"ฟอร์ด" กุลวิทย์ เลาสุขศรี เบื้องหลังชีวิต "เกินจริง" บก.โว้ก

"ฟอร์ด" กุลวิทย์ เลาสุขศรี เบื้องหลังชีวิต "เกินจริง" บก.โว้ก

"ฟอร์ด" กุลวิทย์ เลาสุขศรี เบื้องหลังชีวิต "เกินจริง" บก.โว้ก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

     ลองจินตนาการถึงผู้ที่นั่งในตำแหน่ง "บรรณาธิการ" นิตยสารแฟชั่น หลายคนคงนึกถึงเจ้านายมาดร้าย นิสัยจู้จี้จุกจิก ขี้วีน แต่งตัวจัดจ้าน ไม่ยอมใคร มีอิทธิฤทธิ์เยอะ แบบ "มิแรนด้า พรีสท์ลี่" (แสดงโดย เมอรีล สตรีพ) ในหนังเรื่อง The Devil Wears Prada หรือนึกถึงรังสีความแรงแบบ "แอนนา วินทัวร์" บก.โว้ก อเมริกา ตัวจริง

ที่เปร่งรัศมีทั้งสุดจี๊ด เฮี้ยบ เนี้ยบ น่าเกรงกลัว และเข้าถึงยาก แต่บุคลิกนั้นไม่ใช่ของ "ฟอร์ด-กุลวิทย์ เลาสุขศรี" บรรณาธิการบริหาร โว้ก ไทยแลนด์ ผู้ชายคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งนี้ในตระกูลโว้ก

     ฟอร์ด เดินยิ้มร่าเข้ามาต้อนรับ "ทีมข่าวประชาชาติธุรกิจ" อย่างเป็นกันเอง พร้อมเปิดออฟฟิศใหม่เอี่ยม ย่านราชประสงค์ ให้เข้าไปนั่งพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำคัมภีร์แฟชั่นโลก เวอร์ชั่นภาษาไทย ไปจนถึงเผยไลฟ์สไตล์ "บางตัวตน" ที่ย้อนแย้งอยู่ในตัวของบรรณาธิการหนุ่มสุดเฟี้ยว ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการนิตยสารแฟชั่นหัวนอกมากว่า 15 ปี

ชีวิตในสายงานแฟชั่นของเขา เริ่มขึ้นตั้งแต่เรียนจบด้านแฟชั่นดีไซน์จากประเทศสหรัฐอเมริกา และกลับมาเมืองไทย เริ่มต้นกรุยทางสร้างงานในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตกปี 1997 ทว่าวิกฤตครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดสตาร์ตที่ดีในชีวิตของเขา

     ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี"97 ถือเป็นจังหวะแห่งการเปลี่ยนในธุรกิจแฟชั่น บรรดาบริษัทแบรนด์ลักเซอรี่ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ เช่น เครือ LVMH ของแบร์นารด์ อาร์โนลต์, Gucci Group, Prada เข้ามากวาดซื้อหุ้นและแฟชั่นเฮาส์ของหลายแบรนด์ และเข้ามาทำธุรกิจในไทยด้วยตัวเอง โดยไม่ผ่านเอเยนซี่เหมือนแต่ก่อน เป็นเวลาเดียวกับการเริ่มต้นชีวิตทำงานของแฟชั่นดีไซเนอร์ป้ายแดง

ด้วยดีกรีนักเรียนนอก รู้เรื่องแฟชั่น คล่องแคล่วภาษาอังกฤษ ผลักดันให้ฟอร์ดกลายเป็นคนแรก ๆ ที่ได้เข้ามาประสานงานกับบริษัทต่างประเทศ จึงได้ทำงานคลุกคลีอยู่กับแบรนด์แฟชั่นดัง ๆ จุดนี้เองจึงเปรียบเสมือนเบ้าหลอมสำคัญ ทำให้เขาเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและเทรนด์โลกแฟชั่นเป็นอย่างดีในเวลาเดียวกันนั้น วงการนิตยสารเมืองไทยก็กำลังเติบโต

     เมื่อโอกาสมาถึง ประกอบกับจังหวะชีวิตที่รู้ตัวเองว่า "รักแฟชั่น" และหลงใหล "กลิ่นกระดาษ" เขาจึงได้ลองเริ่มทำงานกับนิตยสารแฟชั่นชื่อดังอย่าง ELLE ในตำแหน่ง Fashion Editor เป็นเหมือนพาสปอร์ตพา ฟอร์ด ไป "พบรัก" กับงานที่เป็นตัวเอง จนลืมนับวันเวลาที่โลดแล่นอยู่หลังฉากแฟชั่นแมกาซีน กระทั่งถึงวันนี้ กับตำแหน่ง "บก.โว้ก" เหมือนฝันที่เป็นจริง

"ความฝันของคนทำนิตยสารแฟชั่นทุกคน ก็คงฝันอยากเป็น บก.โว้ก หรือการได้ทำงานร่วมกับกองเด นาสต์ ผมก็เคยฝันสักวันหนึ่งอยากทำโว้ก แม้แต่ตอนอยู่ที่นิตยสารเก่า ก็ยังใช้โว้กเป็นแรงบันดาลใจ"

แม้ได้อย่างใจคิด ก็ไม่ง่ายที่จะทำ เพราะชื่อ "โว้ก" ก็มาพร้อมความคาดหวังสูงปรี๊ด ทั้งคำติชมรอบด้าน ท้าทายฝีมือในการหาส่วนผสมให้ลงตัวของ "โว้ก ไทยแลนด์" ในการแข่งขันที่ดุเดือดของนิตยสารหัวนอก

"ความท้าทาย คือเสน่ห์ในการทำงาน ช่วยให้ตื่นตัว ขยับหามุมมองและความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา" ฟอร์ดยิ้มตอบ พร้อมเสริมต่อว่า

"คนทำนิตยสารต้องเปิดโลกทัศน์อยู่เสมอ ไวกับข่าวสาร เชยไม่ได้ หยุดพัฒนาเมื่อไหร่ นั่นคือ จุดจบ"

     ฉะนั้นเขาจึงไม่เคยพอใจในโว้ก ฉบับใดเป็นพิเศษ เพราะคิดว่าต้องทำให้ดีขึ้นและดีที่สุด แต่เขาก็ปฏิเสธว่าไม่ถึงขั้นเป็นพวก perfectionist ทั้งที่ทุกประเด็น ทุกคำถาม และทุกเรื่องที่กุลวิทย์พูดถึง "งาน" แววตาคู่นั้นจะมีพลังขึ้นมาทันที เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เขาทำอยู่ ถ้ามนุษย์เงินเดือนได้ฟัง อาจจะต้องอิจฉาตาร้อนผ่าวกันเลยทีเดียว

"ผมเป็นคนที่มีความสุขมากทุกครั้งที่ทำงาน อยากตื่นทุกวันไปทำงาน เพราะไม่เคยคิดว่านี่คืองาน ไม่เคยบ่นงานเยอะ งานเยอะแหละดี ผมจะได้ทำ แก้ไขปัญหา และลับสมองตัวเอง" บก.โว้กอธิบายชีวิตการทำงาน

     เกือบทุกกระบวนการกว่าจะออกมาเป็นเล่ม จึงต้องผ่านมือเขาทั้งหมด"เหลือแค่ไปเฝ้าแท่นพิมพ์อย่างเดียว ที่ยังไม่เคยทำ" (หัวเราะ) ฟอร์ดยืนยันและเล่าว่า วุ่นวายอลหม่าน ไม่ต่างจากที่เห็นในหนังสารคดีเรื่อง The September Issue กว่าจะได้ตีพิมพ์เป็นโว้กสักเล่มผ่านหลายกระบวน ทั้งหมดยกเครดิตให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่บรรณาธิการต้องดูแลในทุกกระบวนท่า แม้แต่การแยกสี เฉดสีใดผิดเพี้ยน ไปจนถึงตรวจความเรียบร้อยที่ปกสุดท้าย

     เรียกว่าละเอียดยิบทุกขั้นตอน แถมด้วยคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว เป็นคนแอ็กทีฟสูง คิดไว พูดเร็ว (มาก) มองขาด มีคลังข้อมูลแน่น ตรงต่อเวลา พูดจาไพเราะ ที่สำคัญ "รับฟัง ก่อนตัดสินใจ" แต่ก็ยังไม่พ้นถูกเปรียบเป็น "แอนนา วินทัวร์" เขาบอกว่า นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน

"ไม่ได้เป็นคนเข้มงวดขนาดแอนนา แต่ทำงานบนเหตุและผล ผมมีนโยบาย open door จะเปิดประตูให้ทุกคนเข้าพบตลอดเวลา ใครมีปัญหาอะไรเข้ามาพูดคุยกันได้ ชอบให้เกิดการถกเถียง เพราะเราต้องการฟีดแบ็กจากหลายฝ่าย และไม่เคยคิดว่า ความคิดของตัวเองต้องสำคัญที่สุด" คำชี้แจงจาก บก.โว้ก ที่ไม่วางตนเองเป็นเจ้านาย ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น มีปัญหา มีเหตุผลมาคุยกัน ยิ่งเป็นเรื่อง "ครอบครัว" ขอให้บอกมาคำเดียว

ดังนั้นสมาชิกครอบครัวโว้ก จึงต่างเป็น "คนคุ้นเคย รู้ใจ รู้งาน" ที่ตามติด "นาย" มาจากบ้านหลังเก่า

"บางคนมาอยู่ตั้งแต่เป็นเด็กฝึกงาน ทำงานและเติบโตด้วยกันมา บางคนบอกว่า เจ้านายไปไหน หนูไปด้วย รวมถึงดีไซเนอร์หลายคน อย่างแอนนา วินทัวร์ จะมีลิสต์ดีไซเนอร์ของเขา แต่ผมไม่มีรายชื่อขนาดนั้น แต่หลายคนที่ทำงานด้วยกัน ในตอนนี้ เคยทำงานด้วยกันมาไม่น้อยกว่า 7-8 ปี ไม่ได้ชวนเขา แต่เขาต้องการมาเอง"

เมื่อพูดถึงบทบาทในที่ทำงาน ฟอร์ดเป็น "พี่ใหญ่" แต่พอกลับบ้าน เขาสลัดมาดผู้บัญชาการมาเป็น "น้องเล็ก" ที่มีพี่สาวประคบประหงม คอยต้มรังนกให้กินบำรุงร่างกายอยู่ตลอด

ด้วยหน้าที่ที่คลุกคลีอยู่กับวงการแฟชั่นเกินทศวรรษ ไลฟ์สไตล์ของคนทำงานสายนี้น่าจะถนัดในการออกงานสังคมหรูหรา ไปกาลาดินเนอร์ จิบไวน์เลิศรส หรือเฮฮาปาร์ตี้ยามค่ำคืน ผิดคาด ! เรียกว่าตรงกันข้าม ก็ว่าได้ บก.ฟอร์ด กลับเป็นคนนอนเร็ว ไม่ชอบเที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่ชอบแฮงเอาต์

"ถ้าต้องไปปาร์ตี้ อย่างแรกต้องไปถ่ายรูปกับเจ้าของงาน พูดคุยทักทายนิดหน่อย หมดหน้าที่ ขอตัวกลับบ้าน" นี่คือคำอธิบาย ยามจำเป็นต้องออกงานในฐานะ "สื่อ" ที่มีแขวนป้ายว่า "บรรณาธิการโว้ก" เขาบอกว่า เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในโลก "surreal" ด้วยการถูกป้อนจากสิ่งที่ดีเกินจริง

"ทานอาหารก็ต้องร้านที่ดีสุด แพงที่สุด เดินทางแบบดีที่สุด นอนโรงแรมดีที่สุด ดูแฟชั่นโชว์ก็ต้องนั่งแถวหน้าสุด ได้ที่นั่งระดับ V.I.P. นั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ แต่ผมไปในฐานะโว้ก ต้องเล่นบทบรรณาธิการ นั่นคือหน้าที่" ฟอร์ดเล่าถึงการถูกปฏิบัติที่ผ่านมานอกเหนือหน้าที่ "เวลาที่มีค่า" จึงทุ่มให้กับ "ครอบครัว"

"ผมชอบอยู่บ้านมาก ใช้เวลาอยู่กับพี่สาวและหลาน ๆ เพราะคนกลุ่มนี้ช่วยดึงเราลงมาอยู่กับโลกความเป็นจริง ไม่ให้ลืมอะไรบางอย่างว่า เราคือปุถุชนคนธรรมดา"

     หากมองภายนอก ฟอร์ดเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง แต่ในบางครั้ง เจ้าตัวยอมรับว่า "เครียดเป็นเหมือนกัน แม้จะไม่แสดงออกมาก แต่ทำงานต้องเครียดอยู่แล้ว คนที่บอกไม่เครียดนะ โกหก คนไม่ใช่พระอิฐพระปูน" ส่วนยาคลายเครียดชั้นดีของ บก.คนนี้ คือออกกำลังกาย นอกจากหายเครียดแล้ว ยังห่างโรคอีกด้วย สำหรับเคล็บลับหน้าใส กระปรี้กระเปร่า ทำได้ง่าย ๆ แค่ "นอน"

"ผมโชคดี เป็นคนสั่งปิดสวิตช์นอนหลับได้ทันที ถึงจะเครียด แต่ก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าวันใหม่แล้ว ชีวิตเป็นเรื่องสนุกออก"

     ท่ามกลางแสงสีแฟชั่นฟู่ฟ่าล้อมตัว บก.ฟอร์ด เขากลับนิยามวิถีชีวิตตนเองว่า"ไม่ได้เป็นคนที่ปรี๊ด กรี๊ดกร๊าด มองทุกสิ่งด้วยความพอดี ไม่ต้องรักมาก ไม่ชอบมาก ไม่เสพมาก ไม่สุดโต่ง เดินสายกลาง แค่นั้นพอ"

ก่อนแยกย้าย บรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นสุดเปรี้ยว ยังเดินไปหยิบ "หนังสือสวดมนต์" ฝากให้เป็นของที่ระลึกอีก 2 เล่ม

 

.....................................................................................................................

ติดตามทุกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชาย รวบรวมข้อมูลเรื่อง แฟชั่นผู้ชาย ทรงผมผู้ชาย น้ำหอมผู้ชาย
พร้อมด้วยหลากหลายบทความเกี่ยวกับ สุขภาพ สาวสวย และที่เที่ยวกลางคืนได้ที่นี่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook