ชีวิตสุดขั้วและตัวตนของ “เป้ อารักษ์”

ชีวิตสุดขั้วและตัวตนของ “เป้ อารักษ์”

ชีวิตสุดขั้วและตัวตนของ “เป้ อารักษ์”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ภาพของผู้ชายมาดเซอร์อย่างเป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ ทำให้หลายคนคิดว่าเขาเป็นผู้ชายสไตล์ติสท์ๆ แนวๆ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง หลังจากถูกดึงเข้าสู่วงการมายา ทำงานในวงการบันเทิงมาหลากหลายทั้งเป็นนักดนตรี นักแสดง จนกระทั่งปัจจุบันยังรับบทบาทเป็นพิธีกร ประสบการณ์ต่างๆ นับจากวันวานจนถึงปัจจุบัน ทำให้ทุกวันนี้เขารู้สึกว่าเขาเติบโตขึ้น

Sanook! Men จะพาทุกคนไปทำความรู้จักเขาอย่างรอบด้าน นับตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวันนี้ที่เขาเป็นผู้ชายวัยเกิน 30 ที่ยืนยันว่าจะอยู่บนเส้นทางนี้ต่อไป

ตอนเด็กๆ พ่อแม่คุณมีวิธีเลี้ยงดูคุณอย่างไร
พ่อแม่ผมเลี้ยงผมได้ยอดเยี่ยมมากเลยครับ มีทั้งประคบประหงมและก็มีแบบปล่อยๆ บ้าง มันก็มีช่วงที่ผมเป็นเด็กดีมากๆ กับช่วงที่ผมซ่ามากๆ ช่วงวัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่อาจจะมีความสงสัยในความเปลี่ยนแปลงของผม แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่ยอดเยี่ยม

คุณเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร
ช่วงม.ปลาย อายุประมาณ 15 ตอนปิดเทอมผมอยากหาเงิน เลยทำอาหารไปส่งตามตึกแถวธนิยะ เพื่อนๆ ในซอยบ้านทำ KFC ,แมคโดนัลด์กัน เราเห็นก็เลยอยากทำบ้าง เลยขอไปส่งอาหารตามตึก แล้วเอาใบปลิวไปแจก ทำอยู่ได้ไม่นานก็มีคนชวนไปแคชติ้ง แต่ก็ไม่ค่อยได้ไป จนเบื่อ (หัวเราะ) แล้วก็เอาเสื้อผ้าเก่าไปขายแถวข้าวสาร ก็มีโมเดลลิ่งมาชวนไปเดินแบบ ตอนนั้นยังตัวนิดเดียวเองครับ นั่นคือจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้แคชอีก เลยมาทำวงดนตรี

จุดเริ่มต้นของการทำวงดนตรี
ตอนนั้นอยู่มหาลัยปี 2 เราก็ฟอร์มวงกัน สมัยนั้นมีวงมากมายเกิดขึ้นในกระแสอินดี้ แต่ว่าวงพวกนั้นไม่มีเพลงของตัวเอง มีแต่ cover แต่วงเรามี เย่ สเลอที่แต่งเพลงตัวเองได้ แล้วเราก็ทำดนตรีกันได้ จบงานได้ด้วยตัวของตัวเอง ก็ไปยื่นเดโมกับหลายๆ ค่าย หลังจากนั้น 2 ปีก็ได้ออกอัลบั้มกับ Small Room

จากนั้นก็มีงานด้านการแสดงเข้ามาหาคุณ
ความจริงผมเป็นคนที่ชอบดูหนัง ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วนะครับ ชอบดาราหลายๆ คน โดยเฉพาะดาราผู้ชาย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน , แบรด พิตต์ ฯ ตามภาษาวัยรุ่นอ่ะครับ แต่เราไม่คิดว่าจะได้มาเล่นหนัง ไม่เคยคิดว่าจะได้เข้ามาถึงตรงนั้น (หัวเราะ) พอเค้าให้เราไปแคชติ้งเราถามคำแรกเลยว่า …เฮ้ยหนังมันได้เงินเยอะป่าว (ยิ้ม) เขาบอกว่าได้เป็นแสน อ้าวอย่างงี้ก็เอาสิ (หัวเราะ) แต่ว่าสิ่งที่มันเปลี่ยนชีวิตเลยก็คือตอนที่ไปเจอ ครูเงาะ รสสุคนธ์ ตอนที่ไปแคชติ้ง และได้ร่วมงานกับทีมงาน GTH “บอดี้ศพ 19” คือผมโชคดีที่ได้มาเจอทีมงานที่ดี ทำให้เราสนุก และเห็นการแสดงเป็นเรื่องที่ซีเรียสจริงจังแล้วก็สนุกท้าทายขึ้นมา จากที่สมัยก่อนเหมือนไปยืนทำอะไรหน้ากล้องตอนนี้มันเปลี่ยนไป เราไม่เคยเรียนการแสดงไง ก็ได้เริ่มเรียนการแสดงมากขึ้นจึงทำให้เราได้อยู่จนถึงทุกวันนี้

คิดว่าการที่เรามีชื่อเสียง เพราะฝีมือด้านการแสดงหรือเพราะสาเหตุอะไร
คงเป็นเรื่องของคาแรคเตอร์มั้งครับ แต่ก็ต้องมีเรื่องฝีมือบ้างละ เพราะบางเรื่องผมก็รู้สึกว่าผมทำได้ดี บางเรื่องก็รู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพอ บางฉากก็ดี บางฉากก็ไม่ดี แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วการที่เราดูแล้ววิจารณ์ หรืองานประกาศรางวัลต่างๆ บางทีก็เห็นขัดกับเรา คนนี้เล่นดีกว่า เราคิดว่าถ้าเขาลองมาแสดงผมเชื่อว่า เขาจะมองว่าคนนี้ยากกว่า มันท้าทายกว่า แต่เค้ากลับให้อีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เล่นยากนัก ไม่ได้พยายาม มีจังหวะแบบว่าเราจะเห็นขัดกับนักวิจารณ์ตลอด ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือเล่นดี เล่นไม่ดี เราเห็นขัดกับแม่เราตลอด พ่อแม่เราชอบแบบนี้ เราก็จะชอบแบบนี้ ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดีสมจริงหรือเปล่ายังไม่รู้เลยครับ เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของนามธรรมมากๆ

คุณคิดว่าการเป็นนักแสดงกับนักดนตรีแตกต่างกันอย่างไร
การเป็นนักดนตรีค่อนข้างจะอิสระกว่าทางด้านความคิด ในขณะเดียวกันก็แปรผกผันเป็นตัวเงินเหมือนกันถ้าคุณยังไม่ดัง (หัวเราะ) ส่วนใหญ่นักแสดงที่ชอบบอกว่าอยากเป็นนักดนตรีผมว่ามันมีเหตุผลง่ายๆ ก็คือนักดนตรีมันเป็นอิสระ และมันได้แสดงถึงตัวตนจริงๆ ไม่มีกรอบมาบังคับรู้สึกว่าอยู่บนเวที ได้ควบคุม ได้เสียงกรี๊ดตรงนั้น ได้การยอมรับตรงนั้น ในขณะที่เป็นดารามันเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาได้มา ชื่อเสียงที่เขาได้มา อาจจะเป็นเหมือนกับไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้จริงๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนประคบประหงมสร้างขึ้นมา ทีมงานสร้างขึ้นมา ผมว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ก็จะมีบางจุดที่ โอ้โห้! Success น่ะ เราก็คิดในใจว่ามันไม่ได้ Success เพราะเราหรอก คือตอนนั้นแบบหนังสุดเขตสเลดเป็ดได้ 120 ล้าน ผมกับพี่ยอร์ชก็คุยกันใน WhatsApp พี่เขาก็บอกขอบคุณมากเป้ที่มาเล่นให้ ผมก็บอกว่าไม่ เดี๋ยวก่อนพี่ ไม่ใช่เพราะผมเลย 120 ล้านที่พี่ได้เพราะพี่ล้วนๆ เลย เพราะทีมงานทุกคน เราจะคิดเสมอว่ามันไม่ใช่เพราะเรา (หัวเราะ) ซึ่งนักดนตรีมันค่อนข้างจะหอมหวานกว่า (ยิ้ม) ดูมีอุปสรรคท้าทายมากกว่า

พอเริ่มมีชื่อเสียง คุณมีวิธีการรับมืออย่างไร
ตอนแรกผมรับมือได้แย่มากเลยครับ ไม่เคยโพสบอก ไม่เคยดูแล เป็นแฟนคลับหรอ ไม่ได้สนใจวิ่งหนีด้วยซ้ำ คือสมัยก่อนมนุษย์สัมพันธ์เราก็ไม่ได้ดีนักกับทุกคน เราก็อยากจะดูดีในสายตากับทุกคน แต่จริงๆ แล้วข้างในเราก็ไม่ได้ดีพอแบบนั้น ก็เลยทำตัวไม่ดีตอนแรก หลังจากนั้นเริ่มโตก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นมา เข้าใจกับธรรมชาติของสิ่งที่มันเป็นมากขึ้น ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ

คิดว่าการมีชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ดีไหม
มันให้ทุกอย่างที่ผมมีในตอนนี้อ่ะครับ และผมเองก็ไม่ได้รังเกียจเลยที่จะมีคนมาขอถ่ายรูปหรือว่าอะไร ผมก็เป็นคนที่ Nice คนหนึ่งนะ ขออะไรถ้าผมให้ได้ผมก็จะให้ แต่ผมก็จะมีอารมณ์เครียดบ้างตอนที่คนชอบว่าผม ว่าหยิ่งเพราะเรารีบ ไม่สุภาพกับเราก็จะเครียด บางทีก็อาจจะดูแลไม่ครบ บางทีจะบอกว่าการมีชื่อเสียงมันสนุกไหมมันก็ให้ทุกอย่างกับผม แต่บางทีมันก็ทำให้เครียดและก็น่าปวดหัวบ้างในบางจังหวะเหมือนกัน บางทีเราก็ทำตัวไม่ถูก

เมื่อคุณมีชื่อเสียง ชีวิตคุณแตกต่างไปจากเดิมมากไหม
โอ๊ยเยอะสิครับ มันผ่านมานานมาก 8 ปีแล้วครับ ที่เริ่มมีชื่อเสียงแบบคนรู้จักเยอะ ตอนนั้นที่ละครแจ๋วออกอากาศอาทิตย์แรก แล้วผมก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปสยาม สมัยก่อนจะมีเฉพาะงาน Fat ที่แบบคนจะสนใจ ตอนนี้ทุกคนมองทุกคนเรียก เข้ามาหา (ยิ้ม)

มองอนาคตในวงการบันเทิงไว้อย่างไรบ้าง
ตอนนี้มันเป็นยุคที่กำลังควันฟุ้งนะฮะ มีอะไรติดต่อเข้ามาเยอะในเรื่องของทีวี ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ตัวเองมีบทบาทที่มันแข็งแรงขึ้น มีความสามารถมากขึ้น มีคนยอมรับในฝีมือมากขึ้น อย่างละครเรื่องล่าสุดก็รู้สึกว่าได้ทำอะไรที่มันแตกต่าง รู้สึกว่าเราก็ไปถึงได้ในจุดที่เราไม่มีความคล้ายกับตัวเราเลย และคงจะทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ อย่างหนุ่มเซอร์ บทรักกุ๊กกิ๊ก เราผ่านมาจนเราชินแล้ว อยากจะลองไปรับบทอะไรที่ค่อนข้างแข็งแรงแล้วก็ถาวรและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นครับผม

ที่ผ่านมาเรื่องความรัก ดูเหมือนไม่ค่อยสมหวังเท่าไร
โหย! พวกคุณไม่รู้อะไร (หัวเราะ) และผมก็ไม่ได้อยากบอกสิ่งที่พวกคุณอยากจะรู้นักหรอกนะ (ยิ้ม) และผมก็ไม่บอกด้วย แต่ผมไม่ใช่คนที่ sad เรื่องความรักขนาดนั้น

มุมมองเรื่องความรักเป็นแบบไหน
ก็ดีนะครับ ก็โอเค ผมไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเท่าไหร่ อยากจะโฟกัสเรื่องอื่นมากกว่า เพราะมันเป็นเรื่องของคน 2 คน ก็ผ่านกันมาหลายคู่แล้วนะครับ เราก็เคยคบนางเอกมาแล้ว แล้วมันก็มีปัญหามีคำถามที่น่าปวดหัว เพราะมันเป็นเรื่องของคน 2 คน คนโน้นสัมภาษณ์อย่างนั้น คนนี้สัมภาษณ์อย่างนี้ ก็ทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวาย มันไม่ใช่แค่เรา 2 คนแล้วอ่ะ ผมก็เลยไม่อยากที่จะพูดถึงความรักในตอนนี้ แต่ถ้าถามคอนเซ็ปต์โดยรวม หรือตรงๆ ก็บอกเลยว่าผมไม่ได้ผิดหวังเรื่องความรักขนาดนั้น

ด้านงานเพลงส่วนใหญ่จะทำเพลงแบบที่เป็นสไตล์เราหรือเปล่า
ผมก็พยายามทำเพลงให้มันตลาดมากขึ้นแล้วนะครับอย่างเพลงคิดถึง มันไม่มีอะไรตลาดกว่านี้แล้ว (หัวเราะ) แต่ผมก็ยอมรับนะว่าเสียงร้องของเราอาจจะไม่ใช่ตลาดที่คนส่วนใหญ่ชอบ พยายามพัฒนาก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจพวกเขาหรือเปล่า แต่มันก็ถูกใจเรา ณ ตอนนี้ ณ ปัจจุบัน ผมก็ไม่ได้อยากจะแนว ไม่ได้อยากเล่าเรื่องซีเรียสเสมอไป อยากให้คนฟังเพลงของเราบ่อยๆ บ้าง

มุมมองการเป็นนักดนตรีสมัยนี้ คิดว่ายากกว่าสมัยก่อนเยอะไหม
เราตัดเรื่องทุกอย่างออกไป ตัดเรื่องธุรกิจเพลง เรื่องดาวน์โหลดหรือช่องทางการปล่อย วิธีการทำโปรดักชั่นตัดทิ้งไปให้หมดเลย สุดท้ายเพลงดังก็คือเพลงดัง ทุกยุคทุกสมัยเพลงดัง เราคิดถึงเงินที่จะเข้ามาแล้วกันนะครับ เพลงดังมันก็คือเพลงดัง คุณปฏิเสธเพลง Too Much So Much Very Much ได้ไหม คุณปฏิเสธเพลงอย่างหญิงลี ได้ไหม ในขณะเดียวกันคุณปฏิเสธ polycat ได้ไหม ถ้ามันดังจริงดีจริง คุณปฏิเสธมันไม่ได้หรอก ถ้าคุณปฏิเสธไม่ได้มันก็เหมือนกันทุกยุคทุกสมัย ผมยังปฏิเสธ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ได้เลย (หัวเราะ) ผมปฏิเสธ บิ๊กแบง ไม่ได้ มันเป็นอะไรที่แบบถ้ามันดี ถ้ามันจริง ก็สร้างงานที่คนปฏิเสธไม่ได้น่าจะสำคัญที่สุด

เด็กรุ่นใหม่อยากเข้ามาเป็นแบบเป้ อยากเข้ามาในวงการบันเทิง พวกเขาต้องทำอย่างไรบ้าง
มันมีหลายอย่างนะครับ ส่วนแรกมันเป็นการฝึกตัวเองที่ดีในเรื่องการเรียนดนตรี หรือการเรียนเพอร์ฟอร์แมนซ์ มีโรงเรียนเปิดขึ้นเยอะ อย่างแรกคืออย่าไปฝืนอย่าไปรู้สึกว่ามันทรมาน เหนื่อย อย่าไปซีเรียส ซึ่งค่านิยมมันกลายเป็นแบบนั้นไง คุณต้องไปแข่ง ไปอยู่ในบ้านอะไรแบบนี้ ซึ่งไม่ได้บอกว่ามันผิดแต่ถ้ามันซีเรียสเกินไปมันจะไม่สนุก ถ้าคุณสนุกกับมันแล้ว ถ้าเป็นนักดนตรี คุณต้องมีเพลงของตัวเองในยุคนี้ คุณจะไปหวังให้เขามาปั้นคุณเหมือนยุคสมัยก่อนไม่ได้แล้ว เม็ดเงินในการปั้นมันไม่คุ้มกับสิ่งที่คุณจะได้มา ถ้ามีเพลงของตัวเองคุณสร้างงานของตัวเองได้เดี๋ยวนี้มีคอมฯ มีเปียโนตัวเดียว มีคีย์บอร์ดตัวเดียวคุณก็เล่นได้เหมือนเครื่องดนตรีละ ถ้าคุณจบงานตัวเองได้นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด อันนี้พี่ญารินดาสอนผมมา ตอนที่ผมกำลังจะออกจากค่ายสมอลล์ รูม พี่ญารินดา บอกว่า เป้มีเพลงของตัวเองแล้ว เป้จะไปอยู่ไหนก็ได้ ซึ่งมันก็เป็นคำสอนที่ถูกต้องในเมื่อมีเพลงของตัวเอง ถึงไม่มีค่ายเราก็ออกเองได้ ถ้าจะหวังให้ฮิต 100% โด่งดัง อย่างเพลง ขัดใจ แบบนี้แต่ก่อนมีใครรู้จักบ้างล่ะ ถ้าคุณทำเพลงที่คนปฏิเสธไม่ได้ เมื่อนั้นแหล่ะ

เคยเห็นเป็นพิธีกรเกี่ยวกับเกษตรกร ส่วนตัวเราชอบแบบนี้ด้วยรึเปล่า
คือออกแนวอยากรู้มากกว่าครับ ประเทศไทยจริงๆ แล้ว ขับออกมาจากกรุงเทพฯ ครึ่งชั่วโมงก็เจอทุ่งนาแล้ว ความจริงคือเราเป็นประเทศเกษตรกรรมครับ แต่อาจจะอยากเป็นประเทศแฟชั่น ประเทศอุตสาหกรรม แต่คุณปฏิเสธไม่ได้ว่าเราปลูกข้าวเยอะมาก (หัวเราะ) เราปลูกมะม่วงเจ๋งที่สุดในโลก ก็เลยอยากรู้ว่าจริงๆ ประเทศเราทำอะไรกันอยู่ รายการนี้เหมือนเป็นรายการที่อยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนว่าถ้าคุณอกหัก คุณตกงาน คุณไม่จำเป็นต้องไปเปิดร้านกาแฟ ไปขายเสื้อผ้า หรือไปขายครีม คุณมาเป็นเกษตรกรก็ได้ ซึ่งเราก็จะเดินทางไปเกือบทั่วประเทศ ไปดูว่าคนที่เคยทำอย่างอื่นมาไม่ได้จบเกษตรมาแล้วมาทำฟาร์มเจ๋งๆ ของตัวเองได้ยังไง แล้วก็ประสบความสำเร็จในแบบไหน ในพืช สัตว์ เทคโนโลยี ต่างๆ กันไป

ตอนนี้คุณอายุ 31 เป้ อารักษ์ ในอดีต กับปัจจุบันใช้ชีวิตแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ก็อาจจะใช้ชีวิตไม่ได้ผาดโผนเหมือนเมื่อก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะผาดโผนมากขึ้นในบางแง่ แต่ก็ยังทำงาน ค่อนข้างจะเหมือนเดิมคือเล่นหนัง เล่นละคร ทำเกือบทุกวันเหมือนเดิม ยังมีความเด็ก ยังมีความเป็นผู้ใหญ่ แต่อาจจะรู้อะไรมากขึ้น

ถ้าให้มองอนาคตตอนที่คุณอายุ 60 ปี คิดว่าตัวเองจะเป็นแบบไหน
ยังนึกไม่ออก ถ้าผมเป็นนักดนตรีที่ดังในอนาคต แบบพี่ปูพงษ์สิทธิ์ แบบคาราบาว แบบพี่โจ้ พี่ก้อง อาจจะเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ แต่ถ้าในเรื่องงานแสดงอาจจะเล่นบทพ่อไปเรื่อยๆ ก็ได้นะ (หัวเราะ) หรือไม่ก็ไม่ทำงานในวงการแล้ว อาจจะไปทำอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นนักไฟแนนซ์ หรือทำงานเกษตรก็ได้ เดาไม่ถูกจริงๆ ครับ เพราะตอนนี้ผมมีเป้าหมายและผมก็ยังทำมันอยู่ในเรื่องของการแสดงและงานเพลง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายมันจะสำเร็จหรือเปล่า เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ว่าความสำเร็จอยู่ที่นั่นนะ (หัวเราะ) ก็มีตั้งหลายอย่างที่เราพยายามแล้วมันยังไม่สำเร็จ ตอบยากจริงๆ ครับ (ยิ้มอ่อน)

จากบทสัมภาษณ์ของเป้ อารักษ์ คงพอจะทำให้สรุปได้ว่า “อยากทำอะไร ให้ลงมือทำ” ในขณะเดียวกันเป้ก็ไม่เคยปฏิเสธโอกาสที่เข้ามา และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังคงมีที่ยืนอยู่ในวงการบันเทิง วงการที่พร้อมจะเบียดทุกคนให้หล่นหายลงไปได้ตลอดเวลา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook