ณภัทร เสียงสมบุญ “ดาวรุ่งแห่งวงการบันเทิง”

ณภัทร เสียงสมบุญ “ดาวรุ่งแห่งวงการบันเทิง”

ณภัทร เสียงสมบุญ “ดาวรุ่งแห่งวงการบันเทิง”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

The New Age

ณภัทร เสียงสมบุญ

Entertainer

( 19 ปี )

ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของซิงเกิ้ลมัม ‘หมู-พิมพกา’ ที่โด่งดังจากงานโฆษณาและการถ่ายแบบ เขามีแฟนคลับทั่วประเทศทั้งที่เพิ่งเข้าวงการไม่กี่ปี จนถูกวางให้เห็นซูเปอร์สตาร์คนต่อไปถัดจาก ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ แต่นอกเหนือจากความมุ่งมั่นและความสามารถที่ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ทัศนคติของเขาที่ ‘คิดดี-ทำดี’ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เขาเคยลาออกจากโรงเรียนเพื่อสอบเทียบวุฒิจนประหยัดเงินค่าเล่าเรียนได้ถึง 3 ล้านบาท และฝึกฝนกอล์ฟจะเป็นจะตายเพื่อเอาเงินรางวัลมาจุนเจือครอบครัว ‘นาย-ณภัทร’ จึงไม่ใช่แค่ดาราดาวรุ่งดวงใหม่ แต่คือต้นแบบของสุภาพบุรุษยุคใหม่ที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง

ดาราส่วนใหญ่พอเข้าวงการก็จะดร็อปเรียนไว้ก่อน ทำไมคุณไม่ทำแบบนั้น
ถามว่าเสียดายโอกาสไหม ผมเสียดายมากครับ แต่ผมมองว่าวงการบันเทิง ยากมากที่จะมีใครอยู่ค้างฟ้า มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันหนึ่งขึ้นสูงสุด อีกวันก็อาจลงต่ำสุด แต่สิ่งที่จะทำให้ผมหาเลี้ยงได้ตลอดชีวิตคือวิชาความรู้ที่ได้จากมหาวิทยาลัย ตอนนี้งานไหนที่ผมทำได้ ไม่กระทบการเรียนก็จะรับ ผมไม่รับซี้ซั้ว เพราะผมทำหลายอย่างมาก ทั้งเรียนหนังสือ ทำงานออกแบบ ตีกอล์ฟ เล่นกีตาร์ ถ่ายรูป ทุกอย่างที่ทำแล้วต้องดีจริงๆ ไม่ใช่ทำอันนี้ปุ๊บอันนั้นแย่ ก็ไม่เอา ไม่ทำ

กับงานในวงการบันเทิง คุณชอบทำอะไรมากที่สุด
ชอบถ่ายแบบ ถ่ายแฟชั่น ผมรู้สึกสนุกกับมัน การไปทำงานของผมแต่ละครั้งเหมือนไปหาประสบการณ์ ต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอด เวลาถ่ายงานชิ้นนึงเสร็จ ผมตลกตัวเองทุกครั้ง ไม่ได้เรื่อง (หัวเราะ) ผมชอบย้อนมองข้อผิดพลาดของตัวเอง ทำเป็นเช็กลิสต์ สมมติคราวที่แล้วไปถ่ายแบบ ท่ายืนอย่างนี้ไม่ผ่าน ยิ้มไม่ดี อารมณ์ไม่ได้ ครั้งต่อไปต้องมีการพัฒนามากขึ้น ถ้าเราทำได้ สะใจ มันคือความพยายามของผมที่ตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด ตั้งแต่เด็กแม่จะสอนผมว่า อย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว ถ้าเราคิดว่าเราเก่งแล้ว คนอื่นก็จะแซงหน้าเราไป ในที่สุดเราจะโดนทิ้งท้าย

คุณมีแฟนคลับมากพอตัว รู้สึกอย่างไรกับชื่อเสียงที่เข้ามาอย่างกะทันหัน
เริ่มกดดัน เพราะตอนที่ถ่ายโฆษณาครั้งแรกผมแค่อยากลอง ไม่คิดว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดนี้ ผมโชคดีมากที่มีคนช่วยเยอะ เหมือนมีแรงเชียร์ ทำให้ผมจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้ เป็นทั้งแรงกดดันและแรงผลักดัน แฟนคลับเป็นกำลังใจที่ดีมากๆนะครับ แต่ผมไม่ได้หลงระเริงว่าตัวเองดังแล้ว บางครั้งผมรู้สึกหนักใจด้วยซ้ำ บางคนนั่งรถ 3 ชั่วโมงจากกาญจนบุรีมาหา ทุกคนมาเพื่อเรา ผมจะพยายามถ่ายรูปกับทุกคนจนกว่าจะครบ ถ้าไม่ครบผมไม่กลับ ผมใส่ใจกับทุกคนมาก วันไหนที่ผมเหนื่อยก็จะเปิดอินสตาแกรมอ่านที่แฟนคลับเขียนมาให้ หายเหนื่อยเลย แฟนคลับทำให้ผมมีกำลังใจทำงานต่อไป

ชีวิตวัยเด็กของคุณลำบากใช่เล่น ทั้งปัญหาเรื่องเงินและครอบครัว คุณรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไปไหม
บางคนมองว่าครอบครัวผมไม่สมบูรณ์ แต่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเ แม่ผมโคตรเจ๋ง (หัวเราะ) ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองขาด ผมมีความสุขกับทุกอย่าง ผมมีเพื่อนที่รวยกว่าก็จริง แต่ผมไม่เคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เรื่องการใช้สิ่งของ ผมเป็นคนที่มองเรื่องการใช้งานก่อน ผมไม่ติดแบรนด์เนมเลย ถามว่าอยากย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไหม ผมไม่อยากเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างที่ผ่านมาแล้วเป็นสิ่งที่ดีมาก ผมอาจจะไม่ได้รวยเหมือนเพื่อนคนอื่น แต่สิ่งที่พวกเขาไม่มีคือแรงผลักดัน ความลำบากที่ผมมีเป็นสิ่งที่ดีมาก หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว

คุณพูดเรื่องคุณแม่บ่อยครั้ง อะไรคือแนวคิดของแม่ที่มีอิทธิพลต่อคุณจนถึงปัจจุบัน
ทุกอย่าง ผมอยู่กับแม่ตั้งแต่เด็ก เห็นทุกสิ่งที่เขาทำ คนอาจจะมองว่าผมลูกแหง่ติดแม่ แต่เขาไม่เข้าใจหรอกว่าเราสนิทกันมาก เรามีกันอยู่แค่ 2 คน ถ้าผมไม่ดูแลแล้วใครจะทำ แม่จะสอนผมผ่านประสบการณ์จริง คุณเชื่อไหมว่าตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยชกต่อยกับใคร เพราะผมมีอาวุธ 2 อย่างที่แม่ให้ผมติดตัวก่อนออกจากบ้าน คือการขอโทษกับรอยยิ้ม แต่ถ้าเรื่องแนวคิดต้องยกให้กับหลักพระพุทธศาสนา ผมยึดกฎ 2 อย่างในการดำรงชีวิตมาตลอดคือ ศีล 5 กับไตรลักษณ์ ศีล 5 อาจจะมีคนรู้บ้างแล้ว แต่ไตรลักษณ์ผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่สุดยอดมาก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังคือการเปลี่ยนแปลง วันนี้ผมมีชื่อเสียงอีกวันนึงผมอาจจะไม่มีก็ได้ อยู่ที่เราจะยอมรับได้ไหม ทุกขังคือเรื่องโคตรธรรมดาของมนุษย์ เราจะกำความทุกข์นั้นไว้นานแค่ไหน เหมือนเรากำก้อนหินไว้ กำแน่นๆ เราก็เจ็บเอง แต่ถ้าเราปล่อยก็สบาย ส่วนอนัตตาคือการไม่มีตัวตน สิ่งของนอกกายของผมทุกอย่าง โทรศัพท์ กระเป๋า นาฬิกา ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมไม่ยึดติดกับอะไรสักอย่าง

อีก 5 ปีข้างหน้าเราจะเห็นคุณทำอะไรอยู่
เหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกเรียนออกแบบ เพราะเรามีธุรกิจ ‘Born to be cosmetics’ ซึ่งเป็นธุรกิจที่แม่ผมทำคนเดียว ไม่มีหุ้นส่วน แม่ผมเริ่มจากศูนย์ เอาบ้านไปจำนอง ถ้าธุรกิจเจ๊ง ก็ไม่มีบ้านอยู่ ผมมองว่าผมโชคดีที่มีต้นทุนอยู่แล้ว สิ่งที่ผมต้องทำคือการสานต่อ แม่สร้างมากับมือ เราต้องทำต่อให้ดี ผมไม่ทิ้งมันแน่นอน ผมจะเอาความรู้ด้านออกแบบที่เรียนมาช่วยปรับแพ็กเกจจิ้ง อาร์ตไดเร็กชั่น โลโก้ให้ธุรกิจเราดีขึ้น

อีกเป้าหมายหนึ่งคือกอล์ฟซึ่งเป็นกีฬาที่ผมหลงใหลมาก ยังไงผมก็ต้องเทิร์นโปรให้ได้ ผมเริ่มเล่นจากการโดนเพื่อนล้อจนชนะได้ถ้วย ผมเสียน้ำตากับมันมาเยอะ กอล์ฟทำให้ผมรู้จักชัยชนะและความพ่ายแพ้ ผมเคยไปแข่งโดยหวังจะได้แชมป์ แต่กลับได้ที่โหล่ ผมโทรหาแม่ในห้องน้ำร้องไห้โฮ แม่พูดกับผมแค่ประโยคเดียว ‘ถ้าเราไม่เคยแพ้มาก่อน เราก็จะไม่รู้ว่าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เป็นยังไง’ ตั้งแต่นั้นมาผมเลยแพ้เป็น ยอมรับในความผิดพลาด รู้แล้วว่าถ้วยรางวัลไม่ใช่แค่ถ้วยที่มาตั้งโชว์ แต่อีกถ้วยคือถ้วยแห่งความทรงจำ ที่เมื่อเรามองไปแล้วเห็นว่าเราเต็มที่กับการแข่งขันนั้นมากแค่ไหน

ส่วนเป้าหมายเรื่องงานบันเทิง ตอนนี้มีคนสนับสนุนและรักผมเยอะมาก ผมไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวัง ตรงนี้ผมจะตั้งใจทำเต็มที่ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอน

เรื่อง : นครินทร์ วนกิจไพบูลย์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook