ผ่าชีวิตอินดี้ "เกริก ชิลเลอร์" เปิดร้านตัดผมและเหตุผลของมาดใหม่ สักลายแจ่ม

ผ่าชีวิตอินดี้ "เกริก ชิลเลอร์" เปิดร้านตัดผมและเหตุผลของมาดใหม่ สักลายแจ่ม

ผ่าชีวิตอินดี้ "เกริก ชิลเลอร์" เปิดร้านตัดผมและเหตุผลของมาดใหม่ สักลายแจ่ม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นักแสดงจำนวนมากในวงการบันเทิงมักประกอบธุรกิจส่วนตัวหลากหลายประเภท แต่สำหรับเกริก ชิลเลอร์ นักแสดงเจ้าของบทสุดแสบในผลงานหลายเรื่องเลือกเปิดร้านตัดผมในช่วงเข้าสู่วัยเลี้ยงลูก ขณะเดียวกันก็ยังเปลี่ยนมาดใหม่มาพร้อมรอยสักตามร่างกายหลายจุด

วิถีชีวิตของดาราหนุ่มที่โลดแล่นในวงการจนแฟนๆคุ้นตามีวิถีชีวิตอย่างไรบ้างติดตามจากบทสัมภาษณ์พิเศษ

ทำไมถึงหันมาสนใจธุรกิจตัดผม ?

พอถึงช่วงวัยนึงของชีวิตเรา เมื่อเราทำงานในวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุ 13-14 จนกระทั่งถึงวันนี้ มันรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน มันได้ทำอะไรไปเยอะแยะมากมายแล้ว เค้าเรียกว่าอิ่มตัวรึเปล่า อาจจะเป็นอย่างนั้น อะไรก็แล้วแต่ผมก็ไม่เคยได้อิ่มตัว งานแสดงก็ไม่อิ่มตัว เพียงแต่อยากลองทำสิ่งใหม่ๆมากกว่า อยากลองใช้ชีวิตแบบใหม่ๆ แล้วก็ความที่ผมมีครอบครัว มีลูกสาว 3คน อาชีพนักแสดงผมเนี่ย มันทำให้ผมออกจากบ้านแล้วไม่เคยรู้เวลากลับบ้านเลย เพราะมันจะถ่ายเสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บางทีมันไปสารพัดที่ ผมเป็นคนขับรถเองแล้วรู้สึกว่ามันอันตรายมาก อันตรายต่อชีวิตตัวเอง และอันตรายต่อชีวิตครอบครัวด้วย เพราะเนื่องด้วยลูกเราก็เริ่มโต เราก็อยากมีเวลาให้กับครอบครัว มีเวลาอยู่กับลูก มีเวลาอยู่กับภรรยา เพราะเราสร้างครอบครัวขึ้นมา เราน่าจะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ไม่ใช้สร้างขึ้นมางั้นๆ ทำชีวิตต่อชีวิตกันไป ไม่ใช่อย่างนั้น

ผมสร้างครอบครัวขึ้นมาเพื่อได้อยู่กับลูกกับหลาน ได้มีความสุขกับเขา ได้ช่วยเขาคิด แนะแนวทางในชีวิต ไม่ใช่ให้เขาไปหาแนวทางของเขาเอง ผิดถูกก็ไม่รู้ เขาอาจจะไม่ได้โชคดีแบบเรา บางคนโชคร้ายโชคดีไม่เหมือนกัน โอกาสและจังหวะไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอยู่โค้ชเขา อยากคอยดูแลเขา แล้วให้ความรักความอบอุ่นแก่เขา ในวัยที่เขาอยากได้จริงๆ เพราะว่าถ้าเกิดเวลามันพลาดในช่วงวัยนี้ของเขา เวลาแก่ผมจะซวยมากเลย

ถ้าลูกต้องติดยาเสพติด ลูกต้องไปทำอะไรอย่างงี้ มันเป็นเพราะว่าเวลาในชีวิตของเรา เรามัวแต่ไปหาตังค์มาเพื่อที่จะส่งเขาเรียนหนังสือ ส่งให้เขาเอาเศษกระดาษมาเพื่อที่จะไปทำงานต่อ แต่เราไม่ได้อยู่พัฒนาจิตใจเขา มันก็มีความรู้สึกว่ามันไม่ควรทำจะอย่างนี้ เพราะฉะนั้นผมจึงหาวิธีว่าทำยังไงก็ได้ จะทำงานโดยที่มีลูกอยู่ด้วย โดยที่มีครอบครัวอยู่ด้วยข้างๆ ผมคิดว่าความสุขมันคือตรงนี้

เริ่มต้นตัดผมได้ยังไง ?

เป็นความบังเอิญ มาจากความซนของผม ผมอยู่ในกองถ่ายผมมีเวลาเยอะ ผมนั่งคิดว่าผมจะทำยังไงให้ชีวิตผมมีค่ามากที่สุด ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเสียไปเปล่าประโยชน์ค่อนข้างเยอะ บางวันถ่ายมากจนไม่มีเวลาพัก บางวันเวลาพักมันก็เยอะมาก เยอะซะจนคิดว่าทำไมชีวิตมันดูไร้ค่าขนาดนี้ เพราะคนมันเคยทำตลอด และก็อยากทำตลอด ผมก็เลยมานั่งคิดว่าเราจะหากิจกรรมอะไรทำในกองถ่าย ทำให้กับคนอื่นเช่น ตัดผมสิ ไปซื้อบัตเตอร์เลี่ยนมา เอาหวีมา แล้วก็ไปตัดผมให้พวกช่างไฟ ที่ทำงานกันเหงื่้อซก มันดูเปียก คือมันดูสกปรกมาก แล้วเค้าก็จะดูสุขภาพไม่ดีด้วย มันจะดูโทรม เราก็ไปหาบัตเตอร์เลี่ยนมาไปตัดผมให้ช่างไฟในกองถ่าย ทั้งพี่ๆ ลุงๆทั้งหลายที่อยู่ในกองถ่าย เพื่อเป็นการช่วยเขาด้วย ช่วยให้เขาประหยัดตังค์ ช่วยให้เขาดูสะอาด และช่วยให้เรามีอะไรทำ ช่วยให้เราไม่เบื่อในขณะที่เรานั่งรอในกองถ่าย มันเกิดประโยชน์

มันเป็นเวลาที่เกิดประโยชน์ แล้วเราก็เป็นคนชอบงานศิลปะอยู่แล้ว เราพยายามมองว่าอะไรที่มันเกี่ยวกับงานศิลปะ การตัดผมมันก็เกี่ยวข้องกับการศิลปะเหมือนกัน พอตัดไปตัดมาสัก 2ปี มันชักเริ่มอยากชนะตัวเองอยู่ตลอดเวลาจนมันเข้าเลือด เราก็เริ่มถ่ายรูปลงไอจี คนก็อยากจะมาตัดกับเราว่า "พี่ผมจะทำยังไงถึงจะได้ตัดกับพี่อย่างงี้" เราก็เลยคิดว่านอกเหนือจากจะตัดให้คนในกองถ่ายแล้ว ประจวบเหมาะกับที่บ้านมีพื้นที่ซึ่งเป็น Studio สอนการแสดงเก่าที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งจะยกให้ลูกแต่คงอีกนานกว่าจะได้ใช้ จึงยืมสถานที่นี้ใช้ก่อน นำโต๊ะเก้าอี้มาตั้ง แล้วก็บอกกับคนในเฟซบุ๊กว่า ใครอยากจะมาตัดก็ให้มาตัดที่นี่ตามเวลาที่ผมกับหนดไว้ เพราะว่าผมจะไม่ได้เปิดทุกวัน ถ้าหากใครอยากรู้ว่าผมตัดวันไหนบ้าง ยังไงบ้าง ก็ต้องดูในเฟซบุ๊กเป็นหลัก ซึ่งในนั้นผมก็จะทิ้งไลน์ไว้ให้ถาม

ได้ไปเรียนตัดผมมามั้ย ?

ช่วงแรกผมดูจากตามทีวี ยูทูป ดูแล้วก็ฝึกตัดไป ทีนี้ในเมื่อตัดพอได้แล้วก็ยังไม่มีใครมาให้ตัด เพราะว่าเค้าจะต้องถามก่อนว่า "พี่เรียนมาหรอ" พี่ไม่ได้เรียนมา ไม่ตัดหรอกพี่ กลายเป็นหนูทดลอง เราก็เข้าใจว่ามนุษย์จะต้องถามก่อนว่าคุณไปจบอะไรมา ถ้าจบมาไม่ถูกด้านเขาก็จะไม่ไว้ใจคุณ ผมก็เข้าใจเลยไปเรียน เพื่อเรียนวิธีการจากโรงเรียน เขาก็ถึงจะยอมให้ตัด

คิดว่าการตัดผมมีส่วนกับการใช้ชีวิตประจำวันของคนเรายังไงบ้าง ?

ในชีวิตประจำวันต้องตัดทุกๆคน อย่างน้อยๆถ้าเป็นผู้ชายเดือนละครั้ง ผมยาวก็ 2 เดือน 3ครั้ง ผู้หญิงก็แล้วแต่ว่าจะเลี้ยงผมสั้นผมยาว แต่การตัดผมก็เป็นสิ่งที่คนจะต้องทำเป็นประจำ เหมือนการตัดเล็บ เรื่องของการตัดผมนี่มีส่วนสำคัญกับคนเราในเรื่องของรูปลักษณ์ คนเราหน้าจะเป็นอีกแบบหนึ่งก็เพราะว่ามาจากทรงผมของเรา ถ้าหากว่าเราหัวโล้น หน้าเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งเหมือนคนหัวโล้น ถ้าผมสั้นหน้าก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ผมยาวหน้าก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นทรงผมมันเปลี่ยนชีวิตคนได้ และสามารถดูคาแรคเตอร์ของคนคนนั้นได้ รวมไปถึงอุปนิสัยใจคอด้วยซ้ำไป เพราะใครสไตล์ไหนเป็นยังไง เพราะทรงผมไปเกี่ยวพันกับแฟชั่นการแต่งตัวของคนเราในชีวิตประจำวัน แฟชั่นเครื่องแต่งกาย กับทรงผมต้องไปด้วยกัน อย่างทรงผมไปอีกแบบหนึ่ง การแต่งกายไม่ได้ไปแนวเดียวกับทรงผมตัวเองมันก็ดูไม่เข้ากัน

คิดยังไงกับการทำคนหันมาเรียนตัดผม แล้วหันมาจับธุรกิจด้านนี้เยอะขึ้น ?

ก็ดี ก็ทำกันเยอะๆ เพราะว่าเวลาเราทำนากัน ช่วงไหนถั่วฝักยาวได้ราคาดี เราก็ปลูกถั่วฝักยาวกัน ถั่วฝักยาวไหนที่มีคุณภาพดีก็จะอยู่ได้ เพราะฉะนั้นดี ก็แข่งกันพัฒนาถั่วฝักยาวให้มันดี คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำ เขาก็มีฝีมือมากขึ้น เพราะฉะนั้นคนรุ่นเก่าที่ไม่มีฝีมือแล้วย่ำอยู่ที่เดิม มันก็จะอยู่ไม่ได้ คนรุ่นเก่าก็จะต้องพัฒนาฝีมือตัวเองด้วย ซึ่งในทุกๆอาชีพมันหยุดพัฒนาฝีมือไม่ได้ มันหยุดมองโลกให้อยู่ในกรอบของตัวเองไม่ได้ มันก็ดี มันเป็นการแข่งขัน เมื่อเกิดการแข่งขันก็จะเกิดคนแข่ง ก็ดีครับ

จุดเด่น-สไตล์การตัดผมของร้านพี่เกริกเป็นยังไง ?

ถามว่าสไตล์การตัดผมของร้านผมคืออะไรหรอ จุดเด่นมันคือคุณเข้ามาหาผม คุณออกไปคุณหน้าตาดีขึ้น นั่นก็คือจุดเด่นของผม คุณจะมาจับสไตล์การตัดผมหรอ ผมไม่มีสไตล์ ผมดูลูกค้าเป็นหลัก ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำยังไงให้คนนี้ดูดีกว่าที่เขาเดินเข้ามา มันแค่นั้นเอง แล้วผมก็เกราหัวเขาให้ดูดีที่สุด เท่าที่ชีวิตผมจะทำได้

ผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง ?

ผลตอบรับค่อนข้างดีมากๆ ร้านนี้เปิดมาประมาณ 2 เดือนได้ ทุกครั้งที่ประกาศลงเฟซบุ๊กว่าวันนี้จะเปิดร้าน ก็จะมีคนเข้ามาตลอด แล้วก็ฟีดแบคเข้ามาปากต่อปาก แล้วก็เริ่มมีลูกค้า ประจำเกิดขึ้นแล้วจำนวนหนึ่งเลย ซึ่งเมื่อไปเปิดร้านจริงแล้วจะเข้ามา คือเราก็ทำให้ดีที่สุดเราก็ตัดให้สวยที่สุด เพราะเดี๋ยวเขาไปเดิน คนอื่นก็จะถามเองว่าตัดผมร้านไหน ถ้ามันดีบอกร้านพี่เกริก คนอื่นก็จะมาหาเอง แต่ถ้าตัดไม่ดีออกไป เห้ยมึงตัดผมร้านไหน ทีหลังมึงอย่าไปอีกนะ ผมก็เสีย เพราะฉะนั้นทุกหัวที่ออกไปจากร้านผมเนี่ยไม่ต้องห่วง ผมใช้เวลาจนคุ้มจนกว่าเขาจะออกไปแล้วดูดีที่สุด ไม่ว่าจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงแค่ไหน ผมมั่นใจว่าออกไปดูดีแน่ เพื่อไม่ให้เสียชื่อตัวเอง

วางแผนพัฒนาร้านตัวเองยังไงบ้าง ?

อันนี้เรียกว่าเป็นร้านหลอกๆ เป็นร้านตัดให้แฟนคลับ ตัดที่บ้าน ได้รับผลการตอบรับค่อนข้างดี ซึ่งคาดว่าต้นๆปีหน้าจะออกไปริมถนนแล้ว เพื่อให้คนที่เขาไม่เคยรู้จักเราได้มาเห็นเรา และได้มาลองตัดกับเรา ตอนนี้กำลังดูสถานๆที่ไว้อยู่ ช่วงทำร้านอะมันไม่นานหรอก แต่มันนานตรงที่ที่เหมาะสม เพราะถ้าไปหยิบตรงไหนก็ได้มันก็จะเจ๊งเอาง่ายๆ ซึ่งหลังจากเปิดแล้วก็จะมีการจ้างลูกจ้างเข้ามา เมื่อลูกค้าเยอะก็ต้องจ้างเข้ามา เพราะทุกวันนี้ผมสามารถหาคนมาเพิ่มได้อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ประกาศว่าผมเปิดทุกวัน มันก็มีมาตัดทุกวันแหละ แต่ว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะทำ ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะทำคือผมตัดคนเดียว แล้วให้คุณมาตัดกับผม เพราะคนที่จะเข้ามาถึงบ้านผมไม่ใช่แค่คุณอยากตัดผม แต่คุณอยากมาตัดผมกับผม มันจึงต้องมีผมคนเดียว แล้วผมยังได้ฝึกตัวเอง ได้เรียนรู้ถึงปัญหาก่อนที่จะมาเปิดร้านจริง

เรื่องรอยสัก ทำไมถึงมาสักเอาตอนมีอายุมากแล้ว ?

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนยังไง ซึ่งแต่ละคนก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นคนยังไง ถ้าหากจะบอกว่าตัวเองเป็นคนเงียบๆ เฉยๆ รักใครรักจริง ผมเชื่อว่าลึกๆแล้วไม่เป็นอย่างนั้น เพราะคุณยังหาตัวเองไม่เจอ จริงๆผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้ว ช่วงสมัยผมวัยรุ่นผมอยู่เมืองนอก ผมอยู่ในเมือง Rock City ผมฟังเพลง Rock ผมฟังเพลง Heavy Metal มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ผมยังสักไม่ได้ เพราะ 1.แพง 2.ผมยังต้องไปยกมือขอตังค์ชาวบ้านเขาอยู่ ไปของานชาวบ้านเขาอยู่ ผมจึงทำไม่ได้

จนกระทั่งมาถึงวันนึงเมื่อผมมานั่งคิดว่าผมก็ไม่ได้ไปยกมือของานใครเขาทำนะมีแต่งานโทรมาหาผมนะและผมก็ใช้ความสามารถทำมาหากินมาโดยตลอดเพราะฉะนั้นในเมื่อผมมีความสามารถรอยสักก็ไม่เกี่ยว ผมใช้สมอง เมื่อผมมั่นใจแล้ว ก็เลยไปสัก ซึ่งทำให้กลับไปเป็นตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตัวเองของผมนี่ก็เป็นมานานแล้ว แต่ว่าสิ่งที่คุณเห็นผมในทีวี กับในความเป็นจริง เมื่อก่อนคุณยังไม่เคยเห็นผม เพราะว่าผมไม่เล่นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เพราะฉะนั้นผมไม่ได้อัพเดทชีวิตประจำวันของผมเลย มันมีการเปลี่ยนแปลงมาตอนที่มี อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ผมได้ลงภาพไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากขึ้น ทำให้คนเห็นตัวตนที่แท้จริงของผมมากขึ้น จริงแล้วผมเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าคนเพิ่งเห็นผมแบบนี้เท่านั้นเอง

ตอนแรกที่สัก กระแสที่เข้ามาเป็นไงบ้าง เนื่องจากเราก็เป็นดารา ซึ่งเป็นตัวอย่างแก่เยาวชน ?

ตอนแรกก็กังวลเหมือนกัน ทั้งๆที่มั่นใจว่าเราก็เป็นตัวเราอย่างนี้ ใครจะว่าอะไรเราก็ไม่สน ไม่แคร์ เพราะเราอายุขนาดนี้แล้วจะไปแคร์อะไรใคร แต่อีกใจหนึ่งก็กังวล เพราะสังคมค่อนข้างอ่อนไหว เกี่ยวกับเรื่องของรอยสัก เกี่ยวกับสิ่งที่คนเขาไม่ทำ แต่ผมกลับทำ มันเป็นธรรมชาติของคน สิ่งที่ฉันไม่ได้ทำ ฉันก็จะว่าคุณแปลก ซึ่งผมก็คิดว่าเขาจะยอมรับได้มั้ยกับตัวตนที่แปลกของผมแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าแปลกนะ ซึ่งกลุ่มที่เป็นเหมือนผมก็มีเยอะ

คิดไปคิดมา "ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ จะไปทำตอนไหน ถ้าเราไม่ทำในชีวิตนี้ เราก็ไม่ได้ทำสิ่งที่เราอยากจะทำเลย เพราะฉะนั้นเกิดมาเพื่อ... เพื่อทำตัวเองให้ดูดีในสายตาของคนอื่น เพราะฉะนั้นถ้าผมทำแบบนั้น ผมก็จะใช้ชีวิตในแบบที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น ไม่เคยแคร์ความรารู้สึกของตัวเอง แล้วผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อ..." แต่สายตาที่เข้ามาตามที่คิดว่ากลับผิดหมดเลย พอผมเริ่มสัก ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมคิดว่าเขาจะมองเราแปลกๆมั้ย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสำหรับอาจจะเป็นเพราะว่าผมโตมากขนาดนี้แล้วมั้ง ด้วยวุฒิภาวะมันอาจจะดูน่าไว้ใจกันได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook