“พรุ่งนี้” อาจ “สาย” เกินไป ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง

“พรุ่งนี้” อาจ “สาย” เกินไป ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง

“พรุ่งนี้” อาจ “สาย” เกินไป ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผมเคยได้ยินคนพูดกันว่าเมื่อถึงช่วงวัย 20 ปี จะมีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามาในชีวิตและทำให้เรามองโลกเปลี่ยนไปจากเดิมผมกลับมาดูแลเอาใจใส่พ่อให้มากที่สุด... กลับมากอด มาหอมแก้มพ่อบ่อยๆ บอกรักพ่อทุกวัน

สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาดังกล่าวชีวิต ค่อนข้างลงตัว เพราะเข้าวงการบันเทิงเต็มตัวมาได้ 2 ปีแล้ว มีเงินเก็บส่วนตัวมากพอจะซื้อทุกอย่างที่อยากได้ มีรถสปอร์ตเท่ ๆ ใช้ชีวิตชิล ๆ สบาย ๆ มีแต่เรื่องเรียนและทำงาน ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่เคยเตรียมใจไว้ก่อนก็เกิดขึ้นผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี พ่อนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน ส่วนผมเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น สักพักก็ได้ยินพ่อทำเสียงอึกอักจึงรีบเข้าไปดู ผมเห็นพ่อชัก ตาค้าง ล้มลงไปกับพื้น แล้วหมดสติไป 

ผมตกใจมากรีบโทร.เรียกรถพยาบาลมารับ ในใจกลัวจริง ๆ ว่าพ่อคงจะไปแล้วแน่ ๆ ขณะกำลังรอรถพยาบาล พ่อฟื้นขึ้นมาแต่กลายเป็นว่าจำใครไม่ได้และพูดจาแปลก ๆ งง ๆ เมื่อถึงโรงพยาบาลหมอให้พ่อเข้าเครื่องสแกนสมอง แต่วันนั้นโรงพยาบาลไม่มีแพทย์ด้านสมองวินิจฉัยอาการให้ หมอที่รับเคสของพ่อบอกว่าอาการไม่น่าเป็นห่วง พาพ่อกลับบ้านได้เลย เพราะความจำของพ่อเริ่มกลับมาเหมือนเดิมแล้ว

ไม่กี่วันหลังจากนั้น พ่อมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ อีก บางครั้งก็พูดไม่รู้เรื่อง ผมกับแม่จึงพาไปหาคุณหมอที่ดูแลพ่อมานาน พอหมอเห็นฟิล์มจากโรงพยาบาลที่ไปสแกนสมองมาก็บอกว่า “สมองบวมตั้งหลายจุดนะ” สรุปว่า พ่อเป็นเนื้องอกในสมองหลายจุด ต้องนัดผ่าตัดทันที หลังผ่าตัด คุณหมอส่งชิ้นเนื้อไปตรวจว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ ไม่นานนักผมก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า เนื้องอกที่ผ่าตัดออกไปนั้นเป็นเนื้อร้าย ก้อนมะเร็งที่พบที่สมองลุกลามมาจากมะเร็งที่ปอด เนื่องจากเชื้อมะเร็งเข้าสู่กระแสเลือดและเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว “รักษายังไงก็ไม่น่ารอด ปล่อยให้เขาไปพักที่บ้านสบาย ๆ ดีกว่า” คุณหมอบอก

หลังจากแจ้งผลตรวจ ผมกับแม่ช็อกมาก เรานั่งร้องไห้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อ เพราะไม่อยากให้ท่านเสียกำลังใจจากนั้นผมกับแม่ก็พาพ่อตระเวนไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกหลายแห่ง จนสุดท้ายได้มารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ จากความช่วยเหลือของพี่ที่รู้จักกัน ช่วงเวลานั้นถือเป็นช่วงที่ลำบาก เพราะพ่อผมไม่มีประกัน และค่ารักษาก็สูงมาก ทุกสองสามวันผมต้องจ่ายเงินเป็นปึก ๆ บางช่วงเงินไม่พอ แต่ก็ทำให้ผมได้เห็นอะไรหลายอย่าง เช่น บางคนเคยบอกผมว่า “ถ้ามีปัญหาเมื่อไหร่ให้โทร.มาได้เลย ยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง” แต่พอแม่โทร.ไป เขากลับบอกว่า “ประชุมอยู่ เดี๋ยวโทร.กลับนะ” แล้วก็ไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย ในขณะที่บางคนเราไม่ค่อยได้คุยกัน เขากลับรีบโอนเงินค่าตัวมาให้ทันที เพราะรู้ว่าผมรอเงินมารักษาพ่ออยู่

เมื่อเริ่มการรักษาด้วยการฉายแสง สภาพของพ่อแย่มาก ผมร่วง น้ำหนักลดจนเหลือแค่ 40 กว่ากิโลกรัม ใครเห็นต่างบอกว่าพ่อไม่น่ารอด ผมเห็นแม่เศร้าและแอบร้องไห้อยู่บ่อย ๆ เหตุการณ์ทุกอย่างใน เวลานั้นทำให้ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่า เราไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท ทุกนาทีในชีวิตมีแต่ความไม่แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราตอนนี้คือครอบครัว ผมกลับมาดูแลเอาใจใส่พ่อให้มากที่สุดนับจากเป็นวัยรุ่นเป็นต้นมาผมค่อนข้างห่างเหินและไม่สนิทกับพ่อเหมือนตอนเด็ก

พอพ่อป่วยก็กลับมากอด มาหอมแก้มพ่อบ่อย  ๆ บอกรักพ่อทุกวันโดยไม่เขิน พูดคุยให้กำลังใจพ่อ และหาเวลามาดูแลท่านให้มากที่สุด คนข้างบ้านที่เคยไม่ถูกกัน เมื่อเห็นผมกอดและดูแลพ่ออย่างใกล้ชิดก็มาไถ่ถามอาการจากแม่ แล้วก็แนะนำยาสมุนไพรมาให้ผมกับแม่ลองให้พ่อกินสมุนไพรควบคู่ไปกับการรักษาของคุณหมอ เพราะเป็นความหวังหนึ่งที่อาจทำให้พ่อหายดี

นอกจากนี้การล้มป่วยของพ่อยังทำให้ผมเริ่มสนใจเรื่องทำบุญ ผมพาพ่อไปไหว้พระ ทำบุญ รดน้ำมนต์ ส่วนตัวผมเองใส่บาตรทุกเช้า เริ่มสวดมนต์ จากที่เคยรู้จักแค่ “นะโม” ก็สวดมนต์บทยาว ๆ ได้ แล้วก็นั่งสมาธิและไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่าง ๆ สะสมบุญทุกอย่าง หวังจะให้พ่อหายป่วย ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม อาการของพ่อดีขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มกินอาหารได้ น้ำหนักเพิ่มขึ้น ผมที่เคยร่วงก็ขึ้นมาใหม่ จนท้ายที่สุดท่านก็หายดี กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกลับมาขับรถพาผมไปกองถ่ายได้เหมือนเดิม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนปาฏิหาริย์

ผมโชคดีมากที่ได้พ่อกลับมา ทุกวันนี้จึงดูแลพ่อกับแม่ซึ่งเปรียบเสมือน “พระในบ้าน” ให้ดีที่สุด เพราะถ้าไม่ทำวันนี้ให้เต็มที่ พรุ่งนี้ ผมอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้วก็ได้ 

Secret BOX เราไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท เพราะทุกนาทีในชีวิต มีแต่ “ความไม่แน่นอน” ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook