก แม้ว่างานนั้นจะเจ๊งก็ตาม สุดท้ายมันก็กลายเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและสามารถเล่าสู่กันฟังได้เป็นปีๆ

เมื่อไรคุณจะหยุดเดินทาง
คงจะมีเบรคๆ บ้าง เพราะจริงๆ เราไม่ได้ทำรายการที่มันต้องออนแอร์ทุกอาทิตย์ แต่ชีวิตนี้คงหยุดเดินทางแค่แป๊บเดียว มีช่วงหนึ่งในชีวิต ช่วง 10-15 ปีหลังนี้เราหยุดเดินทางไปแค่ 1-2 ปี ตอนนั้นมันเป็นแบบว่าถ้าเกิดฉันเบื่อแล้วฉันจะหยุด หยุดแล้วถ้ามันไม่มีความอยากเกิดขึ้นอีกฉันจะไม่ทำ แต่ตอนนั้นคิดแบบเด็กๆ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันคือช่วงที่คุณอยากกับช่วงที่โอกาสมันมามันไม่มีทางตรงกัน ความคิดอาจจะเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย ความอยากมันมีอยู่แต่ไม่ต้องรอให้ถึงขีดสุด รอให้พร้อมที่สุด เพราะเวลาที่ดีที่สุดมันไม่มีอยู่จริง

คนทั่วไปเห็นคุณใช้ชีวิตชิลๆ สบายๆ จริงๆ แล้วคุณมีเป้าหมายในชีวิตไหม
มีไว้พุ่งชนครับ มีปีต่อปี ตอนนี้เรามีเป้าหมายอันใกล้คือทำรายการให้ได้กำไร ตอนนี้สนุกกับระบบต่างๆ นานาที่เสียดายที่ตอนเราเด็กๆ เราค่อนข้างแอนตี้หลายอย่างเพราะเราไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เราเข้าใจมันแล้วเราเข้าใจอะไรค่อนข้างช้า แต่ก็สนุกกับการหาผู้สนับสนุนรายการ เข้าไปเสนอโปรเจคท์ต่างๆ นานาให้เขาเข้าใจ ถึงแม้มันจะมีการปฏิเสธ ไม่รับโทรศัพท์มากมาย มันก็กลายเป็นเรื่องตลกละ มันก็มีนะที่เขาบอกว่าเขาจะช่วย แต่มันไม่จริง อยากบอกว่า "อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อยากจะบอกน้องๆ ที่อยู่ในวงการว่าถ้าอยากผันตัวเองมาทำรายการทำเบื้องหลังเลยว่า พึ่งตัวเองและอย่ายอมแพ้ จงสนุกกับมัน เขาไม่รับโทรศัพท์ก็โทรต่อไป ผมโทรยิกเลย กลายเป็นเรื่องขำแล้ว

ตอนคุณอายุ 60 เราจะได้เห็นเรย์ แมคโดนัลด์เป็นแบบไหน
ก็ยังมีชีวิตอยู่ ผมน่าจะเป็นลุงคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะฟิต ตอนนั้นอาจจะย้ายไปอยู่พัทยา และกำลังอินเรื่องบิ๊กไบค์ มีแก๊งแบบทำตัววัยรุ่นทั้งๆ ที่สภาพไม่ใช่เพราะใช้ร่างกายมาเยอะ แต่สุดท้ายก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่น่ารัก และตอนนั้นก็น่าจะยังทำโปรเจคท์เกี่ยวกับคนที่เกษียณไปแล้ว แล้วก็โทรไปขอสปอนเซอร์แล้วไม่รับเหมือนเดิม

เขายังคงเป็นเรย์ แมคโดนัลด์แบบที่พูดจาเป็นกันเอง และให้สัมภาษณ์ด้วยภาษาง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าการเดินทางภายในของชายผู้นี้จึงเดินทางไปได้ไกลแบบที่เรารู้สึกว่าเป็นเพียงแค่คนที่มองเห็นแผ่นหลังเขาลิบๆ

ขอบคุณภาพบางส่วนจาก IG:@raymacdonald

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook