"ตือ" สมบัษร ถิระสาโรช ปัญหาคือ งาน...งานคือ ความสุข

"ตือ" สมบัษร ถิระสาโรช ปัญหาคือ งาน...งานคือ ความสุข

"ตือ" สมบัษร ถิระสาโรช ปัญหาคือ งาน...งานคือ ความสุข
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปัจจุบันนอกเหนือจากงานหลักด้านการจัดงานอีเวนต์แล้ว พี่ตือยังแบ่งเวลาไปเป็นครูพิเศษ เพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา ทางด้าน Creative Design และ Commercial Art ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก


ด้วยประสบการณ์การทำงานที่คลุกคลีอยู่ในวงการงานอีเวนต์มายาวนานกว่าสิบปี ในบทบาทนักบริหารในนาม "บริษัท ตือ จำกัด" ที่รับจัดงานอีเวนต์ทั่วราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่บริษัทตือรับทำหมดทุกอย่าง ถือเป็นการเติบโตที่เริ่มต้นตั้งแต่การลองผิดลองถูก แล้วค่อยๆ สร้างชื่อ ตือ ออกาไนเซอร์ ขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับจนถึงทุกวันนี้
"บริษัทเรารับจัดงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานเปิดตัวสินค้า งานแฟชั่นโชว์ งานฝึกอบรม งานของรัฐบาลก็ทำ เรียกว่าทำทุกอย่าง ถ้าให้นับว่าจัดงานมาแล้วเท่าไหร่ น่าจะเป็นพันงาน มีลูกค้าตั้งแต่ทำให้ฟรีไปจนถึงแพงมาก งานช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคน งานการกุศลก็ทำ ซึ่งปีหนึ่งทำบ่อยมาก
ที่ผ่านมารู้สึกประทับใจทุกงานที่ทำ ถ้าถามว่างานไหนภูมิใจเป็นพิเศษ คงเป็นงานที่ทำให้กับกระทรวงพาณิชย์ เป็นงานเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าระหว่างดีไซเนอร์ไทยกับคนต่างชาติ ถือเป็นงานประกาศศักยภาพของดีไซเนอร์ไทยให้คนต่างชาติได้รับรู้ถึงความสามารถ รู้สึกภูมิใจตรงนั้น


บริษัทเราโชคดีที่ไม่เคยไป pitching งานที่ไหนเลย ส่วนใหญ่ลูกค้าจะ Walk-in เข้ามา ถือว่าโชคดีที่ลูกค้าให้เกียรติเรา เพราะแค่ลำพังงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ทำไม่ทันแล้ว"
ทำงานแบบมืออาชีพที่เน้นการ brainstorm
พี่เป็นคนชอบทำงานกับลูกค้า โดยการนั่ง brainstorm กัน ประชุมกันว่า products เป็นอะไร ขายอะไร ขายตัวไหน แล้วนำสินค้าตัวนั้นมาชูประเด็นในการขาย ในการคิด ทำงานร่วมกันเป็น Team Workไม่ชอบทำงานแบบต้องไป Presents ให้ลูกค้าเลือกว่าชอบหรือไม่ชอบ แบบนั้น แบบนี้ เพราะพี่คิดว่าเป็นวิธีที่เสียเวลา สู้มานั่งคุยแล้วช่วยกัน brainstorm ดีกว่า พี่คิดว่าวิธีนี้เวิร์คที่สุดในการทำงาน
ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อน ๆ เราทั้งนั้น ทำงานด้วยกันง่าย ไม่ค่อยวุ่นวายมาก ส่วนขั้นตอนการทำงานที่ยากที่สุดคือ การถ่ายทอดความคิด เพราะถ้าจับประเด็นไม่ชัดเจน ถ่ายทอดความคิดผิด ผลที่ตามมาคือลูกค้าขายของไม่ได้
ต้องบอกเลยว่าการคิดงานใช้เวลาคิดไม่นาน แต่การวางแผนการทำงานจะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะต้องใช้ความละเอียดในการทำงาน การสร้าง Themes ให้แข็งแรง แต่คิดงานไม่นาน คิดแป๊บเดียวก็ได้ไอเดียแล้ว พอได้ไอเดียก็มาต่อยอดว่าจะทำอย่างไรให้คนร่วมงานเข้าใจ Message ในสิ่งที่เราคิด
งานไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหา คืองาน
พี่ไม่เคยมีปัญหาในการทำงาน เพราะไม่เคยคิดว่าเป็นปัญหา พี่คิดเสมอว่าการทำงานคือการแก้ปัญหา ฉะนั้นพี่ไม่ได้รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นปัญหา แต่ทุกอย่างคือการแก้ปัญหา แล้วพี่ก็มีความสุขกับการทำงาน


ภาวะเศรษฐกิจหรือเรื่องการเมืองอาจมี Effect กับงานบ้าง แต่พี่มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ในขณะที่เศรษฐกิจดี คนเรียกใช้เรา แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนยิ่งต้องระวังเรื่องการใช้เงินมากขึ้น ฉะนั้นลูกค้ายิ่งต้องใช้เงินแบบใช้แล้วคุ้ม แล้วพี่ก็เชื่อว่าลูกค้าที่มาใช้บริการเราจะยิ่งคุ้ม
Details คือ หัวใจสำคัญของการทำงานอีเวนต์
จริง ๆ พี่เป็นคนละเอียดมาก จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด แค่ป้ายห้อยชื่อพนักงานก็คือ การสร้างแบรนด์ ต้อง Details ขนาดนั้น แม้แต่การผูกเชือกรองเท้า ภาชนะในการกินอาหารของ backstage ก็เป็นแบรนด์ คือการสร้าง Quality ที่ดีให้กับทีมงาน ให้กับตัวเรา
ลูกค้ามาเห็นทีมงานกินข้าวใช้ช้อนแบบนี้ ใช้จานแบบนี้ เป็นแบรนด์ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้คนที่พบเห็น ฉะนั้นตรงนี้สำคัญ ไม่ใช่แต่งตัวออกมาข้างนอก อยู่ต่อหน้าคนอื่นดูดี แต่หลังบ้านเละ ก็ไม่ได้ ฉะนั้น ต้องดีตั้งแต่หลังบ้าน ในบ้าน จนถึงนอกบ้าน นี่คือสิ่งที่พี่ควบคุมเสมอ
ที่สำคัญ อย่าคิดว่าทำงานวันนี้แล้วลูกค้าจะใช้คุณต่อ แต่ให้คิดว่าคนมางานเราร้อยคน พันคน ขอแค่ 1 คนที่ชอบงานเรา แล้วมาเป็นลูกค้าเรา แค่นี้ถือว่าคุ้มแล้ว อย่าคิดว่าทำแล้วลูกค้าจะมาต่อยอด ไม่มี ส่วนมากลูกค้าพี่จะเป็นลูกค้าประจำที่ทำงานกันมาตลอด แต่ละแบรนด์ที่ทำด้วยกันมาไม่ต่ำกว่า 7-8 ปี ทุกแบรนด์ที่อยู่ในมือ
อีกอย่าง พี่ไม่เคยคาดหวังว่าจะมีงานอะไรที่ต้องทำหรือไม่อยากทำ แต่เชื่อว่างานทุกอย่างถ้าจะมีเข้ามาเดี๋ยวมันก็ได้ทำเอง เพราะงานอะไรเราทำได้หมด ถ้าคิดว่าอยากจะทำและเราทำได้ ก็ทำได้ แต่งานบางงานถ้าทำไม่ได้ ก็จะบอกลูกค้าไปตรง ๆ ว่า ทำไม่ได้ เพราะไม่ถนัด แล้วแนะนำให้ว่ามีใครที่ถนัดกว่าเรา พี่จะเป็นคนเคารพเรื่องนี้
เดินทางท่องเที่ยว พบปะผู้คน เติมเต็มความรู้


การหาความรู้ของพี่คือ การไปท่องเที่ยว พูดคุยกับเพื่อน พบปะผู้คนและศึกษา lifestyle ของคนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราอยู่ในอาชีพนี้ ต้องรู้ว่าคนมีหลายกลุ่ม หลายรูปแบบ lifestyle ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน ต้องเข้าใจคนว่าคนแบบนี้กินอย่างไร เที่ยวอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ซื้อของอย่างไร ช้อปปิ้งแบบไหน
คนมีครอบครัวแล้วใช้ชีวิตอย่างไร คนทำงาน หรือคนเริ่มทำงานใหม่ ๆ มีชีวิตแบบไหน คนเป็นผู้บริหารมีชีวิตแบบไหน ต้องศึกษาและต้องมีเพื่อนที่หลากหลาย ต้องศึกษาว่ากระแสของโลกเป็นยังไง ความรู้ด้านศิลปะ ความรู้เรื่องเกี่ยวกับแฟชั่นก็ต้อง update
โดยส่วนตัวพี่เป็นคนชอบเรื่องแฟชั่น ชอบเรื่องการแต่งตัวอยู่แล้ว อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ทำให้เรามีความสุข และสามารถสร้างงานให้กับเราได้ด้วย ก็เลยโชคดีตรงนี้
รักษาคนด้วยใจ บริหารแบบคนในครอบครัว
พี่จะไม่ถือว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท แต่พี่เป็นหนึ่งในพนักงานที่บริษัทจ้างมาทำงาน ฉะนั้น ต้องทำงานให้คุ้มกับที่บริษัทจ้าง ไม่ใช่เป็นเจ้าของบริษัทแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำ อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ต้องมีระเบียบ พี่ตื่นเช้าและเลิกดึกทุกคืนเป็นเวลาทุกวัน
จริง ๆ พี่เป็นคนโชคดี เวลาทำงานเราก็ enjoy กับการทำงาน เนื่องจากงานของเราเป็นงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับคน และคนที่มาร่วมงานกับเราก็เป็นเพื่อนเรา ก็เลยเป็นการทำงานที่มีชีวิตอยู่กับเพื่อน เลยรู้สึกสนุกไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการทำงาน บางครั้งยังงงเลยว่า เอ๊ะ! มาทำงานหรือมาเจอเพื่อน ๆ
สังเกตได้ว่าพี่จะไม่เครียสกับการทำงาน เพราะพี่ถือว่าการทำงานถ้าวางแผนดี มีทีมงานที่ดี และมีการวางแผนร่วมกันอย่างดี ทำงานด้วยกันได้ งานนั้นก็ไม่มีปัญหา
โลกนี้มีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก


บางทีทำงานก็มีท้อเหมือนกัน โอ้ย! ทำไมมันเหนื่อย ไม่ได้เหนื่อยเรื่องงานนะ แต่เหนื่อยเรื่องคน จริงๆ แล้ว "โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบกสำหรับพี่" บอกได้เลยว่าพี่มีความสุขรายวัน ไม่ได้คิดถึงอนาคต ไม่ได้คิดถึงอดีตที่ผ่านมาด้วย คิดถึงแต่ปัจจุบันว่าวันนี้เรามีงานทำ อาชีพนี้ทำให้เรามีชื่อเสียง ทำให้คนรู้จักเรา ทำให้เรามีเงินไปเลี้ยงครอบครัว มีเงินเลี้ยงลูกน้อง ถ้าไม่รักอาชีพนี้ เราก็เป็นคนทรยศกับอาชีพตัวเอง
ถ้าถามว่างานที่ทำทุกวันนี้ใช่งานที่ฝันมั้ย ตอบได้เลยว่าไม่ใช่งานที่ฝัน แต่เป็นงานที่เราโชคดีที่มีโอกาสได้ทำ แต่ถามว่างานนี้เป็นงานสุดท้ายมั้ย ตอบว่าไม่ใช่งานสุดท้ายของพี่ แต่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพบางอย่างในอนาคตก็ได้ใครจะรู้ แต่ ณ วันนี้มีแค่คำว่า ทำงานตรงนี้ให้ดีที่สุด แล้วเดี๋ยวความสุขหรือสิ่งดี ๆ จะต่อยอดไปในอนาคตเอง
ความสำเร็จของงานวัดจากคำ "ขอบคุณ" ของลูกค้า
ความสำเร็จในการทำงาน พี่วัดจากการที่ลูกค้าเดินเข้ามาบอกว่า "ขอบคุณ" แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว หรือคนที่มาร่วมงานเรากลับไปแล้วเขารู้สึกมีความสุข แค่นี้ถือว่า Success แล้ว ที่สำคัญ นอกจากลูกค้าจะมีความสุขแล้ว เขายังขายของได้นี่ถือว่ายิ่งได้ double โบนัส เพราะอาชีพเราเป็นอาชีพที่สร้างความสุขให้กับคน
ถ้าวันนี้ตัวเราไม่มีความสุข แล้วเราจะเอาพลังที่ไหนไปสร้างความสุขให้คนอื่น พี่กล้าพูดได้เลยว่าพี่มีความสุขทุกวัน ถ้าวันไหนไม่มีความสุข พี่จะรีบทำลายและ Delete สิ่งนั้นทิ้ง แล้วหาความสุขให้ตัวเอง เพราะพี่ทนไม่ได้กับการที่ตัวเองไม่มีความสุข
ทุกอาชีพเริ่มต้นได้ที่ความ "อยาก"


จริง ๆ พี่จบสถาปัตย์ อาชีพแรกของพี่คือ ทำ Display อาชีพที่สองทำ Advertising จากนั้นก็มาเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา เป็นสิ่งที่ต่อยอดกันมา เป็นการสะสมทุกอย่าง เหมือนได้ข้อดีของแต่ละอาชีพที่ทำมา เลยผสมกลายมาเป็นงานทุกวันนี้
ถ้าใครสนใจอยากจะทำงานด้านนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เริ่มต้นด้วยความ "อยาก" อยากทำก็ทำเลย คนเราบางทีไม่จำเป็นต้องเริ่มนับ 1 2 3 บางคนอาจจะ 1 2 แล้วไป 6 7 8 แล้วค่อยกลับมา 3 4 5 ก็ได้ ฉะนั้น อันดับแรกคือ "ใจ" ถ้าใจอยากทำ ๆ เลย เพราะถ้าใจอยากทำยังไงมันก็ทำได้
แต่ถ้าใจไม่อยากทำ คิดดูว่าวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากทำงานเลย คุณก็ไม่มีพลังในการทำงาน แต่ถ้าวันนี้คุณตื่นมา แล้วบอกกับตัวเองว่า ฉันอยากทำ คุณจะทำได้ และทำได้ดีด้วย เพราะใจเราบอกว่าทำได้ ก็ต้องทำได้

งานไหนทำแล้วไม่มีความสุข อย่าทำ
ถ้ามีงานทำ ต้องทำอย่างมีความสุข ถ้าทำแล้วไม่มีความสุข อย่าทำ ไปหาอะไรที่ทำแล้วมีความสุขทำ อย่าพยายามฝืน เพราะจะทำให้เราไม่มีความสุข เวลาชีวิตของคนเรามันสั้น ควรหาความสุขกับการทำงานที่เป็นอาชีพที่ทำแล้วเรามีความสุข
คนที่เริ่มต้นทำงาน สิ่งสำคัญ ต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า อย่าคิดเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ ควรทำงานให้ดีก่อน อย่าคิดว่าต้องได้เงินเท่านั้น เท่านี้ คิดว่าทำงานแล้วคุณจะได้งานที่ดีอย่างไร งานที่ดีจะเป็นพอร์ตที่ดีในชีวิต ไม่ใช่เรื่องเงิน ถ้าทำงานดี เดี๋ยวเงินก็มาเอง


ผู้เขียน : ณัฐกานต์
ช่างภาพ : กันสกล

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook